ต้องเล่าย้อนไปช่วงที่มีการเก็บข้อมูลผู้มีรายได้น้อย โดยเขาให้นักศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐลงไปเก็บข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลการผู้มีรายได้น้อยเพื่อทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เราและเพื่อนในหน่วยงานได้รับผิดชอบเขตนอกเมือง จังหวัดแถวอีสานใต้ ด้วยความที่อาชีพเราทำงานในหน่วยงานรัฐจะไปเก็บข้อมูลในช่วงที่ทำงานไม่ได้ ต้องไปหลังเลิกงาน เราเก็บข้อมูลมาเกือบครบทุกคนแล้ว เหลืออยู่ตกค้างไม่กี่คน
ครั้งนี้ต้องเดินทางไปเก็บข้อมูลคนเดียว เพราะเพื่อนป่วย โดยหมู่บ้านสุดท้ายที่เหลืออยู่ไม่ไกลจากอ่างเก็บน้ำ เท่าไหร่นัก บ้านแต่ละหลังค่อนข้างห่างกัน
แยกกันเป็นคุ้มๆ ขนาดเล็ก แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ สภาพถนนที่เป็นดิน เรามาถึงบ้านหลังท้ายสุดของคุ้มแล้ว เวลาตอนนั้นจำได้คร่าวๆ น่าจะ หกโมงเย็น
ก่อนจะถึงบ้านหลังนั้นเราต้องขับรถไปบนถนนดินเล็กๆ พอให้รถเก๋งคนเล็กๆ ผ่านได้คันเดียว ตอนไปเราได้สังเกตเห็นซ้ายมือเป็นร้านขายโลงศพ หน้าบ้านปกคลุมไปด้วยต้นมะม่วงใหญ่ บ้านดูหน้ากลัวมาก ไฟหน้าบ้านก็ไม่เปิด ตอนนั้นเราก็คิดแล้วว่า จะถามบ้านที่เราไปสำรวจข้อมูลว่ามีทางที่จะไม่ผ่านบ้านหลังนี้ไหม
เราคิดว่ากว่าจะเขียนข้อมูลเสร็จน่าจะทุ่มกว่าๆ แต่พอเราขับรถไปถึงสุดซอยที่เลี้ยวมาเราพบเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ ไม่ใช่บ้านคน เราได้โทรถามผู้ใหญ่บ้านท่านได้แจ้งว่า บ้านที่ขายโลงนั้นแหละ คือบ้านที่เราตามหา ผู้ใหญ่สื่อสารและเราฟังที่ผู้ใหญ่พูดเรื่องทางไม่เข้า
ช่วงนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เราก็กว่าจะกลับรถและขับรถออกมาได้ ถนนก็เป็นดิน เจอฝนก็เละ ตอนนั้นเรารีบเหยียบสุดกำลัง ผีก็กลัว รถก็กลัวติด
พอเรามาถึงบ้านขายโรงศพเราจอดรถแต่ยังไม่ดับเครื่อง คิดว่าจะลงดีไหม บ้านมืดมาก แต่เราก็เหลือบไปเห็นลุงแก่ๆ แกเดินออกมาจากบ้าน สงสัยแกคิดว่าเราหลงทาง เราจึงบอกแกว่าเรามาสำรวจข้อมูลของคนชื่อ นี้ๆๆๆ ที่สมัครผู้มีรายได้น้อยไป
ลุงแกก็ยิ้มและชวนไปนั่งในบ้าน ตอนนั้นเราคิดว่า ผีหลอกกูหรือปล่าววะ แต่ก็นะ หน้าที่เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องทำไป เราไปนั่งสอบถามข้อมูลลุงแก
ในบ้านลุงบรรยากาศวังเวงยังไงชอบกล ทั้งโลงเย็น โลงศพ ลุงแกเล่าว่า ชาวบ้านไม่ค่อยชอบใจที่ลุงกับลูกขายโลง เลยให้ออกมาอยู่นอกหมู่บ้าน
เราก็ใจหนึ่งอยากสำรวจให้แล้วๆเสร็จ แต่ลุงแกก็หาบัตรประชาชนไม่เจอสักที ดูนาฬิกาก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ในก็ฝกหนัก ทางออกจากคุ้มนี้ก็เป็นดินอีก
ระหว่างที่เรานั่งรอลุง ก็มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ เช่น เสียงของตก เสียงดังมากจากในโลงเย็น แต่ก็พยายามข่มใจไว้
ต่อมากรอกข้อมูลได้ไม่นานลูกชายลุงก็กลับมาพร้อมขวดเหล้าขาว เราได้ยินลุงสนทนากับลูกว่า โลงเย็นไม่ทำงาน ศพอืดน้ำเหลืองเต็มโลงเย็นเลย รีบล้างเหล้าขาวจะได้ เรียกช่างมาซ่อม พร้อมหันมาบอกเราว่า ไม่ต้องตกใจนะ โลงที่ว่าอยู่ข้างบ้านตรงนู่น
ตอนนั้นก็โล่งใจไปหนึ่งเปาะ พอเราสำรวจข้อมูลเสร็จ มันก็ดึกแล้ว ลุงเลยบอกว่าจะให้ลูกชายขับรถนำทางไปส่ง ลูกชายลุงแกก็ถามว่าบ้านเราอยู่ไหน เราก็ตอบว่าอยู่ตรงนี้ๆ ลุงแกเดินมาห้ามไม่ต้องพูดต่อแล้วเรื่องที่อยู่อ้ะ แล้วให้ลูกชายแกไปส่งถึงถนนตรงอ่างเก็บน้ำ
จากนั้นลุงแกก็ห้ามว่า เดินไปอย่างเดียวอย่าหันหลังกลับมานะ ละให้เดินไปเงียบๆ ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก ห้ามหัน มันดึกแล้วเราต้องขับรถกลับบ้านอีก
เราตอนนั้นคิดในใจ "ไม่น่าพูดเรื่องที่อยู่กับลูกลุงแกเลย ผีอย่าตามกูมานะ อย่าตามกูมา…!!"
พอเราขับรถจะถึงเข้าตัวหมู่บ้าน ตอนขามาเราเลือกมาทางดีแต่อ้อมไกล แต่ตอนนี้ลูกลุงแกพาเรามาทางลัด ข้างทางฝั่งซ้ายเป็นป่า ขวามือเป็นวัด โดยลูกลุงขับมอเตอร์ไซต์นำหน้า ตลอดทางที่ขับรถมาเรารู้สึกว่า มีอะไรผิดปกติกลับหลังรถ เหมือนมีเงาผุบๆ โผล่ๆ อยู่ท้ายรถ ตอนนั้นเราคิดว่าคงกลัวไปเอง
พอเราขับรถถึงทางไปอ่างเก็บน้ำ ตอนนั้นก็ดึกแล้ว ประกอบกับง่วงมาก ที่พักเราอยู่หลังอ่างเก็บน้ำ แต่ที่ที่เราไปสำรวจอยู่ฝั่งหน้าอ่างเก็บน้ำ เราเลยเลือกเดินทางโดยทางลัดซึ่งขวามือจะมีบ้านร้าง เราก็ขับมาเรื่อยๆจนพบกับทางโค้งและความผิดปกติก็เกิดขึ้น เราเห็นผู้หญิงอยู่ข้างทางยืนหลังต้นไม้ รู้เลยว่าผีแน่ๆ
ตอนนั้นเหยียบมิดไมล์เลยพอเรากำลังจะเลี้ยวเข้าถนนเลียบคลองระบายน้ำ เราก็เจอกับอีผีตัวเดิมอีกแต่ที่หน้าแปลกคือ มันไปยืนอยู่ตรงซุ้มขายของที่ร้างข้างทาง "พิมพ์ไปขนลุกไป" ตอนนั้นคิดในใจ อี
เอ้ย มาจองเวรอะไรกับกูนักหนา
สติเราก็ไม่ครบ ตอนนั้นคิดถึงแต่พระพุทธรูปองค์โต ที่สร้างอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่ง เราก็รีบขับรถแต่ลืมคิดไปกว่าจะถึงทางมันเปลี่ยวมาก แต่ไม่รู้ทำไมระหว่างขับรถบนถนนเส้นนั้น เส้นเรียบอ่าง……… ที่เขาว่าผีเฮี้ยนนักหนา แต่เรากลับรู้สึกอุ่นใจ แบบอบอุ่นไม่ได้รู้สึกเย็นเหมือนตลอดทางที่ผ่านมา
สงสัยผีมันก็คงมีอาณาเขตของมันละมั้ง และไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร จะเข้าหลังมหาลัยยามล็อคประตูอีก ต้องขับรถเลียบคลองเพื่อไปข้างหน้า
ในใจหวังว่าอีผีนั้นคงไม่มานั่งบนหลักกีโลติดถนนนะ
เราซิ่งเต็มที่เจอทางโค้งซ้ายมือมีศาล เราเลยชะลอรถแต่เราพบเด็กผู้หญิง 2 คน น่าจะเรียนมหาลัย น้องเขาโบกรถขอคงามช่วยเหลือ
ตอนนั้นใจก็ไม่อยากจอด แต่สุดท้ายก็ต้องจอด น้องเขารถล้มห้วแตกเลือดไหลเยอะมาก น้องเลยขอให้เราไปตามเพื่อนที่อยู่ในร้านอาหารหน้ามหาลัย เราเลยเลือกที่โทรแจ้ง 1669 ก่อน ดูจากสภาพแล้วไม่น่าไหว จากนั้นเลยให้คนรู้จักไปบอกเพื่อนน้องที่ร้านอาหารมาดูอาการน้อง
ขากผู้ประสบภัยจากอีผี
เลยกลายเป็นคนช่วยเหลือผู้ประสบภัย ละถ้าเราไม่ขับทางนั้น ไม่รู้ว่าน้องเขาจะเป็นไงบ้าง ละทางเส้นนั้นช่วงดึกๆ นานๆทีจะมีรถผ่านสักคัน อีผีเวรนี้ต้องบาปมากแน่ๆ
หลังจากจัดการช่วยน้องแล้ว เราก็เดินทางกลับบ้านพักผ่อน ตอนตี 3 กว่าๆ เราสะดุ้งตื่อนเพราะเสียง จรในหมู่บ้านหอนรับกันมาตั้งแต่ปากซอย ซึ่งปกติจะหม่บ่อยนักที่หมาจะหอน เราก็ได้แต่ภาวนากับเจ้าที่ว่าอย่าให้อีผีนั้นเข้ามาหาเราได้นะ คืนนั้นเราไม่ได้นอนทั้งคืนเลย ได้ยินเสียงเหมือนคนเขย่ารั้ว
พอตื่นเช้ามาเพื่อนบ้านบอกว่า สามีกลับมาจากทำงานการ์ดในผับ เห็นคนบ้านจากไหนไม่รู้มายืนเกาะรั้วแลบลิ้น ปลิ้นตาอยู่หน้าบ้านเรา
วันนั้นเราลางานเลย แล้ววางแผนจะนิมนต์พระมารดน้ำมันต์และทำบุญบ้านเลย แต่วันนั้นวันซวยอะไรไม่รู้ พระไม่ว่างสักวัด มีคิวว่างแต่ตอนหลังเที่ยง พระท่านก็ไม่ทำพิธีให้เพราะท่านเชื่อว่า ทำตอนเช้าชีวิตจะได้เจริญและสว่างไปข้างหน้า
คืนนั้นเราเลยต้องไปนอนกลับเพื่อน คู่หูที่เราไปสำรวจด้วยกันนั้นแหละ ส่วนเพื่อนเราคนนี้ก็ป่วยไม่หายสักที ซีดผอมไปหมด
ตกดึกมาช่วง 4 ทุ่ม เราได้ยินเพื่อนเราหายใจดังมาก เหมือนเสียงหมูเราเลยปลุกเพื่อน แล้วถามว่าไปโรงพยาบาลไหม
แต่เพื่อนเราบอกว่าไม่เป็นไร แค่นอนละเมอ พูดภาษาเขมร ซึ่งเพื่อนเราเป็นคนภาคกลาง พร้อมฝันว่ามีผู้หญิงว้ยกลางคนมาจับหัวเข่า ลูบตรงหัวเข่า ตอนนั้นเรารีบโทรหาพี่ที่สำนักงานผู้ชายให้ให้มาหาเราที่ห้องพักเลย (ความเชื่อบ้านเราคือ ถ้าป่วยห้ามให้ใครจับเข่า เพราะเขาว่าผีปอบมันหาทางเข้าสิงร่าง)
ผ่านไปไม่กี่นาทีพี่ๆผู้ชายก็ทาถึง เราเลยบอกว่าพาเพื่อนไปหาหลวงปู่ ที่วัด…… นี้เลยตอนนี้
ระหว่างเดินทางเพื่อนเราเรื่มอาการแย่ เรื่มพูดจาไม่รู้เรื่อง เริ่มโวยวาย พอไปถึงวัดช่วงดึก พระอาจารย์ท่านกำลังจะจำวัด ผู้ชายต่างฉุดกระชากจะพาเพื่อนเราเข้าไปหาพระอาจารย์ แต่สู้แรงเพื่อนเราไม่ได้เลย พอพระอาจารย์มาถึงท่านก็สนทนากับปอบตัวนี้ เป็นภาษาเขมร เราก็แปลไม่ออก แต่ลูกศิษย์ท่านแปลให้ฟังว่า มันมากับเราตั้งแต่ป่าหน้าวัดตอนเราเดินทางกลับจากสำรวจข้อมูล มันรอกินเราแต่กินไม่ได้เพราะมันสู้ผีโรงต้นตระกูลเราไม่ได้ (เราเป็นมอญ นับถือผีโรง) มันเลยรอช่วงเราอ่อนแอ
เหมาะกับเราเดินทางออกมาจากบ้านมันเลยตามเรามาเลยเจอเพื่อนเรา มันเลยจะกินเพื่อนเราแทน มันบอกว่ามันจะกลับไปเรียกเพื่อนมันที่อยู่ป่าหน้าวัดมากินเพื่อนเราให้ตายเลย แต่ผ่านไปไม่นานเสียงมันก็โหยหวน พระอาจารย์ท่านบอกว่าจับมันขังแล้วเรียบร้อย พรุ่งนี้จะให้ลูกศิษย์เอามันไปถ่วงน้ำ
ส่วนเราก็ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ผ่านตรงนั้นก็พอ ถ้าไม่มีอะไรไปชักนำมันมามันก็ไม่มีปัญญามาหรอก
ตอนแรกเราก็คิดว่าตามมาตั้งแต่บ้านลุงขายโลง
จบแล้วยะคะ
ปอบ ของแถมที่มาจากการออกเก็บข้อมูล
เราและเพื่อนในหน่วยงานได้รับผิดชอบเขตนอกเมือง จังหวัดแถวอีสานใต้ ด้วยความที่อาชีพเราทำงานในหน่วยงานรัฐจะไปเก็บข้อมูลในช่วงที่ทำงานไม่ได้ ต้องไปหลังเลิกงาน เราเก็บข้อมูลมาเกือบครบทุกคนแล้ว เหลืออยู่ตกค้างไม่กี่คน
ครั้งนี้ต้องเดินทางไปเก็บข้อมูลคนเดียว เพราะเพื่อนป่วย โดยหมู่บ้านสุดท้ายที่เหลืออยู่ไม่ไกลจากอ่างเก็บน้ำ เท่าไหร่นัก บ้านแต่ละหลังค่อนข้างห่างกัน
แยกกันเป็นคุ้มๆ ขนาดเล็ก แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ สภาพถนนที่เป็นดิน เรามาถึงบ้านหลังท้ายสุดของคุ้มแล้ว เวลาตอนนั้นจำได้คร่าวๆ น่าจะ หกโมงเย็น
ก่อนจะถึงบ้านหลังนั้นเราต้องขับรถไปบนถนนดินเล็กๆ พอให้รถเก๋งคนเล็กๆ ผ่านได้คันเดียว ตอนไปเราได้สังเกตเห็นซ้ายมือเป็นร้านขายโลงศพ หน้าบ้านปกคลุมไปด้วยต้นมะม่วงใหญ่ บ้านดูหน้ากลัวมาก ไฟหน้าบ้านก็ไม่เปิด ตอนนั้นเราก็คิดแล้วว่า จะถามบ้านที่เราไปสำรวจข้อมูลว่ามีทางที่จะไม่ผ่านบ้านหลังนี้ไหม
เราคิดว่ากว่าจะเขียนข้อมูลเสร็จน่าจะทุ่มกว่าๆ แต่พอเราขับรถไปถึงสุดซอยที่เลี้ยวมาเราพบเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ ไม่ใช่บ้านคน เราได้โทรถามผู้ใหญ่บ้านท่านได้แจ้งว่า บ้านที่ขายโลงนั้นแหละ คือบ้านที่เราตามหา ผู้ใหญ่สื่อสารและเราฟังที่ผู้ใหญ่พูดเรื่องทางไม่เข้า
ช่วงนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เราก็กว่าจะกลับรถและขับรถออกมาได้ ถนนก็เป็นดิน เจอฝนก็เละ ตอนนั้นเรารีบเหยียบสุดกำลัง ผีก็กลัว รถก็กลัวติด
พอเรามาถึงบ้านขายโรงศพเราจอดรถแต่ยังไม่ดับเครื่อง คิดว่าจะลงดีไหม บ้านมืดมาก แต่เราก็เหลือบไปเห็นลุงแก่ๆ แกเดินออกมาจากบ้าน สงสัยแกคิดว่าเราหลงทาง เราจึงบอกแกว่าเรามาสำรวจข้อมูลของคนชื่อ นี้ๆๆๆ ที่สมัครผู้มีรายได้น้อยไป
ลุงแกก็ยิ้มและชวนไปนั่งในบ้าน ตอนนั้นเราคิดว่า ผีหลอกกูหรือปล่าววะ แต่ก็นะ หน้าที่เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องทำไป เราไปนั่งสอบถามข้อมูลลุงแก
ในบ้านลุงบรรยากาศวังเวงยังไงชอบกล ทั้งโลงเย็น โลงศพ ลุงแกเล่าว่า ชาวบ้านไม่ค่อยชอบใจที่ลุงกับลูกขายโลง เลยให้ออกมาอยู่นอกหมู่บ้าน
เราก็ใจหนึ่งอยากสำรวจให้แล้วๆเสร็จ แต่ลุงแกก็หาบัตรประชาชนไม่เจอสักที ดูนาฬิกาก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ในก็ฝกหนัก ทางออกจากคุ้มนี้ก็เป็นดินอีก
ระหว่างที่เรานั่งรอลุง ก็มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ เช่น เสียงของตก เสียงดังมากจากในโลงเย็น แต่ก็พยายามข่มใจไว้
ต่อมากรอกข้อมูลได้ไม่นานลูกชายลุงก็กลับมาพร้อมขวดเหล้าขาว เราได้ยินลุงสนทนากับลูกว่า โลงเย็นไม่ทำงาน ศพอืดน้ำเหลืองเต็มโลงเย็นเลย รีบล้างเหล้าขาวจะได้ เรียกช่างมาซ่อม พร้อมหันมาบอกเราว่า ไม่ต้องตกใจนะ โลงที่ว่าอยู่ข้างบ้านตรงนู่น
ตอนนั้นก็โล่งใจไปหนึ่งเปาะ พอเราสำรวจข้อมูลเสร็จ มันก็ดึกแล้ว ลุงเลยบอกว่าจะให้ลูกชายขับรถนำทางไปส่ง ลูกชายลุงแกก็ถามว่าบ้านเราอยู่ไหน เราก็ตอบว่าอยู่ตรงนี้ๆ ลุงแกเดินมาห้ามไม่ต้องพูดต่อแล้วเรื่องที่อยู่อ้ะ แล้วให้ลูกชายแกไปส่งถึงถนนตรงอ่างเก็บน้ำ
จากนั้นลุงแกก็ห้ามว่า เดินไปอย่างเดียวอย่าหันหลังกลับมานะ ละให้เดินไปเงียบๆ ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก ห้ามหัน มันดึกแล้วเราต้องขับรถกลับบ้านอีก
เราตอนนั้นคิดในใจ "ไม่น่าพูดเรื่องที่อยู่กับลูกลุงแกเลย ผีอย่าตามกูมานะ อย่าตามกูมา…!!"
พอเราขับรถจะถึงเข้าตัวหมู่บ้าน ตอนขามาเราเลือกมาทางดีแต่อ้อมไกล แต่ตอนนี้ลูกลุงแกพาเรามาทางลัด ข้างทางฝั่งซ้ายเป็นป่า ขวามือเป็นวัด โดยลูกลุงขับมอเตอร์ไซต์นำหน้า ตลอดทางที่ขับรถมาเรารู้สึกว่า มีอะไรผิดปกติกลับหลังรถ เหมือนมีเงาผุบๆ โผล่ๆ อยู่ท้ายรถ ตอนนั้นเราคิดว่าคงกลัวไปเอง
พอเราขับรถถึงทางไปอ่างเก็บน้ำ ตอนนั้นก็ดึกแล้ว ประกอบกับง่วงมาก ที่พักเราอยู่หลังอ่างเก็บน้ำ แต่ที่ที่เราไปสำรวจอยู่ฝั่งหน้าอ่างเก็บน้ำ เราเลยเลือกเดินทางโดยทางลัดซึ่งขวามือจะมีบ้านร้าง เราก็ขับมาเรื่อยๆจนพบกับทางโค้งและความผิดปกติก็เกิดขึ้น เราเห็นผู้หญิงอยู่ข้างทางยืนหลังต้นไม้ รู้เลยว่าผีแน่ๆ
ตอนนั้นเหยียบมิดไมล์เลยพอเรากำลังจะเลี้ยวเข้าถนนเลียบคลองระบายน้ำ เราก็เจอกับอีผีตัวเดิมอีกแต่ที่หน้าแปลกคือ มันไปยืนอยู่ตรงซุ้มขายของที่ร้างข้างทาง "พิมพ์ไปขนลุกไป" ตอนนั้นคิดในใจ อี เอ้ย มาจองเวรอะไรกับกูนักหนา
สติเราก็ไม่ครบ ตอนนั้นคิดถึงแต่พระพุทธรูปองค์โต ที่สร้างอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่ง เราก็รีบขับรถแต่ลืมคิดไปกว่าจะถึงทางมันเปลี่ยวมาก แต่ไม่รู้ทำไมระหว่างขับรถบนถนนเส้นนั้น เส้นเรียบอ่าง……… ที่เขาว่าผีเฮี้ยนนักหนา แต่เรากลับรู้สึกอุ่นใจ แบบอบอุ่นไม่ได้รู้สึกเย็นเหมือนตลอดทางที่ผ่านมา
สงสัยผีมันก็คงมีอาณาเขตของมันละมั้ง และไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร จะเข้าหลังมหาลัยยามล็อคประตูอีก ต้องขับรถเลียบคลองเพื่อไปข้างหน้า
ในใจหวังว่าอีผีนั้นคงไม่มานั่งบนหลักกีโลติดถนนนะ
เราซิ่งเต็มที่เจอทางโค้งซ้ายมือมีศาล เราเลยชะลอรถแต่เราพบเด็กผู้หญิง 2 คน น่าจะเรียนมหาลัย น้องเขาโบกรถขอคงามช่วยเหลือ
ตอนนั้นใจก็ไม่อยากจอด แต่สุดท้ายก็ต้องจอด น้องเขารถล้มห้วแตกเลือดไหลเยอะมาก น้องเลยขอให้เราไปตามเพื่อนที่อยู่ในร้านอาหารหน้ามหาลัย เราเลยเลือกที่โทรแจ้ง 1669 ก่อน ดูจากสภาพแล้วไม่น่าไหว จากนั้นเลยให้คนรู้จักไปบอกเพื่อนน้องที่ร้านอาหารมาดูอาการน้อง
ขากผู้ประสบภัยจากอีผี เลยกลายเป็นคนช่วยเหลือผู้ประสบภัย ละถ้าเราไม่ขับทางนั้น ไม่รู้ว่าน้องเขาจะเป็นไงบ้าง ละทางเส้นนั้นช่วงดึกๆ นานๆทีจะมีรถผ่านสักคัน อีผีเวรนี้ต้องบาปมากแน่ๆ
หลังจากจัดการช่วยน้องแล้ว เราก็เดินทางกลับบ้านพักผ่อน ตอนตี 3 กว่าๆ เราสะดุ้งตื่อนเพราะเสียง จรในหมู่บ้านหอนรับกันมาตั้งแต่ปากซอย ซึ่งปกติจะหม่บ่อยนักที่หมาจะหอน เราก็ได้แต่ภาวนากับเจ้าที่ว่าอย่าให้อีผีนั้นเข้ามาหาเราได้นะ คืนนั้นเราไม่ได้นอนทั้งคืนเลย ได้ยินเสียงเหมือนคนเขย่ารั้ว
พอตื่นเช้ามาเพื่อนบ้านบอกว่า สามีกลับมาจากทำงานการ์ดในผับ เห็นคนบ้านจากไหนไม่รู้มายืนเกาะรั้วแลบลิ้น ปลิ้นตาอยู่หน้าบ้านเรา
วันนั้นเราลางานเลย แล้ววางแผนจะนิมนต์พระมารดน้ำมันต์และทำบุญบ้านเลย แต่วันนั้นวันซวยอะไรไม่รู้ พระไม่ว่างสักวัด มีคิวว่างแต่ตอนหลังเที่ยง พระท่านก็ไม่ทำพิธีให้เพราะท่านเชื่อว่า ทำตอนเช้าชีวิตจะได้เจริญและสว่างไปข้างหน้า
คืนนั้นเราเลยต้องไปนอนกลับเพื่อน คู่หูที่เราไปสำรวจด้วยกันนั้นแหละ ส่วนเพื่อนเราคนนี้ก็ป่วยไม่หายสักที ซีดผอมไปหมด
ตกดึกมาช่วง 4 ทุ่ม เราได้ยินเพื่อนเราหายใจดังมาก เหมือนเสียงหมูเราเลยปลุกเพื่อน แล้วถามว่าไปโรงพยาบาลไหม
แต่เพื่อนเราบอกว่าไม่เป็นไร แค่นอนละเมอ พูดภาษาเขมร ซึ่งเพื่อนเราเป็นคนภาคกลาง พร้อมฝันว่ามีผู้หญิงว้ยกลางคนมาจับหัวเข่า ลูบตรงหัวเข่า ตอนนั้นเรารีบโทรหาพี่ที่สำนักงานผู้ชายให้ให้มาหาเราที่ห้องพักเลย (ความเชื่อบ้านเราคือ ถ้าป่วยห้ามให้ใครจับเข่า เพราะเขาว่าผีปอบมันหาทางเข้าสิงร่าง)
ผ่านไปไม่กี่นาทีพี่ๆผู้ชายก็ทาถึง เราเลยบอกว่าพาเพื่อนไปหาหลวงปู่ ที่วัด…… นี้เลยตอนนี้
ระหว่างเดินทางเพื่อนเราเรื่มอาการแย่ เรื่มพูดจาไม่รู้เรื่อง เริ่มโวยวาย พอไปถึงวัดช่วงดึก พระอาจารย์ท่านกำลังจะจำวัด ผู้ชายต่างฉุดกระชากจะพาเพื่อนเราเข้าไปหาพระอาจารย์ แต่สู้แรงเพื่อนเราไม่ได้เลย พอพระอาจารย์มาถึงท่านก็สนทนากับปอบตัวนี้ เป็นภาษาเขมร เราก็แปลไม่ออก แต่ลูกศิษย์ท่านแปลให้ฟังว่า มันมากับเราตั้งแต่ป่าหน้าวัดตอนเราเดินทางกลับจากสำรวจข้อมูล มันรอกินเราแต่กินไม่ได้เพราะมันสู้ผีโรงต้นตระกูลเราไม่ได้ (เราเป็นมอญ นับถือผีโรง) มันเลยรอช่วงเราอ่อนแอ
เหมาะกับเราเดินทางออกมาจากบ้านมันเลยตามเรามาเลยเจอเพื่อนเรา มันเลยจะกินเพื่อนเราแทน มันบอกว่ามันจะกลับไปเรียกเพื่อนมันที่อยู่ป่าหน้าวัดมากินเพื่อนเราให้ตายเลย แต่ผ่านไปไม่นานเสียงมันก็โหยหวน พระอาจารย์ท่านบอกว่าจับมันขังแล้วเรียบร้อย พรุ่งนี้จะให้ลูกศิษย์เอามันไปถ่วงน้ำ
ส่วนเราก็ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ผ่านตรงนั้นก็พอ ถ้าไม่มีอะไรไปชักนำมันมามันก็ไม่มีปัญญามาหรอก
ตอนแรกเราก็คิดว่าตามมาตั้งแต่บ้านลุงขายโลง
จบแล้วยะคะ