[CR] ์No.53 Oppenheimer : ศาสดาผู้ (เส) สร้าง หรือ บุรุษผู้ (พิษ) ชิต โลก


- ดูง่ายมั้ยไม่เชิง ดูยากไปมั้ยก็ไม่อีก คือ มันผสม 2 ความรู้สึกนี้ตีกันอยู่ในหัวมากกว่า ขนาดว่าออกจากโรงแล้วภาพทุก Shot ยังคงติดค้างในหัวผมถึงกับเปิดดูซ้ำอีกคอบในเน็ตเพื่อย้อนรอย Moments และเก็บ Details ที่ตกหล่นข้างทางขึ้นมาใส่ใจอีกครั้ง ถ้าหากไม่นับเรื่อง The Dark Knight Trilogy (2005-2012) ซุปเปอร์ฮีโร่คุณธรรมโลกไม่สวยที่ไม่ได้มาจาก Ideas เดิมตรง ๆ ของเสด็จพ่อโนแลน ผมว่าเรื่องนี้เข้าใจง่ายในระดับเดียวกันกับ Dunkirk (2017) คือ เล่าเรื่องแบบไม่เรียงลำดับ Timeline เป็นเส้นตรงแต่มาประจบเหตุการณ์ทุกอย่างไปทางเดียวกัน แถมทั้งคู่ก็อยู่ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกันแต่คนละตัวละคร ต่างบริบท แต่ Timeline จริงแต่ก็อยู่ไล่เลี่ยไม่ห่างกัน 

- ขณะดูเรื่องนี้ความรู้สึกเหมือนเสด็จพ่อสร้างหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และ ปรัชญาการเมืองในเวลา 3 ชั่วโมง แล้วให้การบ้านมาเป็นจิ๊กซอว์หลาย ๆ ชิ้นวางตรงหน้าห้อง ที่เหลือก็เป็นหน้าที่คนดูอย่างเรานำไปประติดประต่อเรียบเรียงเรื่องราวให้เป็นภาพเดียวกันตามความเข้าใจของเราเอง ซึ่งตรงจุดนี้ผมคุ้นเคยกับสไตล์การกำกับของเสด็จพ่ออยู่แล้ว แต่แก Advance กว่านั้นด้วยการใส่ภาพสีขาว-ดำแทรกลงไปในภาพสีเพื่อเพิ่มความซับซ้อนในการเล่าเรื่องให้ดูลำบากยิ่งขึ้นบวกกับความสปีดของการตัดต่อและบทสนทนาจากเหล่าตัวละครนักวิทยาศาสตร์ ที่มาพรรณนาทฤษฎีสูตรคำนวณตามความเข้าใจแต่ละคนในห้อง Classroom และ ประชันกันตอนผนึกกำลังกันทำโครงการโดยมีนายพล Leslie Groves เป็นผู้อำนวยการโครงการสร้างนิวเคลียร์ ให้ Feel ความเป็นสายลับ Mission Impossible + Avengers + ผลงานเก่า ๆ ของเสด็จพ่ออย่าง Inceptions (2010) และ Interstellar (2014) ขึ้นมาทันที แล้วแทรกประเด็นทางประวัติศาสตร์ วิพากษ์วิจารณ์การเมืองแฝงวาทกรรมชาตินิยมอย่างเดือด ๆ ไม่หยุดพักให้หายใจเลยซักนิด โดยเฉพาะการปะทะคารมของตัว Lewis Strauss ในศาล ที่ประชันฝีปากกันกับบรรดาผู้พิพากษากันอย่างมันส์ถึงพริกถึงขิงหยั่งกะ 12 Angry Men (1957) บนเวที 10 Fight 10 ด้วยท่าตบรัว ๆ แล้วบรรจงเสยเน้น ๆ จนผมสับสนและมึนงงกระทั่งเผลอสติหลุดวงโคจรไปชั่วขณะ ยังดีที่จูนติดขึ้นได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น Details ที่ปรากฎทุกอย่างต้องมีสมาธิจับตาดูทุกฝีก้าวจริง ๆ เพราะมี Keywords ที่ไปเชื่อมโยงต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด

- เนื่องด้วยมีวัตถุดิบหลักอย่างตัวชีวประวัติของ J Robert Oppenheimer อยู่ตามหนังสือ ตามหอจดหมายเหตุ หรือในอินเตอร์เน็ตมาเป็น Plot หลัก แต่เมื่ออยู่ในมือเสด็จพ่อยังไงไม่มีคำว่าธรรมดาอยู่แล้วโดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนชาวบ้านตังหากที่เราคาดการณ์ระหว่างทางไม่ได้ว่าจะบรรจบลงตรงไหน แถมไม่มีฉากต่อสู้รบราข้าศึกที่เป็นจุดขายของหนังแนวนี้แม้แต่ฉากเดียว ซึ่งเป็นอะไรที่ประหลาดใจผมจึงรู้สึกเห็นดีด้วยที่อยากให้เปลี่ยนทิศทางไปสำรวจในบริบทมุมอื่น ๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจจากการเน้นภาพความรุนแรงเดิม ๆ บ้าง

- ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ Score ดนตรีประกอบยังคงทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมและทรงพลังเช่นเคย ส่วนตัวผมชอบดนตรีเรื่องก่อน ๆ มากกว่าหน่อย เนื่องว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยติดหูเท่าไหร่ แต่ยอมรับว่าช่วงไหนที่ดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นโสตประสาทสัมผัสทุกอณุของผมพร้อมที่จะขนลุกทั้งกายและใจทุกครั้งที่ปรากฎ อีกอย่างที่ลุ้นคือ ฉากระเบิด ก็สร้างภาพได้น่ากลัวจนนั่งตัวเกร็งดี แต่เสียดายที่เสียงตามมาทีหลัง ถ้ามาพร้อมกับภาพจะ Impact กว่านี้แน่

- นักแสดงในเรื่องว่าเยอะแล้ว แต่สิ่งที่ตะลึงยิ่งกว่าคือนักพากษ์เสียงไทยที่เกือบจะเกณฑ์มาทั้งคณะทั่วฟ้าเมืองไทย โคตรสู้ชีวิตสุด ๆ ขนาดที่ว่าบางคนได้พากษ์มากกว่า 1 คน เรียกว่า แถมพากษ์ได้อรรถรสกับคาแรกเตอร์ของตัวละครราวกับพูดภาษาไทยออกมาเอง แม้ Time Air แต่ละคนจะมีมากมีน้อยจนผมดูไม่ทันว่าใครโผล่มาตอนไหนเป็นบางคนแต่เสด็จพ่อแกโนแลนให้ความสำคัญกับบทของทุกคนเท่าเทียมกัน จึงไม่แปลกที่ดารานักแสดงทั่วโลกใคร ๆ ก็อยากจะร่วมงานกับเสด็จพ่อทั้งนั้น

- สรุป ชอบมาก ติด 1 ในหนังที่ชอบที่สุดของปีนี้ไปอีกเรื่องเรียบร้อย เป็นหนังอัตชีวประวัติที่จัดเต็มด้านสาธยายเรื่องราวน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบสนุกกับการรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และ การเมืองในอเมริกาสมัยนั้นด้วยข้อมูลทางปรัชญาเชิงลึกอันหนาแน่นเฉียบคมทุกคำ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบางอย่างแต่ประติดประต่อเรื่องราวได้ไม่ยากนักกับ Timeline ที่ผูกเรื่องราวไว้แล้วอย่าง J Robert Oppenheimer ในแง่มุมอื่นที่ไม่ได้โฟกัสในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง อีโก้สูง หรือ วีรบุรุษกอบกู้โลกแต่เจาะลึกในความเป็นมนุษย์พ่อบ้านที่ซื่อตรงในความรักแก่ Kitty Oppenheimer และลูกของเขา กระเทาะถึงความลับอันมืดมิด ทั้งความตระหนักในสงคราม ความวิตกกังวลในความรับผิดชอบ และ ชื่อเสียงที่ได้มาจากการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ด้วยน้ำมือของเขาจนถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทำลายโลก แม้หนังไม่เลือกนำเสนอฉากต่อสู้ให้เห็น แต่ทุก Scene ที่ถ่ายทอดทำให้เราเข้าใจ เห็นใจในผลลัพธ์ที่ตามมาจากความสูญเสียในสงคราม รวมถึงเหตุผลที่ตัว J Robert ตัดสินใจทำไปด้วยอะไรหลายอย่างที่เป็นไฟล์ทบังคับให้เขาเลือกไม่กี่ทางจนเกิดโศกนาฎกรรมที่โลกไม่เคยลืมจนเป็นคำถามปลายเปิดต่อศีลธรรมและมนุษยธรรมว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหน้าที่ หรือ เป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษยชาติหรือไม่ ทำแล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ รวมถึงผลที่ตามมาหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อกับคนรุ่นหลังเป็นบทเรียนเป็นกรณีศึกษาต่อไป บางเรื่องเราพอจะทราบกันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ที่เหลือก็ต้องไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลทำความเข้าใจต่อกันเอง
 
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่