เรามีอาการมีเสียงที่ไหล่เวลาขยับ ดังอยู่ข้างเดียวแล้วปวดเมื่อยง่ายมากๆอยู่ข้างเดียว ไม่รู้เกี่ยวกับตอนเด็กไหมที่หอบหนังสือไแเรียนวันละไม่ต่ำกว่า 5 กิโล เป็นมานานม่กๆตั้งแต่เมื่อไรจำไม่ได้ แต่พึ่งสังเกตตัวเองตอนเข้ามหาลัยใหม่ๆแล้วก็ไปหาหมอ
เคยไปหาหมอมาแล้วครั้งนึง x-ray เสร็จอะไรเสร็จหมอบอกไม่มีอะไร ในตอนนั้น
หมอแนะนำให้ออกกำลังกายท่านั้นนี้บ่อยๆนี่ก็ทำ
จนเรียนจบ เสียงยังคงอยู่ และเริ่มปวดเมื่อยบ่อยมากขึ้น
ปวดด้านมีเสียงด้านเดียว
เลยกังวลว่าอนาคตจะเป็นอะไรหนัก แต่ไม่รู้ว่ามีโรคอะไรเกี่ยวกับส่วนตรงนี้ ตัดสินใจไปหาหมออีกครั้ง
ก่อนพบหมอ เจอพยาบาลซักประวัติ
นั่งดูน้องคนก่อนหน้าก็เจอไมเบาเหมือนกัน ประมาณว่า น้องมีแผลที่ขาเป็นมานานแต่พึ่งมาหาหมอเพราะเหมือนแผลมันอักเสบมากขึ้น
แต่พยาบาลก็พูดแรง ทำนองว่า ทำไมไม่หาตั้งนาน ทำไมพึ่งมา ทำไมไม่มาวันราชกาล
แสดงว่าเป็นมานานแล้ว ทำนองนี้แหละ เหมือนรีบถาม รีบเสร็จ ทั้งที่ตอนนั้นคนไข้มีอยู่ไม่กี่คน แต่ในช่วงนั้นจริงๆใส่อารมณ์เข้าไปด้วยค่ะ น่าจะนึกภาพออกนะคะ
พอถึงคิวเราก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอถามแบบน้องเขาบ้างแหละ
ก็เจอจริงๆค่ะ
เราก็เล่าตามที่เราเกริ่นตอนต้นไปว่าเคยมาตรวจแล้ว แต่เสียงมันยังไม่หาย แล้วมันปวดเมื่อยง่ายๆมากอยู่ข้างเดียว
เราเริ่มอึดอัดขึ้นมาช่วงเวลานึงค่ะ
พยาบาลพูดทำนองว่า
ก็เคยมาตรวจแล้ว หมอบอกไม่มีอะไร มันก็ไม่มีอะไร
เสียงมันดังมากไหม เขาขอฟัง แล้วยื่นหน้ามาข้ามโต๊ะซักประวัติ
เราเลยบอกต้องมาใกล้กว่านี้ เพราะในโรงพยาบาลเสียงดังค่ะ
เค้าก็เลยสบถไปหน่อยๆ
ประมาณว่า โอ้ย ถ้าต้องเข้าไปฟังใกล้ๆขนาดนั้นมันไม่ดังหรอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
หนูยังใช้ชีวิตได้ปกติไหม มีปัญหาในการใช้ชีวิตไหม
หรือว่ากังวลอะไรกลัวอนาคตจะเป็นอะไรใช่ไหม
เราได้แต่พยักหน้าเพราะไม่มีโอกาสได้พูด
พอได้โอกาสพูด พยาบาลถามว่าหนูกังวลอะไร
เราตอบไปว่า ไม่รู้ค่ะ (กำลังคิดจะพูดต่อว่าไม่รู้ว่ามีโรคอะไรที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้บ้าง)
พยาบาลพูดสวนมาว่า ไม่รู้แล้วหมอจะช่วยยังไง แล้วก็ย้ำมาอีกครั้งว่ามันไม่มีอะไร
และ เสียงนี้มันก็จะอยู่กับหนูตลอดชีวิตแหละค่ะ
เจอประโยคนี้เข้าไปเราเหมือนหูอื้อไปเลยค่ะ
นั่งเงียบกับพยาบาลอยู่ครูนึง เขาคัย์ข้อมูลเอยู่เราเลยจะถามว่า
จะให้กลับบ้านเลยไหมคะ
พูดยังไม่จบเหมือนเดิมเขาก็พูดตัดมาว่า กำลังคีย์ข้อมูลอยู่ค่ะ เดี๋ยวจะให้เข้าตรวจกับคุณหมอ
โอเค เราก็ไม่อะไร
แล้วพอนั่งรอหมอหน้าห้อง ตอนนั้นมันคิดถึงแต่คำพูดพยาบาลแล้วน้ำตามันก็ไหลค่ะ
แล้วหมอที่คุยโทรศัพท์อยู่ก็เรียกเราไป เราก็ไปทั้งน้ำตาเลย
หมอก็แอบหัวเราะเราว่าเราร้องไห้ทำไม เราเลยบอกว่า ไม่โอเคกับพี่พยาบาลพูดค่ะ
คุณหมอก็เลยลุกออกไปบอกพี่พยบาลว่า น้องร้องไห้
พยาบาลคนนั้นก็รีบเข้ามาขอโทษเราอยู่ครูนึง และถามว่าเราอยู่กับใคร เราก็บอกอยู่กับย่าแล้วก็ป้า(ป้าก็เป็นพยายาบาลที่นี่เช่นกันแต่วันนี้ป้าไม่หยุดแต่เราไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้) แล้วก็บอกให้เรานั่งเล่นกับคุณหมอให้สบายใจก่อนค่อยออกไปรับยา เขาก็หันหลังเดินออกจากห้องไปพูดกับเพื่อนเขาว่า เป็นกันทั้งบ้าน
เราก็พยายามหยุดน้ำตาตัวเองตรงนั้น รบกวนคุณหมอต้องขอล้างหน้าตรงนั้นอีก
แล้วสักพักพยาบาลคนนั้นก็ให้เรามายู่อีกห้องนึง เพราะมีคนไข้ต่อ
แล้วพยาบาลก็นั่งขอโทษเราอีกรอบนึง แบ้วบอกเหตุผลทำนองว่ารีบถามไปหน่อย แล้วก็ขอโทษอีกครั้งก่อนออกไป พอออกไปก็พูดอีกว่า เป็นทั้งบ้าน
คเราพยายามหยุดร้องไห้เพราะอยากออกไปจากตรงนี้มากๆแล้ว
ตั้งใจว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้คนในครอบครัวฟัง เราไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาเครียดเรื่องของเราที่ดูจะไม่เข้าท่าสักเท่าไร
และจะถือว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เราเจอแบบนี้
แต่จะขอบันทึกไว้กันลืม
ขอพื้นที่ระบายเรื่องพยาบาลค่ะ
เคยไปหาหมอมาแล้วครั้งนึง x-ray เสร็จอะไรเสร็จหมอบอกไม่มีอะไร ในตอนนั้น
หมอแนะนำให้ออกกำลังกายท่านั้นนี้บ่อยๆนี่ก็ทำ
จนเรียนจบ เสียงยังคงอยู่ และเริ่มปวดเมื่อยบ่อยมากขึ้น
ปวดด้านมีเสียงด้านเดียว
เลยกังวลว่าอนาคตจะเป็นอะไรหนัก แต่ไม่รู้ว่ามีโรคอะไรเกี่ยวกับส่วนตรงนี้ ตัดสินใจไปหาหมออีกครั้ง
ก่อนพบหมอ เจอพยาบาลซักประวัติ
นั่งดูน้องคนก่อนหน้าก็เจอไมเบาเหมือนกัน ประมาณว่า น้องมีแผลที่ขาเป็นมานานแต่พึ่งมาหาหมอเพราะเหมือนแผลมันอักเสบมากขึ้น
แต่พยาบาลก็พูดแรง ทำนองว่า ทำไมไม่หาตั้งนาน ทำไมพึ่งมา ทำไมไม่มาวันราชกาล
แสดงว่าเป็นมานานแล้ว ทำนองนี้แหละ เหมือนรีบถาม รีบเสร็จ ทั้งที่ตอนนั้นคนไข้มีอยู่ไม่กี่คน แต่ในช่วงนั้นจริงๆใส่อารมณ์เข้าไปด้วยค่ะ น่าจะนึกภาพออกนะคะ
พอถึงคิวเราก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอถามแบบน้องเขาบ้างแหละ
ก็เจอจริงๆค่ะ
เราก็เล่าตามที่เราเกริ่นตอนต้นไปว่าเคยมาตรวจแล้ว แต่เสียงมันยังไม่หาย แล้วมันปวดเมื่อยง่ายๆมากอยู่ข้างเดียว
เราเริ่มอึดอัดขึ้นมาช่วงเวลานึงค่ะ
พยาบาลพูดทำนองว่า
ก็เคยมาตรวจแล้ว หมอบอกไม่มีอะไร มันก็ไม่มีอะไร
เสียงมันดังมากไหม เขาขอฟัง แล้วยื่นหน้ามาข้ามโต๊ะซักประวัติ
เราเลยบอกต้องมาใกล้กว่านี้ เพราะในโรงพยาบาลเสียงดังค่ะ
เค้าก็เลยสบถไปหน่อยๆ
ประมาณว่า โอ้ย ถ้าต้องเข้าไปฟังใกล้ๆขนาดนั้นมันไม่ดังหรอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
หนูยังใช้ชีวิตได้ปกติไหม มีปัญหาในการใช้ชีวิตไหม
หรือว่ากังวลอะไรกลัวอนาคตจะเป็นอะไรใช่ไหม
เราได้แต่พยักหน้าเพราะไม่มีโอกาสได้พูด
พอได้โอกาสพูด พยาบาลถามว่าหนูกังวลอะไร
เราตอบไปว่า ไม่รู้ค่ะ (กำลังคิดจะพูดต่อว่าไม่รู้ว่ามีโรคอะไรที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้บ้าง)
พยาบาลพูดสวนมาว่า ไม่รู้แล้วหมอจะช่วยยังไง แล้วก็ย้ำมาอีกครั้งว่ามันไม่มีอะไร
และ เสียงนี้มันก็จะอยู่กับหนูตลอดชีวิตแหละค่ะ
เจอประโยคนี้เข้าไปเราเหมือนหูอื้อไปเลยค่ะ
นั่งเงียบกับพยาบาลอยู่ครูนึง เขาคัย์ข้อมูลเอยู่เราเลยจะถามว่า
จะให้กลับบ้านเลยไหมคะ
พูดยังไม่จบเหมือนเดิมเขาก็พูดตัดมาว่า กำลังคีย์ข้อมูลอยู่ค่ะ เดี๋ยวจะให้เข้าตรวจกับคุณหมอ
โอเค เราก็ไม่อะไร
แล้วพอนั่งรอหมอหน้าห้อง ตอนนั้นมันคิดถึงแต่คำพูดพยาบาลแล้วน้ำตามันก็ไหลค่ะ
แล้วหมอที่คุยโทรศัพท์อยู่ก็เรียกเราไป เราก็ไปทั้งน้ำตาเลย
หมอก็แอบหัวเราะเราว่าเราร้องไห้ทำไม เราเลยบอกว่า ไม่โอเคกับพี่พยาบาลพูดค่ะ
คุณหมอก็เลยลุกออกไปบอกพี่พยบาลว่า น้องร้องไห้
พยาบาลคนนั้นก็รีบเข้ามาขอโทษเราอยู่ครูนึง และถามว่าเราอยู่กับใคร เราก็บอกอยู่กับย่าแล้วก็ป้า(ป้าก็เป็นพยายาบาลที่นี่เช่นกันแต่วันนี้ป้าไม่หยุดแต่เราไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้) แล้วก็บอกให้เรานั่งเล่นกับคุณหมอให้สบายใจก่อนค่อยออกไปรับยา เขาก็หันหลังเดินออกจากห้องไปพูดกับเพื่อนเขาว่า เป็นกันทั้งบ้าน
เราก็พยายามหยุดน้ำตาตัวเองตรงนั้น รบกวนคุณหมอต้องขอล้างหน้าตรงนั้นอีก
แล้วสักพักพยาบาลคนนั้นก็ให้เรามายู่อีกห้องนึง เพราะมีคนไข้ต่อ
แล้วพยาบาลก็นั่งขอโทษเราอีกรอบนึง แบ้วบอกเหตุผลทำนองว่ารีบถามไปหน่อย แล้วก็ขอโทษอีกครั้งก่อนออกไป พอออกไปก็พูดอีกว่า เป็นทั้งบ้าน
คเราพยายามหยุดร้องไห้เพราะอยากออกไปจากตรงนี้มากๆแล้ว
ตั้งใจว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้คนในครอบครัวฟัง เราไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาเครียดเรื่องของเราที่ดูจะไม่เข้าท่าสักเท่าไร
และจะถือว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เราเจอแบบนี้
แต่จะขอบันทึกไว้กันลืม