สวัสดีเพื่อนๆ อยู่ๆเราก็อยากเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทุกคนที่เรียกว่า วัยเบญจเพศ
ใช่แล้วตอนนี้เรา อายุ 25 พวกเพื่อนๆเรียกเราว่า แก ก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยนะ เราเป็นหน้าใหม่ในนี้สุดๆ ไม่เคยเล่นมาก่อนเลย แหะๆ
หวังว่าเพื่อนๆจะอ่านแล้วสนุกกันนะ ไม่ต้องคิดมากกับเรื่องของเรา อ่านให้สนุกสนานก็พอ อิอิ
เรื่องที่เราจะเล่าเป็นเรื่องราวช่วง 24 ย่าง 25 นะ ปีกว่าๆ
แต่ขอเกริ่นงี้ก่อนว่า
เราก็เป็นคนธรรมดาๆคนนึงที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาในวัย 22 ปี และตั้งใจว่าเรียนจบอยากจะไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศ เพราะเราเรียนจบด้านภาษามา นั่นก็คือการไปเป็นออแพร์ มันคือโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษา ทำงานกับเด็กที่ได้ค่าตอบแทน เรากับเพื่อนๆอยากจะหาโอกาสที่ได้ใช้ภาษาเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ใช้และลืม แต่ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดพอดี ประเทศปิด เราเลยยังไม่มีโอกาสได้ไป เราจึงตัดสินใจเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในตอนอายุ 23 ปี เราชอบการเป็นครูนะ ชอบอยู่กับเด็กๆ ชอบเห็นความสดใสที่เด็กๆแสดงออกมา มันทำให้ครูอย่างเราที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไรที่น่าปวดหัวมาก็หายไป
ในระหว่างที่เป็นครูนั้น เราก็ยังไม่ยอมทิ้งความตั้งใจแรกที่อยากจะไปเป็นออแพร์ที่ต่างประเทศ (สำหรับใครที่คิดว่ารักเด็กและอยากหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากและแถมยังได้เงินเดือนด้วย เราแนะนำนะ ก่อนที่จะไม่มีสิทธิ์ เพราะโครงการนี้มันมีเวลาจำกัด จำกัดในเรื่องอายุน่ะ ก็เเล้วแต่ละประเทศด้วยว่าเขากำหนดอายุยังไง ถ้าใครอยากรู้เกี่ยวกับโครงการเพิ่มเติมก็ลองเสิชหาได้เลย มีอธิบายไว้เยอะมากๆ)
เราเลือกที่จะหาโฮสแฟมมิลี่เองโดยไม่ผ่านเอเจนซี่ หู้วววก้าวแรกของเราเลยม้างงที่แบบ ชั้นต้องทำเองทั้งหมดเลยหร้อ เชื่อเถอะว่าเราน่ะอยู่แต่ในเซฟโซนมาเกือบตลอดทั้งชีวิต 23 ปี นั่นแหละ เราตัดสินใจหาเอง ทำเองง และแน่นอนว่า กว่าจะหาโฮสที่แมชกันได้ โอ้โหววว เกือบท้อ เป็นปี เพราะเราได้อ่าน ได้เห็น ได้ฟังมาจากหลายๆคนว่าการเป็นออแพร์ไม่ได้เป็นง่ายๆนะและชีวิตที่ไปอยู่กับคนอื่นเป็นเวลาหนึ่งปี มันเป็นเรื่องที่ลุ้นมาก ถ้าได้เจอครอบครัวที่ดี ที่ถูกจริตก็ดีไป แต่ถ้าไม่ดีก็คือเหมือนฝันร้ายดีๆนี่เอง เราเลยเลือกเยอะนิดนึง ถ้าใครกำลังเลือกอยู่ เราแนะนำว่าให้เลือกดีๆ ดูดีๆ คุยดีๆ ลองถามใจตัวเองดีๆว่า เอ๊ะ ยังไง โอเคยัง สบายใจมะพอคุยแล้ว สไตล์พอจะตรงกันบ้างไหม เรายกกรณีของเราเลย (อ่อบอกก่อนว่าเราตั้งใจไปประเทศเยอรมัน) เราอะอยากไปมากๆแล้ว กลัวแบบจะแก่เกิน หรืออายุเกิน
ช่วงเเรกพอมีโฮสทักมาก็ดีใจ คุยก็ดูเข้ากันได้ ชิวๆ แต่ติดตรงสถานที่อะ บ้านเขาอยู่กลางทุ่งเลย หน้าบ้านเป็นทุ่ง ด้านหลังเป็นทุ่ง เราคิดและ ยังไง เราจะอยู่ปีหนึ่งกับตรงนี้ได้จริงเร้อออ (เราเกิดเเละโตในเมืองและนั่นแหละติดเซฟโซนน่ะ) พอรู้สึกว่า เห้ย ถ้าเกิดเรารู้สึก เอ๊ะเมื่อไหร่ เราเลยคิดว่าโอเคยังไม่ใช่ ไม่เป็นไรหาใหม่ บางบ้านก็อยากให้ไปเดือนนั่นเดือนนี้ แต่เรายังไม่พร้อม หรือบางบ้านที่เราถูกใจเขาไม่ถูกใจเรา มันเป็นอยู๋อย่างนี้ พร้อมกับทำงานไปด้วย 1 ปีเต็มๆ หลังจากเราออกมาจากครู เราก็ตั้งใจหาโฮสแฟมมิลี่อย่างจริงจัง เพราะอยากไปจริงงๆ 😵
จนในที่สุด!!! ตอนนั้นเราอายุ 24 ล้ะ มีโฮสบ้านนึงทักมาต้นเดือนมกราคม 65 เขามาเที่ยวประเทศไทยพอดี เค้าทักมา และอยากจะสัมภาษณ์เราแบบตัวเป็นๆ เราตั้งใจจะไปหาเขาแล้ว แต่... เราติดโควิด!! ต้องไปอยู่ที่โรงเแรมกักตัว เราจึงต้องบอกเขาว่าเราไม่สามารถไปเจอได้แล้ว ตอนเรานั้นแบบ โอ้โหอะไรครับเนี่ย อะไรกันนัก จะได้โฮสอยู่แล้ว เขาคงเลือกคนอื่น หาคนอื่นแทนเเล้วมั้ง คนที่ไปหาพวกเขาได้เลยอะ เห้ออออออ เซ็งสุดๆ แต่ก็ทำใจมาสักพักแล้วแหละ ฮ่าๆๆ จะไม่ได้อีกสักบ้านจะเป็นไรอะ แต่ว่าๆๆ เขาก็ขอคุยต่อ ขอสัมภาษณ์ผ่านวิดิโอคอลก็ได้ เราก็ดีใจเลย สัมคุยกับเขา เราลิสคำถามไว้ตามที่ควรจะถามเลย เพราะส่วนใหญ่หน้าที่ของออแพร์คือ การอยู่กับน้อง เล่นกับน้อง ไปรับส่งบ้าง ช่วยทำการบ้าน ทำอาหารให้น้องบ้าง ทำความสะอาดห้องน้อง หรือบางบ้านก็เอาเปรียบให้เราทำเกินเวลาเกินหน้าที่
เราจึงต้องถามเขาให้ชัดๆ และคำตอบของเขาถูกใจเรามาก อย่างเช่น
เราถามว่า เราต้องทำอาหารให้น้องไหม เขาบอก ไม่จำเป็นนะ ปกติโฮสพ่อเป็นคนชอบทำอยู่แล้ว และน้องกินค่อนข้างยาก
// เราต้องไปรับส่งน้องที่โรงเรียนไหม เขาบอก ก็แล้วแต่เธอนะว่าอยากไปด้วยไหม เพราะปกติพวกฉันไปรับอยู๋แล้ว
// แล้วต้องทำความสะอาดบ้านมากน้อยแค่ไหน? เขาบอก ทำได้ก็ดีแต่ไม่จำเป็นเพราะเรามีแม่บ้านมาทำอยู่แล้ว
// จนเราต้องถามว่า เราต้องทำไรบ้าง เขาบอก แค่อยู่เล่นกับน้องก็พอ เราแบบบ เอ๋ ใช่หรอ จริงหร้อ
คำถามสุดท้าย เราถามเขาว่า อยากให้เราไปเมื่อไหร่ เขาตอบว่า เมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่เธอเลย
โอ้โห้ พอเราได้ยินอย่างนั้นเรารู้เลย บ้านนี้แหละ เขาดูชิว ดูไม่กดดัน เลยย ถือว่าเป็นความประทับใจแรกที่เราประทับใจมาก
**แต่ๆๆๆๆ มันติดตรงนี้ๆๆๆ ประเทศของบ้านนี้ไม่ใช่เยอรมันน่ะสิๆๆๆ ประเทศนี้คือ
ประเทศออสเตรีย (เอาตรงๆเราไม่เคยคิดจะไปประเทศนี้เลย เเม้จะมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้อยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละเราติดเซฟโซน เราเคยไปเยอรมันกับสวิซเซอเเลน์มาก่อนเราเลยมีเพื่อนอยู่แต่แค่สองประเทศนี้ ถ้าจะไปก็จะได้มีเพื่อนอุ่นใจ แต่ออสเตรียนี้ไม่มีเลย ไม่มีคนรู้จักเลยเจ้าค่ะ)
แต่เราคิดแค่ว่า หน่าาา ในเมื่อเราโอเคกับครอบครัวที่จะใช้ชีวิต 1 ปีด้วยแล้ว เรื่องประเทศคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วมั้ง อีกอย่างบ้านเขาอยู่
กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรียด้วย เวลาทำงานก็น้อยกว่าประเทศเยอรมัน (ทำ 3 ชั่วโมงต่อวันเอง) ได้เงินเดือนเยอะกว่าที่เยอรมันด้วย (แน่นอนค่าครองชีพเเพงกว่านั่นเอง ฮ่าาาๆๆ) สำหรับเราตอนนั้นคือ ตกลงจ๊ะ ดำเนินเรื่องต่อเลยค้าบบบบบบบบ 🤩🥳
แต่ความดีใจเกิดขึ้นแค่ในเวลาสั้นๆเท่านั้น เดือนนึงเต็มๆ เรื่องไม่คาดคิดและหนักกับเรามากจริงๆก็ได้เกิดขึ้น ... 😰
เรื่องบังเอิญไม่เคยมีอยู๋จริง ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ ;) EP.1
ใช่แล้วตอนนี้เรา อายุ 25 พวกเพื่อนๆเรียกเราว่า แก ก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยนะ เราเป็นหน้าใหม่ในนี้สุดๆ ไม่เคยเล่นมาก่อนเลย แหะๆ
หวังว่าเพื่อนๆจะอ่านแล้วสนุกกันนะ ไม่ต้องคิดมากกับเรื่องของเรา อ่านให้สนุกสนานก็พอ อิอิ
เรื่องที่เราจะเล่าเป็นเรื่องราวช่วง 24 ย่าง 25 นะ ปีกว่าๆ
แต่ขอเกริ่นงี้ก่อนว่า
เราก็เป็นคนธรรมดาๆคนนึงที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาในวัย 22 ปี และตั้งใจว่าเรียนจบอยากจะไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศ เพราะเราเรียนจบด้านภาษามา นั่นก็คือการไปเป็นออแพร์ มันคือโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษา ทำงานกับเด็กที่ได้ค่าตอบแทน เรากับเพื่อนๆอยากจะหาโอกาสที่ได้ใช้ภาษาเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ใช้และลืม แต่ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดพอดี ประเทศปิด เราเลยยังไม่มีโอกาสได้ไป เราจึงตัดสินใจเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในตอนอายุ 23 ปี เราชอบการเป็นครูนะ ชอบอยู่กับเด็กๆ ชอบเห็นความสดใสที่เด็กๆแสดงออกมา มันทำให้ครูอย่างเราที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไรที่น่าปวดหัวมาก็หายไป ในระหว่างที่เป็นครูนั้น เราก็ยังไม่ยอมทิ้งความตั้งใจแรกที่อยากจะไปเป็นออแพร์ที่ต่างประเทศ (สำหรับใครที่คิดว่ารักเด็กและอยากหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากและแถมยังได้เงินเดือนด้วย เราแนะนำนะ ก่อนที่จะไม่มีสิทธิ์ เพราะโครงการนี้มันมีเวลาจำกัด จำกัดในเรื่องอายุน่ะ ก็เเล้วแต่ละประเทศด้วยว่าเขากำหนดอายุยังไง ถ้าใครอยากรู้เกี่ยวกับโครงการเพิ่มเติมก็ลองเสิชหาได้เลย มีอธิบายไว้เยอะมากๆ)
เราเลือกที่จะหาโฮสแฟมมิลี่เองโดยไม่ผ่านเอเจนซี่ หู้วววก้าวแรกของเราเลยม้างงที่แบบ ชั้นต้องทำเองทั้งหมดเลยหร้อ เชื่อเถอะว่าเราน่ะอยู่แต่ในเซฟโซนมาเกือบตลอดทั้งชีวิต 23 ปี นั่นแหละ เราตัดสินใจหาเอง ทำเองง และแน่นอนว่า กว่าจะหาโฮสที่แมชกันได้ โอ้โหววว เกือบท้อ เป็นปี เพราะเราได้อ่าน ได้เห็น ได้ฟังมาจากหลายๆคนว่าการเป็นออแพร์ไม่ได้เป็นง่ายๆนะและชีวิตที่ไปอยู่กับคนอื่นเป็นเวลาหนึ่งปี มันเป็นเรื่องที่ลุ้นมาก ถ้าได้เจอครอบครัวที่ดี ที่ถูกจริตก็ดีไป แต่ถ้าไม่ดีก็คือเหมือนฝันร้ายดีๆนี่เอง เราเลยเลือกเยอะนิดนึง ถ้าใครกำลังเลือกอยู่ เราแนะนำว่าให้เลือกดีๆ ดูดีๆ คุยดีๆ ลองถามใจตัวเองดีๆว่า เอ๊ะ ยังไง โอเคยัง สบายใจมะพอคุยแล้ว สไตล์พอจะตรงกันบ้างไหม เรายกกรณีของเราเลย (อ่อบอกก่อนว่าเราตั้งใจไปประเทศเยอรมัน) เราอะอยากไปมากๆแล้ว กลัวแบบจะแก่เกิน หรืออายุเกิน
ช่วงเเรกพอมีโฮสทักมาก็ดีใจ คุยก็ดูเข้ากันได้ ชิวๆ แต่ติดตรงสถานที่อะ บ้านเขาอยู่กลางทุ่งเลย หน้าบ้านเป็นทุ่ง ด้านหลังเป็นทุ่ง เราคิดและ ยังไง เราจะอยู่ปีหนึ่งกับตรงนี้ได้จริงเร้อออ (เราเกิดเเละโตในเมืองและนั่นแหละติดเซฟโซนน่ะ) พอรู้สึกว่า เห้ย ถ้าเกิดเรารู้สึก เอ๊ะเมื่อไหร่ เราเลยคิดว่าโอเคยังไม่ใช่ ไม่เป็นไรหาใหม่ บางบ้านก็อยากให้ไปเดือนนั่นเดือนนี้ แต่เรายังไม่พร้อม หรือบางบ้านที่เราถูกใจเขาไม่ถูกใจเรา มันเป็นอยู๋อย่างนี้ พร้อมกับทำงานไปด้วย 1 ปีเต็มๆ หลังจากเราออกมาจากครู เราก็ตั้งใจหาโฮสแฟมมิลี่อย่างจริงจัง เพราะอยากไปจริงงๆ 😵
จนในที่สุด!!! ตอนนั้นเราอายุ 24 ล้ะ มีโฮสบ้านนึงทักมาต้นเดือนมกราคม 65 เขามาเที่ยวประเทศไทยพอดี เค้าทักมา และอยากจะสัมภาษณ์เราแบบตัวเป็นๆ เราตั้งใจจะไปหาเขาแล้ว แต่... เราติดโควิด!! ต้องไปอยู่ที่โรงเแรมกักตัว เราจึงต้องบอกเขาว่าเราไม่สามารถไปเจอได้แล้ว ตอนเรานั้นแบบ โอ้โหอะไรครับเนี่ย อะไรกันนัก จะได้โฮสอยู่แล้ว เขาคงเลือกคนอื่น หาคนอื่นแทนเเล้วมั้ง คนที่ไปหาพวกเขาได้เลยอะ เห้ออออออ เซ็งสุดๆ แต่ก็ทำใจมาสักพักแล้วแหละ ฮ่าๆๆ จะไม่ได้อีกสักบ้านจะเป็นไรอะ แต่ว่าๆๆ เขาก็ขอคุยต่อ ขอสัมภาษณ์ผ่านวิดิโอคอลก็ได้ เราก็ดีใจเลย สัมคุยกับเขา เราลิสคำถามไว้ตามที่ควรจะถามเลย เพราะส่วนใหญ่หน้าที่ของออแพร์คือ การอยู่กับน้อง เล่นกับน้อง ไปรับส่งบ้าง ช่วยทำการบ้าน ทำอาหารให้น้องบ้าง ทำความสะอาดห้องน้อง หรือบางบ้านก็เอาเปรียบให้เราทำเกินเวลาเกินหน้าที่
เราจึงต้องถามเขาให้ชัดๆ และคำตอบของเขาถูกใจเรามาก อย่างเช่น
เราถามว่า เราต้องทำอาหารให้น้องไหม เขาบอก ไม่จำเป็นนะ ปกติโฮสพ่อเป็นคนชอบทำอยู่แล้ว และน้องกินค่อนข้างยาก
// เราต้องไปรับส่งน้องที่โรงเรียนไหม เขาบอก ก็แล้วแต่เธอนะว่าอยากไปด้วยไหม เพราะปกติพวกฉันไปรับอยู๋แล้ว
// แล้วต้องทำความสะอาดบ้านมากน้อยแค่ไหน? เขาบอก ทำได้ก็ดีแต่ไม่จำเป็นเพราะเรามีแม่บ้านมาทำอยู่แล้ว
// จนเราต้องถามว่า เราต้องทำไรบ้าง เขาบอก แค่อยู่เล่นกับน้องก็พอ เราแบบบ เอ๋ ใช่หรอ จริงหร้อ
คำถามสุดท้าย เราถามเขาว่า อยากให้เราไปเมื่อไหร่ เขาตอบว่า เมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่เธอเลย
โอ้โห้ พอเราได้ยินอย่างนั้นเรารู้เลย บ้านนี้แหละ เขาดูชิว ดูไม่กดดัน เลยย ถือว่าเป็นความประทับใจแรกที่เราประทับใจมาก
**แต่ๆๆๆๆ มันติดตรงนี้ๆๆๆ ประเทศของบ้านนี้ไม่ใช่เยอรมันน่ะสิๆๆๆ ประเทศนี้คือ ประเทศออสเตรีย (เอาตรงๆเราไม่เคยคิดจะไปประเทศนี้เลย เเม้จะมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้อยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละเราติดเซฟโซน เราเคยไปเยอรมันกับสวิซเซอเเลน์มาก่อนเราเลยมีเพื่อนอยู่แต่แค่สองประเทศนี้ ถ้าจะไปก็จะได้มีเพื่อนอุ่นใจ แต่ออสเตรียนี้ไม่มีเลย ไม่มีคนรู้จักเลยเจ้าค่ะ)
แต่เราคิดแค่ว่า หน่าาา ในเมื่อเราโอเคกับครอบครัวที่จะใช้ชีวิต 1 ปีด้วยแล้ว เรื่องประเทศคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วมั้ง อีกอย่างบ้านเขาอยู่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรียด้วย เวลาทำงานก็น้อยกว่าประเทศเยอรมัน (ทำ 3 ชั่วโมงต่อวันเอง) ได้เงินเดือนเยอะกว่าที่เยอรมันด้วย (แน่นอนค่าครองชีพเเพงกว่านั่นเอง ฮ่าาาๆๆ) สำหรับเราตอนนั้นคือ ตกลงจ๊ะ ดำเนินเรื่องต่อเลยค้าบบบบบบบบ 🤩🥳
แต่ความดีใจเกิดขึ้นแค่ในเวลาสั้นๆเท่านั้น เดือนนึงเต็มๆ เรื่องไม่คาดคิดและหนักกับเรามากจริงๆก็ได้เกิดขึ้น ... 😰