วันก่อนผมไปไสๆ TikTok มาแล้วเป็นฟังเรื่อง ลูกปัดทาส ผมก็เลยไปหาข้อมูลในอากู๋ ต่อ มันมีประวัติศาสตร์จริง เกี่ยวกับเรื่องนี้จริง
คือผมสปอยคร่าวๆนะครับ คือสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงล่าอาณานิคมของพวกยุโรป ไปหาทรัพยากรที่มีค่าทั่วโลก
แล้วไปเจอพวกทรัพยากรที่มีค่าในดินแดนแอฟริกา คือสมัยก่อนการซื้อขายแลกเปลี่ยนน่าจะเป็นแบบว่ายื่นหมูยื่นแมว เอาปลาแลกผัก เอาข้าวสารแลกข้าว สิ่งของแลกสิ่งของ น่าจะประมาณนั้นครับ แล้วพวกยุโรปมันหัวหมอ มีเทคโนโลยิการผลิตลูกปัดที่สวยๆ งามๆ นำเข้าพร้อมปลุกความเชื่อที่ว่าเอาไว้เป็นตัวแทนแลกเปลี่ยนการค้าขายทำให้สะดวกกว่า ชาวยุโรปก็เลยผลิตมาให้คนแอฟริกาใช้กันแพร่หลายเพื่อเอาไปซื้อขายสินค้า
พอทีนี้ชาวยุโรปหัวหมอผลิตออกมาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกชาวแอฟริกาก็ต้องทำงานหนักมาขึ้นเพื่อเอาไปแลกมาใช้จ่าย
ที่ดิน ที่ทำมาหากิน ข้าวของก็เริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำงานแลกลูกปัดมาเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญญาได้ซื้อที่ดินเป็นของตัวเองสักที สุดท้ายเป็นหนี้ต้องไปเป็นทาส
อันนี้คร่าวๆ ประมาณนี้นะครับ เพื่อนๆลองไปคนหาคำว่า Slave beads หรือ Aggry beads ดูได้นะครับ
ต่อมาในปี 1971 อเมริกามหาอำนาจ ได้ประกาศยกเลิกมาตรฐานการอ้างอิงทองคำกับค่าเงิน หรือยุติระบบ Bretton Woods system หรือยุติการอ้างอิงทองคำกับค่าเงินออก แล้วใช้เงินดอลล่าอ้างอิงแทน คราวนัอเมริกาก็สามารถพิมพ์เงินออกมาได้เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีทองคำสำรองครับ
ซึ่งจุดเชื่อมโยงจิ๊กซอสำคัญ ของฝรั่งหัวทองชาวยุโรปสมัยศตวรรษที่ 16 เลยครับ คือ สามารถผลิตลูกปัดเอามาซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่มีค่าจริงได้
มันเหมือนเดจาวูยุคนั้นเด๊ะๆ เลยครับ คือ เหมือนตอนนี้ที่รัฐบาล โดยเฉพาะ FED หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ ปั้มแบงค์ QE อยู่ตอนนี้ ที่เราเรียกหรูว่าระบบการเงิน มันเหมือน เดจาวู ลูกปัดทาส อย่างไงอย่างงั้นเลยครับเพื่อนๆ
คือเรื่องพิมพ์แบงค์นี่หลายๆ ประเทศก็ทำนะครับ แต่ก็ต้องทำแบบระมัดระวัง แต่อเมริกา เหมือนเขาวางระบบการเงินที่แยบยลมาตั้งแต่ ปี 1971 แล้วหรือเปล่าครับ หรือว่า องค์กร “อิลลูมินาติ" มันมีอยู่จริงหรือเปล่าครับ
เพื่อนๆ สังเกตไหมครับว่าคนส่วนใหญ่ ยิ่งผ่อนรถผ่อนบ้าน เอาเวลาทำงานไปแลกกับเงินกระดาษมากเท่าไหร่ แต่ทำไมทรัพยากรพวกนี้ถึงไกลห่างไปทุกที ข้าวของแพงไม่พอใช้จ่าย หรือว่าเราตกอยู่เกมการเงินที่เขาได้วางไว้มาอย่างแยบยลหรือเปล่าครับ เปรียบเหมือนเราเป็น หนูตะเพา วิ่งวนอยู่ในกรง อยู่ไหนสนามแข่งหนูหรือเปล่าครับ
แล้วอะไรหล่ะ คือ ที่จะทำให้เราออกจากเกมของคนอื่นนี้ได้ ต้องย้อนกลับไปที่ศตวรรษที่ 16 อีกรอบครับ ชาวยุโรป มาแอฟริกาทำไม?
มันมาเพื่อจ้องฮุบทรัพยากรที่แท้จริง นั่นคือ ที่ดิน ทองคำ ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า พืชพรรณ ธัญญาหาร โดยการอุปโลคลูกปัดขึ้นมาว่าเป็นของมีค่าแล้วใช้มันซื้อไป
ที่จะวิแคะ ยสตน นั่นก็คือ ทรัพยากรที่แท้จริงนั่นก็ คือ ข้าวปลาอาหาร ที่ดินทำกิน แหล่งธรรมชาติลำธาร การเกษตร ครับ ทรัพยากรเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เราอยู่รอดได้ คือที่ผมจะสื่อ ใครที่มีที่ดินทำกินอย่าขายแล้วมาแลกเงินกระดาษครับ หรือไม่ก็เก็บเป็นทองคำแท่งได้ก็เป็นอีกทางเลือก
ส่วนทองคำแท่งถ้าเป็นเป็นไปได้ให้เก็บเป็นทองคำ 99.99% นะครับ เพราะไปแลกขายได้ทั่วโลก ส่วน 96.5% จะขายได้แต่ในประเทศเรานะครับ ถ้าไปขายประเทศอื่นที่เขารับเฉพาะทอง 99.99% เขาจะไม่ค่อยรับ 96.5% แต่ถ้ารับก็จะโดนหัก ประมาณ 30% ผมได้ยินเขาว่ามานะครับ
อย่างญาติที่ไต้หวันบอกว่าเขาไม่รับซื้อทอง 96.5% รับแต่ 99.99% ประมาณนี้ครับ
ส่วนอีกเรื่องคือเงินดอลล่ายอมรับว่าสากลก็ยังใช้กันทั่วโลก แต่ผมงงคือ ตอนพี่สาวของเมียผมเอาแบงค์ดอลล่าไปแลกที่ซุปเปอร์ริชเค้าบอกว่าแลกไม่ได้ เขาตรวจว่าเป็นแบงค์จริงนะครับ แบงค์ใหญ่อยู่ ถ้าจำไม่ผิด เป็นแบงค์ที่มี เบนจามิน แฟรงคลิน อยู่บนธนบัตรอ่ะครับ แต่แลกไม่ได้งงเหมือนกัน หรือว่ามันเก่าไป เพราะเหมือนแกเอาไปแลกที่ไต้หวันก็ไม่รับแลกเหมือนกัน เลยมาลองที่ไทยก็ไม่รับเหมือนกัน
กลับมาที่ผมวิแคะ ยสตน ต่อนะครับ ตอนนี้วิวัฒนาการของลูกปัดทาส จากอดีต มาจนถึงปัจจุบันที่เป็นเงินกระดาษ มันกำลังมาในรูปแบบดิจิตอลหรือเปล่าครับ สังเกตว่าตอนนี้เราไม่ค่อยพกเงินสดกันแล้ว เป็นแบบสแกนจ่าย คอนแทคเลสกันแล้ว ซึ่งมันอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต
และอินเตอร์เน็ต ผู้ที่คิดค้น World Wide Web หรือ www. ที่พัมฒนาให้เราใช้ทุกวันนี้ มาจากต้นกำเนิดคือ หน่วยงานกลาโหมสหรัฐ หรือ U.S. Defence Department หัวหน้าโครงการวิจัยตอนนั้นคือ Robert W. Taylor เป็นผู้วิจัยและสร้าง Internet ทำให้โลกเราไร้พรหมแดนมาจนถึงทุกวันนี้
บางที่ผมก็คิดนะว่าชีวิตเราพึ่งพา IOT หรือ Internet Of Things มากเกินไปหรือเปล่า เราฝากทุกอย่างไว้กับมันมากไปหรือเปล่า
ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนนี้ผมไม่พกเงินสดเลยครับ มีแต่มือถือไว้สแกนจ่าย ถ้าแบตหมด มือถือพังคือจบ
กินข้าวร้านข้างทางอยู่กำลังจะสแกนจ่ายดันแบตหมด จบเลยครับทำงานล้างจานชดใช้เลยครับแบบนั้น
แทบทุกอย่างอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่เราเห็นข่าวเนืองๆ ที่หลายคนโดยแฮกแล้วเงินในบัญชีสูญหายแทบหมดตัว
ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาเป็น ยสตน นะครับ เป็นความเห็นวิแคะส่วนตัว เพื่อชวนเพื่อนๆ คุยแชร์มุมมองนะครับ
ยสตน. = ย้ำความเห็นส่วนตัวนะ
เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมไม่ได้บ้านะครับ
เคยได้ยินเรื่องลูกปัดทาสไหมครับ มันกลายพันธ์มาในรูปแบบเงินกระดาษในปัจจุบันรึเปล่า สิ่งที่คนยอดพีระมิดใช้ควบคุมคนส่วนใหญ่
วันก่อนผมไปไสๆ TikTok มาแล้วเป็นฟังเรื่อง ลูกปัดทาส ผมก็เลยไปหาข้อมูลในอากู๋ ต่อ มันมีประวัติศาสตร์จริง เกี่ยวกับเรื่องนี้จริง
คือผมสปอยคร่าวๆนะครับ คือสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงล่าอาณานิคมของพวกยุโรป ไปหาทรัพยากรที่มีค่าทั่วโลก
แล้วไปเจอพวกทรัพยากรที่มีค่าในดินแดนแอฟริกา คือสมัยก่อนการซื้อขายแลกเปลี่ยนน่าจะเป็นแบบว่ายื่นหมูยื่นแมว เอาปลาแลกผัก เอาข้าวสารแลกข้าว สิ่งของแลกสิ่งของ น่าจะประมาณนั้นครับ แล้วพวกยุโรปมันหัวหมอ มีเทคโนโลยิการผลิตลูกปัดที่สวยๆ งามๆ นำเข้าพร้อมปลุกความเชื่อที่ว่าเอาไว้เป็นตัวแทนแลกเปลี่ยนการค้าขายทำให้สะดวกกว่า ชาวยุโรปก็เลยผลิตมาให้คนแอฟริกาใช้กันแพร่หลายเพื่อเอาไปซื้อขายสินค้า
พอทีนี้ชาวยุโรปหัวหมอผลิตออกมาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกชาวแอฟริกาก็ต้องทำงานหนักมาขึ้นเพื่อเอาไปแลกมาใช้จ่าย
ที่ดิน ที่ทำมาหากิน ข้าวของก็เริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำงานแลกลูกปัดมาเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญญาได้ซื้อที่ดินเป็นของตัวเองสักที สุดท้ายเป็นหนี้ต้องไปเป็นทาส
อันนี้คร่าวๆ ประมาณนี้นะครับ เพื่อนๆลองไปคนหาคำว่า Slave beads หรือ Aggry beads ดูได้นะครับ
ต่อมาในปี 1971 อเมริกามหาอำนาจ ได้ประกาศยกเลิกมาตรฐานการอ้างอิงทองคำกับค่าเงิน หรือยุติระบบ Bretton Woods system หรือยุติการอ้างอิงทองคำกับค่าเงินออก แล้วใช้เงินดอลล่าอ้างอิงแทน คราวนัอเมริกาก็สามารถพิมพ์เงินออกมาได้เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีทองคำสำรองครับ
ซึ่งจุดเชื่อมโยงจิ๊กซอสำคัญ ของฝรั่งหัวทองชาวยุโรปสมัยศตวรรษที่ 16 เลยครับ คือ สามารถผลิตลูกปัดเอามาซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่มีค่าจริงได้
มันเหมือนเดจาวูยุคนั้นเด๊ะๆ เลยครับ คือ เหมือนตอนนี้ที่รัฐบาล โดยเฉพาะ FED หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ ปั้มแบงค์ QE อยู่ตอนนี้ ที่เราเรียกหรูว่าระบบการเงิน มันเหมือน เดจาวู ลูกปัดทาส อย่างไงอย่างงั้นเลยครับเพื่อนๆ
คือเรื่องพิมพ์แบงค์นี่หลายๆ ประเทศก็ทำนะครับ แต่ก็ต้องทำแบบระมัดระวัง แต่อเมริกา เหมือนเขาวางระบบการเงินที่แยบยลมาตั้งแต่ ปี 1971 แล้วหรือเปล่าครับ หรือว่า องค์กร “อิลลูมินาติ" มันมีอยู่จริงหรือเปล่าครับ
เพื่อนๆ สังเกตไหมครับว่าคนส่วนใหญ่ ยิ่งผ่อนรถผ่อนบ้าน เอาเวลาทำงานไปแลกกับเงินกระดาษมากเท่าไหร่ แต่ทำไมทรัพยากรพวกนี้ถึงไกลห่างไปทุกที ข้าวของแพงไม่พอใช้จ่าย หรือว่าเราตกอยู่เกมการเงินที่เขาได้วางไว้มาอย่างแยบยลหรือเปล่าครับ เปรียบเหมือนเราเป็น หนูตะเพา วิ่งวนอยู่ในกรง อยู่ไหนสนามแข่งหนูหรือเปล่าครับ
แล้วอะไรหล่ะ คือ ที่จะทำให้เราออกจากเกมของคนอื่นนี้ได้ ต้องย้อนกลับไปที่ศตวรรษที่ 16 อีกรอบครับ ชาวยุโรป มาแอฟริกาทำไม?
มันมาเพื่อจ้องฮุบทรัพยากรที่แท้จริง นั่นคือ ที่ดิน ทองคำ ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า พืชพรรณ ธัญญาหาร โดยการอุปโลคลูกปัดขึ้นมาว่าเป็นของมีค่าแล้วใช้มันซื้อไป
ที่จะวิแคะ ยสตน นั่นก็คือ ทรัพยากรที่แท้จริงนั่นก็ คือ ข้าวปลาอาหาร ที่ดินทำกิน แหล่งธรรมชาติลำธาร การเกษตร ครับ ทรัพยากรเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เราอยู่รอดได้ คือที่ผมจะสื่อ ใครที่มีที่ดินทำกินอย่าขายแล้วมาแลกเงินกระดาษครับ หรือไม่ก็เก็บเป็นทองคำแท่งได้ก็เป็นอีกทางเลือก
ส่วนทองคำแท่งถ้าเป็นเป็นไปได้ให้เก็บเป็นทองคำ 99.99% นะครับ เพราะไปแลกขายได้ทั่วโลก ส่วน 96.5% จะขายได้แต่ในประเทศเรานะครับ ถ้าไปขายประเทศอื่นที่เขารับเฉพาะทอง 99.99% เขาจะไม่ค่อยรับ 96.5% แต่ถ้ารับก็จะโดนหัก ประมาณ 30% ผมได้ยินเขาว่ามานะครับ
อย่างญาติที่ไต้หวันบอกว่าเขาไม่รับซื้อทอง 96.5% รับแต่ 99.99% ประมาณนี้ครับ
ส่วนอีกเรื่องคือเงินดอลล่ายอมรับว่าสากลก็ยังใช้กันทั่วโลก แต่ผมงงคือ ตอนพี่สาวของเมียผมเอาแบงค์ดอลล่าไปแลกที่ซุปเปอร์ริชเค้าบอกว่าแลกไม่ได้ เขาตรวจว่าเป็นแบงค์จริงนะครับ แบงค์ใหญ่อยู่ ถ้าจำไม่ผิด เป็นแบงค์ที่มี เบนจามิน แฟรงคลิน อยู่บนธนบัตรอ่ะครับ แต่แลกไม่ได้งงเหมือนกัน หรือว่ามันเก่าไป เพราะเหมือนแกเอาไปแลกที่ไต้หวันก็ไม่รับแลกเหมือนกัน เลยมาลองที่ไทยก็ไม่รับเหมือนกัน
กลับมาที่ผมวิแคะ ยสตน ต่อนะครับ ตอนนี้วิวัฒนาการของลูกปัดทาส จากอดีต มาจนถึงปัจจุบันที่เป็นเงินกระดาษ มันกำลังมาในรูปแบบดิจิตอลหรือเปล่าครับ สังเกตว่าตอนนี้เราไม่ค่อยพกเงินสดกันแล้ว เป็นแบบสแกนจ่าย คอนแทคเลสกันแล้ว ซึ่งมันอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต
และอินเตอร์เน็ต ผู้ที่คิดค้น World Wide Web หรือ www. ที่พัมฒนาให้เราใช้ทุกวันนี้ มาจากต้นกำเนิดคือ หน่วยงานกลาโหมสหรัฐ หรือ U.S. Defence Department หัวหน้าโครงการวิจัยตอนนั้นคือ Robert W. Taylor เป็นผู้วิจัยและสร้าง Internet ทำให้โลกเราไร้พรหมแดนมาจนถึงทุกวันนี้
บางที่ผมก็คิดนะว่าชีวิตเราพึ่งพา IOT หรือ Internet Of Things มากเกินไปหรือเปล่า เราฝากทุกอย่างไว้กับมันมากไปหรือเปล่า
ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนนี้ผมไม่พกเงินสดเลยครับ มีแต่มือถือไว้สแกนจ่าย ถ้าแบตหมด มือถือพังคือจบ
กินข้าวร้านข้างทางอยู่กำลังจะสแกนจ่ายดันแบตหมด จบเลยครับทำงานล้างจานชดใช้เลยครับแบบนั้น
แทบทุกอย่างอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่เราเห็นข่าวเนืองๆ ที่หลายคนโดยแฮกแล้วเงินในบัญชีสูญหายแทบหมดตัว
ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาเป็น ยสตน นะครับ เป็นความเห็นวิแคะส่วนตัว เพื่อชวนเพื่อนๆ คุยแชร์มุมมองนะครับ
ยสตน. = ย้ำความเห็นส่วนตัวนะ
เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้