ทั้งๆที่อาแปะเริ่มเบื่อการเมือง พยายามสะกดจิตตัวเองว่าประเทศชาติไม่ใช่ของเราคนเดียว ปล่อยให้คนเก่ง คนมีความสามารถ คนเป็นปราชญ์ เค้าพูดเค้าวิจารณ์กันไปเถอะ เราเป็นเพียงคนป่าคนดงการศึกษารึก็ต่ำต้อยจะไปเสนอหน้าวิจารณ์การเมืองทำไมให้เหนื่อยใจเปล่าๆ..
แต่ด้วยความที่อาแปะเป็นคนชอบคิด จึงหยุดคิดได้ไม่นาน พอไปอ่านข่าวเจอท่านผู้เฒ่าผู้แก่ออกมาวิจารณ์การเมือง ก็เลยเกิดคิดปรุงแต่งในบทวิจารณ์ของท่านผู้เฒ่านักปราชญ์ท่านนี้อีกแล้ว ท่านปราชญ์ผู้นี้เก่งนะครับ อายุมากแล้วยังคิดยังพูดได้แบบฉะฉานราวกับคนหนุ่มๆ หากเป็นอาแปะอายุเท่าท่านอาแปะคงเป็นปุ๋ยให้รากมะม่วงไปละ..
ประการแรก...ท่านปราชญ์ส.ฯว่า สว.มองพิธาเป็นศัตรู ตรงนี้อาแปะเห็นต่างนะครับ ทุกคนต่างมีหน้าที่ สว.ก็ถูกกำหนดมาเพื่อทำหน้าที่ช่วยรักษาความสงบ และช่วยคัดกรองผู้นำที่มีคุณลักษณะของผู้นำที่มาสร้างความสงบสุขและเจริญ พิธาเค้ามีคุณสมบัติไม่ครบ สว.ไม่เลือกพิธา ก็ถือว่าสว.ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้วที่ต้องคำนึงถึงคนส่วนมากจริงๆอีกห้าสิบกว่าล้านเสียง ...
มันหมดยุคของการมองคนเห็นต่างเป็นศัตรูแล้ว...นะครับ..
ประการที่สอง..ท่านว่าด้วยเรื่องของ"สันติประชาธรรม" เป็นครั้งแรกที่อาแปะได้เห็นคำนี้ ก็เลยไปค้นหาความหมายว่าคืออะไร จึงได้เข้าใจความหมาย..
"สันติประชาธรรม" โดยหลักการหลักคิดนั้นดีมาก...หนะครับ..
แต่เมื่อเอาไปเรียนไปสอนกันในมหาวิทยาลัยนั้น ได้สอนกันในแนวทางนี้ไหม ทำไมคณะศรัทธาในแนวทางนี้จึงปฏิบัติออกมาในแนวทางที่แตกต่างตรงข้ามกัน คือไม่นิยมสันติ ไม่นิยมธรรม แต่กลับไปนิยมความรุนแรงต่างๆนาๆ ทั้งความรุนแรงทางคำพูดและความรุนแรงในการแสดงออกทางการเมืองที่ปรากฏ ดูตรงข้ามกับ"สันติประชาธรรม"อย่างสิ้นเชิง...
ตรงนี้อาแปะเน้นย้ำ อยากฝากให้คิดทบทวนและปฏิบัติในวิถีของ "สันติประชาธรรม"....หนะครับ
ปล.อาแปะจะพยายามวิจารณ์การเมืองให้น้อยที่สุดนะครับ เพราะอาแปะให้สัญญากับน้องสาวไว้ว่าเมื่ออายุห้าสิบกว่ามากๆจะปลีกวิเวกตัดเรื่องทางโลก ไม่อยากผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้อง...หนะครับ คนที่เกลียดอาแปะก็ทำใจร่มๆนิดนึง อาแปะจะวิจารณ์การเมืองอีกไม่มากเท่าไหร่ก็จะเฟดเอ๊าท์ละ...จุ๊บุ๊ๆ
อมิตพุทธ
อาแปะพยายามคิดว่าชาติไม่ใช่ของเราคนเดียวอยู่เงียบๆดีกว่าไหม ...แต่เห็นผู้เฒ่ากว่าออกมาพูดการเมืองก็อดไม่ได้...
แต่ด้วยความที่อาแปะเป็นคนชอบคิด จึงหยุดคิดได้ไม่นาน พอไปอ่านข่าวเจอท่านผู้เฒ่าผู้แก่ออกมาวิจารณ์การเมือง ก็เลยเกิดคิดปรุงแต่งในบทวิจารณ์ของท่านผู้เฒ่านักปราชญ์ท่านนี้อีกแล้ว ท่านปราชญ์ผู้นี้เก่งนะครับ อายุมากแล้วยังคิดยังพูดได้แบบฉะฉานราวกับคนหนุ่มๆ หากเป็นอาแปะอายุเท่าท่านอาแปะคงเป็นปุ๋ยให้รากมะม่วงไปละ..
ประการแรก...ท่านปราชญ์ส.ฯว่า สว.มองพิธาเป็นศัตรู ตรงนี้อาแปะเห็นต่างนะครับ ทุกคนต่างมีหน้าที่ สว.ก็ถูกกำหนดมาเพื่อทำหน้าที่ช่วยรักษาความสงบ และช่วยคัดกรองผู้นำที่มีคุณลักษณะของผู้นำที่มาสร้างความสงบสุขและเจริญ พิธาเค้ามีคุณสมบัติไม่ครบ สว.ไม่เลือกพิธา ก็ถือว่าสว.ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้วที่ต้องคำนึงถึงคนส่วนมากจริงๆอีกห้าสิบกว่าล้านเสียง ...
มันหมดยุคของการมองคนเห็นต่างเป็นศัตรูแล้ว...นะครับ..
ประการที่สอง..ท่านว่าด้วยเรื่องของ"สันติประชาธรรม" เป็นครั้งแรกที่อาแปะได้เห็นคำนี้ ก็เลยไปค้นหาความหมายว่าคืออะไร จึงได้เข้าใจความหมาย..
"สันติประชาธรรม" โดยหลักการหลักคิดนั้นดีมาก...หนะครับ..
แต่เมื่อเอาไปเรียนไปสอนกันในมหาวิทยาลัยนั้น ได้สอนกันในแนวทางนี้ไหม ทำไมคณะศรัทธาในแนวทางนี้จึงปฏิบัติออกมาในแนวทางที่แตกต่างตรงข้ามกัน คือไม่นิยมสันติ ไม่นิยมธรรม แต่กลับไปนิยมความรุนแรงต่างๆนาๆ ทั้งความรุนแรงทางคำพูดและความรุนแรงในการแสดงออกทางการเมืองที่ปรากฏ ดูตรงข้ามกับ"สันติประชาธรรม"อย่างสิ้นเชิง...
ตรงนี้อาแปะเน้นย้ำ อยากฝากให้คิดทบทวนและปฏิบัติในวิถีของ "สันติประชาธรรม"....หนะครับ
ปล.อาแปะจะพยายามวิจารณ์การเมืองให้น้อยที่สุดนะครับ เพราะอาแปะให้สัญญากับน้องสาวไว้ว่าเมื่ออายุห้าสิบกว่ามากๆจะปลีกวิเวกตัดเรื่องทางโลก ไม่อยากผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้อง...หนะครับ คนที่เกลียดอาแปะก็ทำใจร่มๆนิดนึง อาแปะจะวิจารณ์การเมืองอีกไม่มากเท่าไหร่ก็จะเฟดเอ๊าท์ละ...จุ๊บุ๊ๆ
อมิตพุทธ