ด้วยความที่เราชอบทานกาแฟ จึงมีความสนใจในเรื่องกาแฟเป็นพิเศษ ทริปนี้ตั้งใจมาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อให้การทานกาแฟของตัวเองดูมีเรื่องราวมากขึ้น โดยปักหมุดมาไกลถึง ดอยช้าง ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย บนพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,485 เมตร แหล่งผลิตกาแฟคุณภาพดีแห่งหนึ่งของประเทศไทย และมีการส่งออกไปยังทั่วโลกทั้งโซนอเมริกา ยุโรป และเอเชีย
ด้วยความบังเอิญไปเจอ coffee workshop ที่น่าสนใจ เราจึงรีบสมัครและตีตั๋วเดินทางขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ช่วงที่เดินทางคือ เดือนมกราคม เป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟพอดี (ปกติเก็บเกี่ยวประมาณเดือนตุลา-มีนา) ซึ่ง workshop ที่เรามานั้นใช้เวลา 3 วัน 2 คืน อยู่แต่ไร่กาแฟเป็นหลัก ในโปรแกรมไปดูพระอาทิตย์ตก บนยอดดอยช้าง จุดเดียวเท่านั้นที่ได้ออกมานอกไร่กาแฟ 555 เราจึงเลือกเที่ยวบินไปถึงเช้าและกลับดึก และวางแผนเที่ยวตัวเมืองเชียงรายและดอยช้างไปด้วยในครั้งนี้เลย เชื่อมั้ยว่า..สิ่งที่สมาชิกผู้ร่วมทริปตื่นเต้น ไม่ใช่การเที่ยว Landmark ต่างๆ แต่เป็นกิจกรรมในไร่กาแฟที่ไม่รู้ว่าต้องไปเจออะไรบ้าง จะน่าเบื่อหรือไม่ หรือจะสนุกขนาดไหน...ไปรู้พร้อมๆกันเลยคะ
แผนการเดินทาง
1 : พิพิธภัณฑ์บ้านดำ, วัดห้วยปลากั้ง, Leehu Coffee Farm (Workshop Day1)
2 : Leehu Coffee Farm (Workshop Day2), จุดชมวิวดอยช้าง
3 : Leehu Coffee Farm (Workshop Day3), Akha Farmville, ไฮเดรนเยียซัง, วัดร่องขุ่น, สิงห์ปาร์ค , วัดร่องเสือเต้น
วันแรกของการเดินทาง เราได้เหยียบสนามบินแม่ฟ้าหลวงเป็นครั้งแรก ....ครั้งแรกในการเดินทางมาเชียงราย ในรูปแบบทริปของคนรักกาแฟ ไม่รู้ว่าความนึกคิดแรกของทุกคนเกี่ยวกับเชียงรายจะเป็นเรื่องอะไร หรือสถานที่ไหน สำหรับเรานึกถึง "กาแฟดอยช้าง" กับ "วัดร่องขุ่น"
มาเริ่มที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ เป็นเรือนไม้สีดำที่อยู่ด้านหน้าสวยงามมากทีเดียว ด้านในมีภาพเขียน รูปปั้นไม้แกะสลัก ของหายากหลายอย่างเช่น หนังจระเข้ ผ่านเรือนไม้หลังแรก เดินเข้ามาก็เจอเรือนไม้อีกหลายหลังคุมโทนสีดำเหมือนกันหมด สถานที่กว้างขวางพอสมควร เดินชมได้เรื่อยๆ ใครเหนื่อยแวะทานไอศครีมเพิ่มพลังกันได้ มีรสชาร์โคลด้วยเข้ากับคอนเซ็ปของสถานที่ด้วย
ที่หมายถัดไปคือวัดห้วยปลากั้ง ในบริเวณวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ อาคารทรงคล้ายเก๋งจีน รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนเนินเขา และอาคารที่เป็นโบสถ์ ตรงรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมจะเดินขึ้นบันไดเองก็ได้ หรือจะใช้บริการรถรับส่งก็ได้ ด้านบนตัวรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมนั้นมีจุดชมวิว สามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวด้านบนโดยเสียค่าเข้าชม 20 บาท ด้านบนตกแต่งด้วยรูปปั้นแกะสลักสีขาว ด้วยความที่ทุกสิ่งขาวไปหมด เรารู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ยังไงยังงั้นเลย
เที่ยวหอมปากหอมคอได้ 2 ที่ เสร็จจากที่วัดได้เวลาขึ้นดอยไป Leehu Coffee Farm กันแล้ว พอถึงก็เช็คอิน เอากระเป๋าเข้าห้องพัก แล้วก็ออกมารอที่ร้านกาแฟของฟาร์ม หยิบตะกร้าคนละใบ สะพายหลัง เตรียมไปเก็บเมล็ดกาแฟกันค่า
กิจกรรมที่ฟาร์มเริ่มบ่ายสาม คุณจอร์จและคุณหวานเจ้าของฟาร์ม เล่าประวัติความเป็นมาของฟาร์ม และที่มาที่ไปของ Coffee Workshop ที่จัดขึ้นให้พวกเราที่สนใจเรื่องกาแฟ ได้ไปเรียนรู้จากของจริงจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ นับถือความคิดของทั้งคู่จริงๆ ปรบมือให้รัวๆ เลยค่า
เจ้าของฟาร์มให้ข้อมูลว่า เมื่อก่อนดอยช้างปลูกฝิ่น ทำไร่เลื่อนลอย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานเมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าให้ชาวเขามาปลูกเพื่อเปลี่ยนแปลง และพัฒนาที่ดินทำกินของตนเองมาเป็นไร่กาแฟกัน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้หลายครอบครัวบนดอยช้าง แล้วทั้งคู่ก็มีไอเดียพัฒนาโฮมสเตย์เล็กๆของครอบครัว ให้กลายมาเป็นฟาร์มสเตย์ที่แสนจะอบอุ่น มีกิจกรรมให้ทำมากมาย มีคาเฟ่ และมีร้านอาหารด้วย
ทำความรู้จัก Leehu Coffee Farm ไปกันแล้ว ได้เวลาลงมือปฏิบัติจริง สายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟที่ปลูกที่นี่มี 2 สายพันธุ์คืออาราบิก้าสีแดงและอาราบิก้าสีเหลือง ปีนี้ต้นเชอร์รี่ออกผลผลิตน้อย ต้นไม่ค่อยดก มีให้เก็บไม่เยอะ เจ้าของฟาร์มขู่ว่าถ้าเก็บไม่เต็มตะกร้าไม่ให้ทานข้าวมื้อเย็น (อูยย ล้อเล่น 555) ก็เก็บกันสนุกๆ แหละ ผ่านโซนต้นเชอร์รี่ ก็เจอแปลงผักสลัดที่ใช้ทำอาหารในฟาร์มและส่งขายโครงการหลวงด้วย ผักงามมากทุกคน ถัดไปก็แปลงสตอเบอรี่ซึ่งเจ้าของให้เก็บกินได้ด้วย แต่ก็ไม่กล้ากินแบบไม่ล้างถึงแม้จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีใดๆ ก็ตาม
พอเดินอ้อมบึงกลางฟาร์มมาบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ กิจกรรมปิดท้ายของวันนี้คือให้อาหารหมูดำกัน ทางฟาร์มเตรียมผักไว้ให้พวกเราด้วยค่า หยิบแจกจ่ายให้น้องหมูดำในคอกกัน ระหว่างทางเดินกลับห้องพักเจอน้องเป็ดเล่นน้ำอยู่ในบึง ริมบึงมีไข่เป็ดตกอยู่ด้วย บรรยากาศฟาร์มจริงๆ ที่แท้ทรู อยู่กรุงเทพฯ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสวิธีชีวิตชาวอาข่าแบบนี้นะเนี่ย เสร็จจากนี้ก็แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย มื้อเย็นวันแรกที่ฟาร์มเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวอาข่า น่าทานทุกอย่าง น้ำพริกทานผักสดและผักลวก แกงจืด ผัดผัก ไข่เจียว ลาบ อาหารง่ายๆ ที่อร่อยและดูคลีนมาก ตอนกลางคืนอากาศเย็นลงมาก ต่างกับตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ทำให้บรรยากาศในฟาร์มดี๊ดี กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายเข้าที่พัก คืนนี้นัดกับเพื่อนว่าจะออกมาดูดาว สู้ความหนาวกันแบบฟินๆ
วันที่สองในไร่กาแฟ ช่วงตีห้าถึงหกโมงเช้าของวันนี้อุณหภูมิลงไปถึงเลขตัวเดียวประมาณ 8-9 องศา ดีใจมากได้ใช้เสื้อหนาวที่เตรียมมา ด้วยความที่อากาศเย็นมื้อเช้าเลยอยากทานอะไรร้อนๆ เลยเลือกข้าวต้มหมูและกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เติมพลังก่อนเริ่มกิจกรรมของวันนี้
from Planting to Roasting
หลังจากที่เมื่อวานเป็นวันเก็บเกี่ยว วันนี้เราจะได้เห็นกระบวนการทั้งหมดจนถึงการสี คั่ว บด สกัด ออกมาเป็นกาแฟ 1 แก้ว จากคำอธิบายของเจ้าของฟาร์ม กระบวนการผลิตกาแฟมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่
1.
Dry or Natural process คือการนำผลเชอรี่สุกที่คัดแล้วมาตากแห้ง แล้วกะเทาะเปลือกออก วิธีนี้ใช้เวลานานกว่าอีก 2 วิธี
2.
Wet or Washed process เป็นวิธีที่ฟาร์มนี้เขาใช้ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน หลังจากเก็บผลเชอร์รี่มาก็มาแช่น้ำไว้ คัดผลที่ลอยน้ำออกซึ่งเป็นผลที่ไม่สมบูรณ์อาจจะไม่สุกดีหรือแมลงเจาะเป็นรู หลังจากนั้นก็เข้าเครื่องลอกเปลือก และเอาเมือกออก แล้วนำไปตากแห้ง
3.
Honey process คล้ายกับวิธีที่ 2 แต่ข้ามขั้นตอนการเอาเมือกออก
มาดูกันว่าเมล็ดกาแฟที่ได้จากกระบวนการต่างๆ หน้าตาที่ได้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่กำลังตากแห้ง จากรูปข้างล่างเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของสี สำหรับคนรักการดื่มกาแฟอย่างเราถือเป็นการเปิดโลกอย่างมาก จากที่ไม่เคยรู้กระบวนการเหล่านี้เลย พอได้มาดูมาเห็นเลยก็ตื่นตาตื่นใจในทุกๆ ขั้นตอน
ไปตากแดดดูเมล็ดกาแฟที่ตากแห้งแล้ว กิจกรรมถัดไปขอหลบแดดบ้าง ไปหาที่ร่มๆ คัดเมล็ดกาแฟกันค่า ก่อนนำไปคั่วในช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่เทให้คัดคนละกระจาดเลย มีแอบขู่ด้วย ถ้าคัดไม่เสร็จไม่ได้ทานข้าวกลางวันนะ 555 อ่ะนะก็ล้อเล่นกันขำๆ
ถัดจากมื้อกลางวันก็ไปดูวิธีการคั่วกาแฟและชิมกาแฟ เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วมาสีจะเหมือนๆ กันหมด จะใช้สีบ่งบอกว่ามาจากกระบวนผลิตแบบใดไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้ลองดมกลิ่นและเดาดูว่ากลิ่นไหนมาจากกระบวนการผลิตแบบใด มีคนทายถูกด้วย ลองแยกความต่างจากกลิ่นกันแล้ว ถัดมาก็มาชิมรสชาติและเดากระบวนการผลิตดู เจ้าหน้าที่จะชงใส่แก้วไว้ให้ เดินชิมรอบโต๊ะทุกแก้ว ปรากฎว่าทายถูกแค่ครึ่งเดียว 555 ปล.ทางฟาร์มจะให้กาแฟคั่วกลับบ้านคนละถุง เลือกตามใจชอบเลยอยากได้แบบไหนกลับบ้าน
ชิมเสร็จแล้วก็ไปชงกาแฟกันต่อ ทุกคนจะได้ลองเป็นบาริสต้ากัน เทลาเต้อาร์ทกันคนละแก้ว มาดูกันว่าครั้งแรกในชีวิต จะรอดมั๊ย 555 ไม่รอดจ้า ได้หัวใจเบี้ยวๆ มา กิจกรรมสุดท้ายของ Day 2 คือดูพระอาทิตย์ตกที่ดอยช้าง แล้วค่อยกลับมาทานมื้อเย็นที่รอคอย....หมูกระทะ...นั่นเอง อยู่บนดอย อากาศเย็นแบบนี้ คิดเมนูอื่นไม่ได้เลย ต้องหมูกระทะเท่านั้น
To be continued...Day3
[CR] เที่ยวเชียงรายสไตล์คนรักกาแฟ พักฟาร์มสเตย์บนดอยช้าง (Leehu Coffee Farm)
กิจกรรมที่ฟาร์มเริ่มบ่ายสาม คุณจอร์จและคุณหวานเจ้าของฟาร์ม เล่าประวัติความเป็นมาของฟาร์ม และที่มาที่ไปของ Coffee Workshop ที่จัดขึ้นให้พวกเราที่สนใจเรื่องกาแฟ ได้ไปเรียนรู้จากของจริงจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ นับถือความคิดของทั้งคู่จริงๆ ปรบมือให้รัวๆ เลยค่า
เจ้าของฟาร์มให้ข้อมูลว่า เมื่อก่อนดอยช้างปลูกฝิ่น ทำไร่เลื่อนลอย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานเมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าให้ชาวเขามาปลูกเพื่อเปลี่ยนแปลง และพัฒนาที่ดินทำกินของตนเองมาเป็นไร่กาแฟกัน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้หลายครอบครัวบนดอยช้าง แล้วทั้งคู่ก็มีไอเดียพัฒนาโฮมสเตย์เล็กๆของครอบครัว ให้กลายมาเป็นฟาร์มสเตย์ที่แสนจะอบอุ่น มีกิจกรรมให้ทำมากมาย มีคาเฟ่ และมีร้านอาหารด้วย
ทำความรู้จัก Leehu Coffee Farm ไปกันแล้ว ได้เวลาลงมือปฏิบัติจริง สายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟที่ปลูกที่นี่มี 2 สายพันธุ์คืออาราบิก้าสีแดงและอาราบิก้าสีเหลือง ปีนี้ต้นเชอร์รี่ออกผลผลิตน้อย ต้นไม่ค่อยดก มีให้เก็บไม่เยอะ เจ้าของฟาร์มขู่ว่าถ้าเก็บไม่เต็มตะกร้าไม่ให้ทานข้าวมื้อเย็น (อูยย ล้อเล่น 555) ก็เก็บกันสนุกๆ แหละ ผ่านโซนต้นเชอร์รี่ ก็เจอแปลงผักสลัดที่ใช้ทำอาหารในฟาร์มและส่งขายโครงการหลวงด้วย ผักงามมากทุกคน ถัดไปก็แปลงสตอเบอรี่ซึ่งเจ้าของให้เก็บกินได้ด้วย แต่ก็ไม่กล้ากินแบบไม่ล้างถึงแม้จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีใดๆ ก็ตาม
พอเดินอ้อมบึงกลางฟาร์มมาบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ กิจกรรมปิดท้ายของวันนี้คือให้อาหารหมูดำกัน ทางฟาร์มเตรียมผักไว้ให้พวกเราด้วยค่า หยิบแจกจ่ายให้น้องหมูดำในคอกกัน ระหว่างทางเดินกลับห้องพักเจอน้องเป็ดเล่นน้ำอยู่ในบึง ริมบึงมีไข่เป็ดตกอยู่ด้วย บรรยากาศฟาร์มจริงๆ ที่แท้ทรู อยู่กรุงเทพฯ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสวิธีชีวิตชาวอาข่าแบบนี้นะเนี่ย เสร็จจากนี้ก็แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย มื้อเย็นวันแรกที่ฟาร์มเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวอาข่า น่าทานทุกอย่าง น้ำพริกทานผักสดและผักลวก แกงจืด ผัดผัก ไข่เจียว ลาบ อาหารง่ายๆ ที่อร่อยและดูคลีนมาก ตอนกลางคืนอากาศเย็นลงมาก ต่างกับตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ทำให้บรรยากาศในฟาร์มดี๊ดี กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายเข้าที่พัก คืนนี้นัดกับเพื่อนว่าจะออกมาดูดาว สู้ความหนาวกันแบบฟินๆ
1. Dry or Natural process คือการนำผลเชอรี่สุกที่คัดแล้วมาตากแห้ง แล้วกะเทาะเปลือกออก วิธีนี้ใช้เวลานานกว่าอีก 2 วิธี
2. Wet or Washed process เป็นวิธีที่ฟาร์มนี้เขาใช้ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน หลังจากเก็บผลเชอร์รี่มาก็มาแช่น้ำไว้ คัดผลที่ลอยน้ำออกซึ่งเป็นผลที่ไม่สมบูรณ์อาจจะไม่สุกดีหรือแมลงเจาะเป็นรู หลังจากนั้นก็เข้าเครื่องลอกเปลือก และเอาเมือกออก แล้วนำไปตากแห้ง
3. Honey process คล้ายกับวิธีที่ 2 แต่ข้ามขั้นตอนการเอาเมือกออก
มาดูกันว่าเมล็ดกาแฟที่ได้จากกระบวนการต่างๆ หน้าตาที่ได้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่กำลังตากแห้ง จากรูปข้างล่างเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของสี สำหรับคนรักการดื่มกาแฟอย่างเราถือเป็นการเปิดโลกอย่างมาก จากที่ไม่เคยรู้กระบวนการเหล่านี้เลย พอได้มาดูมาเห็นเลยก็ตื่นตาตื่นใจในทุกๆ ขั้นตอน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้