คำว่า "ปฏิบัติ" มาจากภาษาบาลี จึงต้องย้อนกลับไปหาความหมายดั้งเดิมในภาษาบาลี
บาลีเป็น “ปฏิปตฺติ” (ปะ-ติ-ปัด-ติ) รากศัพท์มาจาก ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + ปทฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, บรรลุ) + ติ ปัจจัย, แปลงที่สุดธาตุเป็น ตฺ (ปทฺ > ปต)
: ปฏิ + ปทฺ = ปฏิปทฺ + ติ = ปฏิปทฺติ > ปฏิปตฺติ (อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความถึงเฉพาะ”
แต่ถึงเฉพาะอะไร?
จริงๆ คำนี้ หมายถึง ถึงเฉพาะ (หรือประจักษ์แจ้ง เห็นชัด) ซึ่งสภาพธรรมทีละหนึ่งขณะๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของมหาสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม
แต่ไม่ได้แปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" ว่าลงมือทำ อย่างที่เพี้ยนมาในภาษาไทยปัจจุบัน
ดังนั้น ในขณะที่ท่านพระสารีบุตร สมัยยังเป็นปุถุชน ได้ฟังพระธรรมเพียงสั้นๆ จากท่านอัสสชิ หรือท่านพระอานนท์ได้ฟังพระธรรมบทสั้นๆ จากท่านพระปุณณมันตานีบุตร หรือพระนางสามาวดีได้ฟังธรรมจากนางขุชชุตตรา หญิงรับใช้ร่างคร่อมของตนเอง ฯลฯ แล้วท่านเหล่านี้ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พวกท่านไม่ได้ลงมือทำแต่อย่างใด แต่พวกท่านถึงซึ่งเฉพาะและประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมทีละหนึ่งขณะตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา ท่านได้ประจักษ์แจ้งถึงซึ่งเฉพาะลักษณะของไตรลักษณ์ ถึงซึ่งเฉพาะลักษณะของทุกข์ในขณะนั้น (ที่มิใช่การมโนว่าประจักษ์แจ้งเหมือนโสดาบันเก๊มากมายในปัจจุบัน) แล้วจึงถึงซึ่งปฏิเวธ ดับกิเลสในชั้นแรกได้เป็นสมุจเฉท ละสักกายทิฏฐิหรือความเห็นผิดว่าเป็นตัวเป็นต้นได้
มีหลักฐานตรงไหนในพระไตรปิฎกที่สืบทอดมา 2500 กว่าปีว่า พวกท่านเหล่านี้จะต้องไปนั่งปฏิบัติสมาธิเสียก่อนจึงจะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
ส่วนเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ยังคงถือเป็นพระเสขะ คือผู้ที่ยังต้องศึกษาพระธรรมต่อเพื่อการดับกิเลสในชั้นต่อๆ แต่แน่นอนว่า พวกท่านเหล่านี้ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว การปฏิบัติของท่านจึงเป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ สัมมาวายามะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ ฯลฯ ไม่ใช่เหมือนอย่างการปฏิบัติของปุถุชนส่วนใหญ่ที่ยังเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ เพราะขาดการฟังพระสัทธรรมโดยบริบูรณ์
การบรรลุธรรมได้ ปัญญาจะต้องเป็นตามลำดับขั้น ตั้งแต่ "ปริยัติ - ปฏิบัติ - ปฏิเวธ" ดั่งพระพุทธพจน์ที่ว่า "“.....ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับไม่โกรกชันเหนือเหวฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง...ฯ”
เพราะฉะนั้น ถ้าแปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" หมายถึง ลงมือทำ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระอานนท์ ท่านพาหิยะ ท่านอัสสชิ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามิคารมาตา นางขุชชุตตรา พระนางสามาวดี ฯลฯ ก็คงจะไม่สามารถได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันได้เป็นแน่แท้ เพราะไม่ได้ลงมือนั่งปฏิบัติหรือเดินปฏิบัติหรือทำสมาธิเลย เพียงฟังธรรมสั้นๆ ก็บรรลุโสดาบันทันที จะเป็นไปได้อย่างไร
แต่ถ้าแปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" ตามความหมายในภาษาบาลีว่า หมายถึง
"ความถึงเฉพาะ" ก็จะหายสงสัยว่า ทำไมพวกท่านเหล่านี้จึงบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ก็เพราะพวกท่านเหล่านี้ซึ่งได้สะสมปัญญาบารมีด้วยการพังพระสัทธรรมในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มานับชาติไม่ถ้วน เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ของปัญญาที่มีชิ้นต่อเป็นหลายล้านชิ้น ค่อยๆ ต่อไปทีละชั้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เป็นปัญญาความเข้าใจที่เพิ่มพูนสะสมสืบต่อทีละน้อยๆๆๆๆ จนปัญญาถึงพร้อมแล้วที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้ที่ได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้ฟังธรรมแม้เพียงบทสั้นๆ ก็เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ของปัญญาชิ้นสุดท้าย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้สติสัมปชัญญะพร้อมด้วยปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ถึงเฉพาะซึ่งสภาพธรรมตามความเป็นจริงทีละหนึ่งขณะๆๆ แยกชัดระหว่างรูปและนาม เกิดวิปัสสนาญาณ ประจักษ์แจ้งเห็นทุกข์ในไตรลักษณะ ประจักษ์ชัดแจ้งถึงความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง จึงถึงซึ่งปฏิเวธ แทงตลอด ละความเห็นผิดในสักกายทิฏฐิได้ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในที่สุด
จากนั้น เมื่อเป็นพระโสดาบัน ก็ละความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว การปฏิบัติต่อเพื่อให้ถึงซึ่งการดับกิเลสทั้งปวงได้เป็นสมุจเฉท จึงเป็นไปโดยชอบในมรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วยสัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นต้น จึงต่างจากปุถุชนที่ยังคงละความเห็นผิดในตัวตนของตนไม่ได้ ลงมือปฏิบัติด้วยตัวตนของตน มีแต่เราจะนั่ง เราจะทำ เราจะเดิน เราจะยืน หายใจเข้าก็เป็นเราที่หายใจ หายใจออกก็ยังคงเป็นเราที่หายใจออก หายใจเบาไปไม่กระทบจมูก ก็ต้องเร่งลมหายใจให้แรงขึ้นเพื่อจะได้รู้สัมผัสถึงลมที่กระทบปลายจมูก มีแต่เราๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่ปฏิบัติ ที่ลงมือทำ แล้วเมื่อไหร่จะมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบันได้อย่างแท้จริง เท่าที่เห็นในปัจจุบัน มีแต่พวกโสดาบันปลอมที่ยังมีแต่ตัวเราของเราเต็มเปี่ยมไปหมด ที่ยังคงลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติผิดๆ ยังคงละสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ยังคงนุ่งขาวห่มขาวราวกับว่าชุดขาวจะทำให้จิตใจบริสุทธิ์ได้ ซึ่งเป็นสีลัพพตปรามาส เป็นการลูบคลำข้อประพฤติผิดๆ อยู่ แต่อ้างว่าตนได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว
ท่านพระสารีบุตร ท่านพระอานนท์ พระนางสามาวดี ฯลฯ ในขณะที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน พวกท่านเหล่านั้นได้ลงมือปฏิบัติหรือไม่
บาลีเป็น “ปฏิปตฺติ” (ปะ-ติ-ปัด-ติ) รากศัพท์มาจาก ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + ปทฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, บรรลุ) + ติ ปัจจัย, แปลงที่สุดธาตุเป็น ตฺ (ปทฺ > ปต)
: ปฏิ + ปทฺ = ปฏิปทฺ + ติ = ปฏิปทฺติ > ปฏิปตฺติ (อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความถึงเฉพาะ”
แต่ถึงเฉพาะอะไร?
จริงๆ คำนี้ หมายถึง ถึงเฉพาะ (หรือประจักษ์แจ้ง เห็นชัด) ซึ่งสภาพธรรมทีละหนึ่งขณะๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของมหาสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม
แต่ไม่ได้แปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" ว่าลงมือทำ อย่างที่เพี้ยนมาในภาษาไทยปัจจุบัน
ดังนั้น ในขณะที่ท่านพระสารีบุตร สมัยยังเป็นปุถุชน ได้ฟังพระธรรมเพียงสั้นๆ จากท่านอัสสชิ หรือท่านพระอานนท์ได้ฟังพระธรรมบทสั้นๆ จากท่านพระปุณณมันตานีบุตร หรือพระนางสามาวดีได้ฟังธรรมจากนางขุชชุตตรา หญิงรับใช้ร่างคร่อมของตนเอง ฯลฯ แล้วท่านเหล่านี้ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พวกท่านไม่ได้ลงมือทำแต่อย่างใด แต่พวกท่านถึงซึ่งเฉพาะและประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมทีละหนึ่งขณะตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา ท่านได้ประจักษ์แจ้งถึงซึ่งเฉพาะลักษณะของไตรลักษณ์ ถึงซึ่งเฉพาะลักษณะของทุกข์ในขณะนั้น (ที่มิใช่การมโนว่าประจักษ์แจ้งเหมือนโสดาบันเก๊มากมายในปัจจุบัน) แล้วจึงถึงซึ่งปฏิเวธ ดับกิเลสในชั้นแรกได้เป็นสมุจเฉท ละสักกายทิฏฐิหรือความเห็นผิดว่าเป็นตัวเป็นต้นได้
มีหลักฐานตรงไหนในพระไตรปิฎกที่สืบทอดมา 2500 กว่าปีว่า พวกท่านเหล่านี้จะต้องไปนั่งปฏิบัติสมาธิเสียก่อนจึงจะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
ส่วนเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ยังคงถือเป็นพระเสขะ คือผู้ที่ยังต้องศึกษาพระธรรมต่อเพื่อการดับกิเลสในชั้นต่อๆ แต่แน่นอนว่า พวกท่านเหล่านี้ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว การปฏิบัติของท่านจึงเป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ สัมมาวายามะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ ฯลฯ ไม่ใช่เหมือนอย่างการปฏิบัติของปุถุชนส่วนใหญ่ที่ยังเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ เพราะขาดการฟังพระสัทธรรมโดยบริบูรณ์
การบรรลุธรรมได้ ปัญญาจะต้องเป็นตามลำดับขั้น ตั้งแต่ "ปริยัติ - ปฏิบัติ - ปฏิเวธ" ดั่งพระพุทธพจน์ที่ว่า "“.....ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับไม่โกรกชันเหนือเหวฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง...ฯ”
เพราะฉะนั้น ถ้าแปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" หมายถึง ลงมือทำ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระอานนท์ ท่านพาหิยะ ท่านอัสสชิ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามิคารมาตา นางขุชชุตตรา พระนางสามาวดี ฯลฯ ก็คงจะไม่สามารถได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันได้เป็นแน่แท้ เพราะไม่ได้ลงมือนั่งปฏิบัติหรือเดินปฏิบัติหรือทำสมาธิเลย เพียงฟังธรรมสั้นๆ ก็บรรลุโสดาบันทันที จะเป็นไปได้อย่างไร
แต่ถ้าแปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" ตามความหมายในภาษาบาลีว่า หมายถึง "ความถึงเฉพาะ" ก็จะหายสงสัยว่า ทำไมพวกท่านเหล่านี้จึงบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ก็เพราะพวกท่านเหล่านี้ซึ่งได้สะสมปัญญาบารมีด้วยการพังพระสัทธรรมในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มานับชาติไม่ถ้วน เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ของปัญญาที่มีชิ้นต่อเป็นหลายล้านชิ้น ค่อยๆ ต่อไปทีละชั้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เป็นปัญญาความเข้าใจที่เพิ่มพูนสะสมสืบต่อทีละน้อยๆๆๆๆ จนปัญญาถึงพร้อมแล้วที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้ที่ได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้ฟังธรรมแม้เพียงบทสั้นๆ ก็เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ของปัญญาชิ้นสุดท้าย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้สติสัมปชัญญะพร้อมด้วยปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ถึงเฉพาะซึ่งสภาพธรรมตามความเป็นจริงทีละหนึ่งขณะๆๆ แยกชัดระหว่างรูปและนาม เกิดวิปัสสนาญาณ ประจักษ์แจ้งเห็นทุกข์ในไตรลักษณะ ประจักษ์ชัดแจ้งถึงความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง จึงถึงซึ่งปฏิเวธ แทงตลอด ละความเห็นผิดในสักกายทิฏฐิได้ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในที่สุด
จากนั้น เมื่อเป็นพระโสดาบัน ก็ละความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว การปฏิบัติต่อเพื่อให้ถึงซึ่งการดับกิเลสทั้งปวงได้เป็นสมุจเฉท จึงเป็นไปโดยชอบในมรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วยสัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นต้น จึงต่างจากปุถุชนที่ยังคงละความเห็นผิดในตัวตนของตนไม่ได้ ลงมือปฏิบัติด้วยตัวตนของตน มีแต่เราจะนั่ง เราจะทำ เราจะเดิน เราจะยืน หายใจเข้าก็เป็นเราที่หายใจ หายใจออกก็ยังคงเป็นเราที่หายใจออก หายใจเบาไปไม่กระทบจมูก ก็ต้องเร่งลมหายใจให้แรงขึ้นเพื่อจะได้รู้สัมผัสถึงลมที่กระทบปลายจมูก มีแต่เราๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่ปฏิบัติ ที่ลงมือทำ แล้วเมื่อไหร่จะมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบันได้อย่างแท้จริง เท่าที่เห็นในปัจจุบัน มีแต่พวกโสดาบันปลอมที่ยังมีแต่ตัวเราของเราเต็มเปี่ยมไปหมด ที่ยังคงลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติผิดๆ ยังคงละสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ยังคงนุ่งขาวห่มขาวราวกับว่าชุดขาวจะทำให้จิตใจบริสุทธิ์ได้ ซึ่งเป็นสีลัพพตปรามาส เป็นการลูบคลำข้อประพฤติผิดๆ อยู่ แต่อ้างว่าตนได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว