เริ่มต้นศักราชใหม่ของปี ‘57 ปีม้าคึกคัก ด้วยทริปเดินป่าระยะสั้น (8 km.) เราและสมาชิกกว่า 10 คน ตื่นเต้นกับสัปดาห์วันเด็กนี้
และตั้งตารอคอยที่จะมาพิชิตยอดเขาในป่าที่กำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ เราเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ นาๆ ที่จำเป็นต่อการเดินทาง
รวมไปถึงมุมกล้องเด็ดๆ ที่ทำให้เราสะดวกกดชัตเตอร์ ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อไปถึง
ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ การเตรียมความพร้อมของร่างกาย ก็มั่นใจมากอะ เพราะจากประสบการณ์ของเรา ที่ได้ผ่านการเดินภูกระดึงมาแล้ว 1 ครั้งถ้วน
และมโนว่าเขานี้ก็น่าจะสบายๆๆ ใจสู้ซะอย่างนิ ชิมิ...ไปกันเล้ยยย..
เราเดินทางระหว่างวันที่ 10-12 มกราคม 2557 ทริปนี้จึงเป็นกิจกรรมวันเด็กที่สนุกและน่าจดจำที่สุดเลย
มาดูสิ่งที่เราต้องเตรียม และสิ่งที่ควรรู้ก่อนเดินทางกันสักหน่อย รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยนะฮะ
“เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถตู้บริการดีจากทัวร์ของ Travellifethailand ณ บริเวณบิ๊กซีสะพานควาย เวลาประมาณ 23:00 น.
สมาชิกคันเรามีประมาณ 10 คน และจะไปสมทบกับผู้พิชิตคนอื่นอีก รวมแล้วน่าจะประมาณ 50 คนได้
ค่าเสียหายตลอดการเดินทาง ประมาณคนละ 2,800 บาท มีอาหาร 5 มื้อ พร้อมด้วย Staff ใจดี 2 คน ที่คอยติดตามเราเพื่อไปทำอาหารให้ทาน
แต่การเดินป่าจำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบ และข้อบังคับของอุทยานแห่งชาติอย่างเคร่งครัด!
ซึ่งเจ้าหน้าที่ของอุทยานจะเป็นผู้ดูแล และเดินทางไปพร้อม ๆ กับเรา เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย...เย้ๆๆๆ เราพร้อมละหละ...”
จาก กทม. หลับบ้างไม่หลับบ้าง ก็เดินทางมาถึงบ้านอีต่อง เวลา 6:00 น. โดยประมาณ แต่อุทยานจะเปิดให้เดินขึ้น 8.00 น.
เมื่อไปถึงบ้านอีต่องแล้ว เราล้างหน้าล้างตาด้วยอุณหภูมิของน้ำประมาณ 16-19 องศา (เย็นชื่นใจ)
และทานอาหารเช้ากันที่บ้านน้องหน่อย พร้อมจัดเตรียมสัมภาระสำหรับที่จะฝากลูกหาบแบกขึ้นไป ประมาณคนละ 3 กิโล..
ส่วนตัวเราก็น้ำ 1 ขวดก็หนักมากแล้วค่ะ
จุดเริ่มต้นของการขึ้นสู่ยอดเขาช้างเผือกนี้ อยู่บริเวณบ้านอิต่อง โดยยอดเขานี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
ซึ่งมีความสูงถึง 1,249 จากระดับน้ำทะเล การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาช้างเผือกนั้นใช้การเดินเท้าในระยะทางรวมประมาณ 8-9 กิโลเมตร
ซึ่งเส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางที่ลัดเลาะยอดเขาต่างๆ และต้องข้ามยอดเขากว่า 3-4 ยอดเขาจึงจะถึง จุดกางเต๊นท์ที่เรียกว่า “กิ่วลม”
ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวจะนิยมนอนพักที่กิ่วลมก่อน 1 คืน จากนั้นจึงเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาช้างเผือกในวันรุ่งขึ้นเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น
(แต่เราไม่นะ พักสักแว๊บละเดินต่อเลยจ๊ะ เดินตอนเช้าน่าจะมืดเกินไป)
ระยะทางจากกิ่วลมสู่ยอดเขานั้นไม่ไกลมากเท่าไรแต่เป็นทางเดินลาดชัน ที่ต้องปีนป่ายและทรงตัวไปตามทางเดินเล็กๆ มีความลื่นพอสมควร
โดยมีจุดวัดใจที่หวาดเสียว นั่นก็คือ “สันคมมีด” ที่มีลักษณะเป็นสันหินแคบ กว้างไม่เกิน 1 เมตร พอเดินได้ สองข้างทางเป็นทางลาดลงไป
ใครจะขึ้นถึงยอดหรือไม่ก็วัดใจกันตรงนี้นี่แหล่ะ....สนุกแน่อีช้อย
เริ่มจากหมู่บ้านอีต่อง เดินทางมาเรื่อย ๆ ด้วยระยะทางประมาณกิโลกว่า ๆ ก็จะถึงทางเข้าอุทยานอย่างเป็นทางการ
มีป้ายต้อนรับที่ตั้งเด่นเป็นสง่า เชื้อเชิญให้ผู้พิชิตทั้งหลายได้เข้าไปวัดใจกันด้านใน...“พร้อมกันไหมจ๊ะทุกคน..!!!”
จากป้ายทางเข้า เป็นระยะทางช่วงแรก ๆ เรียกว่าเป็นการวอร์มเท้าละกัน เพราะเดินกันได้แบบสบาย ๆ เลยหละคะ
ถึงแม้จะเป็นทางชัน ๆ บ้าง มีก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง พอให้ได้ออกแรงนิดหน่อยสลับกับทางเรียบเล็กน้อยคะ
ส่วนสภาพอากาศนั้น อาจมีแดดเยอะหน่อย เพราะที่นี้ไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่คงเป็นเพราะเป็นภูเขาหินจึงไม่มีต้นไม้ใหญ่แบบปกคลุมหนาแน่น
แต่ก็ยังมีลมพัดมาเป็นระยะ พอจะช่วยคลายร้อนได้เหมือนกันคะ....
เดินมาถึงจุดพักจุดแรก ที่เรียกว่า "จุดพักต้นซ้าน" แสดงว่าเราเดินทางจากจุดเริ่มต้นมาแล้วประมาณ 3 km. ได้
เริ่มจะเหนื่อยแต่ยังชิลล์กันอยู่..สบายๆ คะ
จากนั้น...จะเริ่มเข้าสู่บทโหดแล้วน๊าาาา โดยทางจะเริ่มอยู่ชิดกับขอบเขามากขึ้น แบบว่า เสียวๆ กันนิดส์นุง
และตรงนี้ก็เริ่มจะเจอทางที่มีหญ้าสูงท่วมหัวแล้วค่ะ เราก็เริ่มเดินรั้งท้ายตามเพื่อน ๆ ไม่ค่อยจะทันแล้วด้วย
ความเหนื่อยมาพร้อมกับความปวดหลังจากน้ำหนักเป้ ที่รู้สึกว่าทำไมมันช่างหนักอย่างนี้นะ ทั้งๆ ที่ข้างในไม่มีอะไรที่ใช้ได้สักอย่าง...TT
เดินมาจนถึงจุดพักจุดที่ 2 ซึ่งจริง ๆ แล้ว ระหว่างทางเราก็หยุดพักกันตลอดเรียกได้ว่าเดิน 4 เมตร พัก 5 เมตรกันเลยทีเดียว
แต่สิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือ การเดินแบบก้มหน้ามองทางเดิน ในระหว่างที่เป็นทางขึ้น ช่วยให้ทางมันสั้นลงอ่ะ ไม่รู้ทำไม
เพราะทุกครั้งที่เงยหน้าไปมองทางที่จะต้องขึ้นไป มัน เหนื่อย ม๊วกกก แบบท้อแท้เลยค่ะ บางครั้งต้องก้มหน้าเดินบ้าง
และเงยหน้ามาถ่ายรูป สลับกันไป โดยมีผู้กำกับวิธีการเดินอยู่ด้านหลังเป็นระยะ ๆ และเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความปลอดภัยเราเดินตามมาตลอดทาง
แต่สังขารมันไม่ไหวเอาซะเลยเดินไปก็โอดโอยไป ราวกะขาจะหลุดซะอย่างงั้น...(ผลของการไม่ซ้อมออกกำลังกาย)
จากนั้นก็มาถึงจุดพักที่ 3 เป็นจุดพักสำหรับทานข้าวคะ เพราะได้เวลาใกล้เที่ยงแล้ว (ประมาณ 11 โมง)
เราพักทานอาหาร ด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากความเหนื่อยมาก ทำให้เราหิวน้ำซะมากกว่า
และก็ไม่อยากทานเยอะ เพราะไม่มีห้องน้ำอีก เห้ออ...ลำบากดีแท้ชีวิต (ฉันมาทำอะไรที่นี่..55+)
แต่เราก็ต้องพยายามกลืนข้าวกระเพราไข่ต้มให้ได้เยอะๆ ไว้ก่อน เด่วจะเป็นลมไปด้วยระยะทางข้างหน้ายังอีกไกลกันเลยทีเดียว
จุดนี้ถือได้ว่าเป็นจุดที่ได้รับความนิยมในการพักทานข้าวมากที่สุดเรียกบริเวณนี้ว่า ลานต้นไผ่ บรรยากาศของบริเวณนี้ลมพัดเย็นสบาย
มีร่มเงาให้หลบแดด มีพื้นที่กว้างให้ได้นั่งพักผ่อน แต่กว่าจะเดินเท้ามาถึงจุดนี้ก็ประมาณ มาถึงจุดนี้ได้แสดงว่าเราเดินมาแล้วประมาณ 5 km.
จากจุดพักนี้ เราออกเดินทางกันต่อ โดยเส้นทางต่อจากนี้จะเริ่มสูง และมีเหวบางช่วงให้เสียวเล็กน้อย
จังหวะนี้เรายังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปบ้างไรบ้าง ชมวิวกันบ้าง เผลอแว๊บเดียวก็รั้งท้ายอีกแล้ว ต้องรีบจ้ำแล้วนะ (เสียงหายใจดังเป็นระยะ)
สำหรับใครที่ชอบใช้โทรศัพท์ในการถ่ายรูปก็อย่าเพลินนะคะ เพราะด้านบนไม่มีไฟฟ้า ถ้าแบตหมดระหว่างทางอาจเศร้าได้
หรือใครจะเตรียมพาวเวอร์แบงค์มาเผื่อด้วยจะเลิศมากนะเค๊อะ...
เพราะภาพที่เห็นจะสวยงามขึ้นเรื่อย ๆ และนับจากจุดนี้เดินไปอีกประมาณช่วง 2 กิโลเมตร ก็จะถึงจุดกางเต็นท์ค่ะ
เดินมาถึงจุดพักจุดสุดท้ายก่อนถึงลานกลางเต้นท์ เราหยุดพักและนั่งมองปลายทางที่อยู่เบื้องหน้า
พร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างภูมิใจ และมีความหวังว่าเราจะเดินทางต่อไปอีกไม่ไกล
เมื่อมองเห็นจุดกางเต็นท์ตรงโน้นนนนนน เราจะพบว่าเราพาตัวเองมาอยู่ในที่สูงมาก แต่ก็ยังต้องไต่เชือกลงไปยังจุดกางเต็นท์
ช่วงนี้จะชันสักหน่อยแต่ก็สวยแถมยังมองเห็นยอดเขาช้างเผือกด้วย ตื่นเต้นจังจะถึงแล้ว เย้ๆๆ
ในที่สุดเราก็มาถึงลานกางเต้นท์แล้ว ด้านบนนี้มีห้องน้ำด้วยนะเธอ...แต่สภาพข้างในไม่ต้องพูดถึงคะ ฮ่าๆ
ไม่มีน้ำให้ใช้ค่ะ มีแค่หลุมลึกและสังกะสีกั้นไว้เท่านั้น ควรเตรียมทิชชู่เปียกมาจะดีกว่าค่ะ
หรือจะพกผ้าถุงและวิ่งเข้าป่า ก็ไม่ว่ากัน...อิอิ
ระยะทาง 8 กิโลเมตร ที่ผ่านมาจนถึงจุดกางเต้นท์นั้นเป็นแค่บททดสอบสภาพร่างกายของเพื่อนๆ น่ะจ๊ะ
ต่อไปจะเป็นการทดสอบทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจว่าเราจะสามารถเอาชนะความกลัวได้ไหมกับการพิชิตสันคมมีด
การขึ้นสันคมมีดนั้นสามารถขึ้นได้ 2 ช่วงเวลานะคะ ช่วงเย็น ประมาณ 15.30 น. กับ ช่วงเช้า ประมาณ 05.00 น.
ไม่ว่าจะช่วงไหนก็สวยงามคนละแบบ ซึ่งสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตกได้ แต่แนะนำให้ขึ้นตอนเย็นจะดีกว่า
เพราะถ้าขึ้นตอนเช้า บางวันหมอกหนาจัดหรือมีลมพัดแรงก็อาจจะไม่สามารถปีนขึ้นได้ ก็จะอดเป็นผู้พิชิตเขาช้างเผือกน่ะจ๊ะ...
จากจุดกางเต้นท์นี้ อีกประมาณ 3 กิโลเมตร (ใช้เวลาไป-กลับรวม 2 ชั่วโมง) ก็จะถึงยอดสูงสุดของเขาช้างเผือก
เราพักเอาแรงได้สักพัก และเริ่มออกเดินทางตอนบ่าย 3 โมง เพื่อจะได้กลับลงมาให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตก
ไม่งั้นถ้ามืดกลางทางจะอันตรายมาก แม้จะมีไฟฉายก็ตาม
จากจุดกางเต็นท์เราจะเจอทางที่เป็นหินชันก้อนเล็กใหญ่สลับไปมา และจากจุดนี้ไปอีกไม่ไกล
ก็จะถึงจุดหวาดเสียวน่ากลัวตามคำร่ำลือกันแล้ว นั่นก็คือ “สันคมมีด” จุดที่อันตรายที่สุดของเขาลูกนี้
ด้วยลักษณะของผาสูงชันหรือแคบเพียง 1 เมตร ชันมากเลยหละ น่าจะสัก 70-80 องศาได้ มองซ้ายก็เหวมองขวาก็ว่างเปล่า
ทำเอาหลายคนใจสั่นได้เหมือนกันนะ แต่ก็ม่ต้องกังวลเพราะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเราอยู่ด้วยค่ะ
[CR] กิจกรรมวันเด็ก_พิชิตเขาช้างเผือก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้