หย่ากับสามีแต่ต้องอยู่บ้านเดียวกันเพื่อช่วยกันเลี้ยงลูก ..มีวิธีระบายความเศร้า ความเครียดและวิธีรับมืออย่างไรได้บ้างคะ

สวัสดีค่ะทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน เราอยากขอคำปรึกษาหรือความคิดเห็นอย่างไรก็ได้นะคะ ช่วยเสนอมาให้เราหน่อย ตอนนี้เราทุกข์ใจมากๆค่ะ

เรากับสามีพึ่งหย่ากันได้ไม่นาน ด้วยเรื่องทั่วไปของชีวิตคู่ซึ่งพวกเราพยายามปรับกันหลายรอบแล้ว แต่ความรักอย่างเดียวไม่พอ สุดท้ายจบด้วยการไปหย่ากัน...

เราตกลงกันด้วยดีว่า เราจะช่วยกันเลี้ยงลูก เนื่องด้วยพวกเราทั้งคู่ รักและห่วงลูกมากๆ เราคุยกันว่าจะไม่ให้ลูกรับรู้ว่าพวกเราหย่ากัน เพราะเคยทำท่าคุยเล่นๆ กับลูกแล้วพวกเขาร้องไห้และเสียใจมาก จึงบอกลูกไปว่า พ่อแม่ล้อเล่น จะอยู่ด้วยกันตลอดไปแบบนี้ไม่มีใครไปไหนหรอก

ตอนนี้คนเครียดคือเราค่ะ (เราไม่รู้เขาจะเครียดไหมนะคะ เขาเป็นผู้ชายเราก็ดูไม่ออก) เราต้องเห็นหน้ากันทุกวัน ถึงแม้จะนอนคนละห้อง ทั้งเขาและเราต่างยังทำหน้าที่กันเหมือนเดิม เพียงแต่คุยกันน้อยลง มีคุยเรื่องลูกบ้าง  ถ้าต้องเกี่ยวกับลูกค่ะ

คือมันเลิกไม่ขาดค่ะ หย่าก็เหมือนไม่ขาด เพราะยังต้องอยู่บ้านเดียวกัน เห็นหน้ากันทุกวัน เราต่างก็แคร์ลูก.... จริงๆ เราอยากออกไปอยู่ข้างนอกแต่ก็ไปไม่ได้ เราติดลูกค่ะ

คำถามเราคือมีใครเคยเจอเคสแบบเราไหมคะ แล้วมีวิธีจัดการปัญหายังไงได้บ้าง อยากคลายความทุกข์ความเศร้า อยากหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ค่ะ

ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้านะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับใครก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์นี้
หลายคนเลือกที่จะเดินออกไป
เพื่อไม่ต้องอยู่กับภาพที่อาจกระตุ้นความรู้สึกในทางลบ

แต่คุณคงมีเหตุผลมากพอที่ทำให้ไม่สามารถละทิ้งไปได้ ซึ่งบางอย่างก็อาจไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจหรือเห็นด้วยได้
และก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเข้าใจก็ได้นะ

ถึงแม้จะอยู่ในความเศร้าความเครียดตามที่คุณเล่า
แต่สิ่งที่เห็นได้
คือคุณทั้งคู่มีความพยายามที่จะรักษาความเป็นครอบครัวสำหรับลูกไว้
มีความปรารถนาที่จะไม่ให้ลูกได้รับผลกระทบจากปัญหาความสัมพันธ์ของพ่อแม่
ซึ่งเป็นเรื่องทีทำได้ยากมาก

คุณยังไม่ให้ลูกรับรู้ว่าพ่อแม่หย่ากัน
เข้าใจว่าคงรอเวลาที่เหมาะสม
ซึ่งผมเห็นด้วยว่า
อย่างน้อยเวลาที่เหมาะสม
คือเวลาที่คุณพ้นจากความเศร้าโศกไปแล้ว
คุณสามารถปรับตัว ปรับความรู้สึกให้รับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระดับหนึ่ง

เพราะถ้าให้ลูกได้รับรู้ในขณะที่คุณยังอ่อนไหว
คุณอาจไม่มีพลังมากพอที่จะรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดเพิ่มขึ้นมาได้

ผมไม่รู้ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นมานานเท่าไรแล้ว
แต่โดยทั่วไป คนเราใช้เวลาปรับตัวกับสิ่งต่างๆ 3-6 เดือน
และการแยกทาง เป็นเรื่องใหญ่มากๆ
ดังนั้นคงต้องเตรียมใจว่าเราจะต้องใช้เวลาในการจัดการ

ที่พบได้บ่อยคือความคิดสงสัยว่า
ปัญหาที่เกิดเพราะเราเป็นต้นเหตุ
หรือเป็นผู้ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ทั้งที่จริงปัญหาความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน
และไม่อาจโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่ควรมองสิ่งที่จะต้องทำต่อไปในอนาคต
มากกว่าคิดวนไปวนมากับเรื่องที่ผ่านมา

ยอมรับว่าการหยุดความคิดความรู้สึกเป็นเรื่องยาก
ยิ่งต้องเห็นหน้าอีกฝ่าย คงอดคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้
ดังนั้น คำแนะนำจึงไม่ใช่ให้หยุดคิด
สิ่งที่ทำได้ คงเพียงให้หากิจกรรมอื่นทดแทน
เพื่อหันเหความคิดความรู้สึกของเรา

ลองคิดเรื่องสิ่งที่จะต้องทำกับลูก
เรื่องงาน เรื่องรายได้ที่เราต้องเตรียมพึ่งพาตนเอง
เรื่องอนาคตสั้นๆ ไม่ต้องคิดไกลมาก

แต่เป็นเรื่องปกติอีกเช่นกัน
ที่เราก็จะแว้บกลับไปคิดเรื่องอดีต
ก็แค่รู้ตัว แล้วไปคิดเรื่องอื่นใหม่
ฝึกไว้ ค่อยๆ ทำ
เวลายังมีอีกมาก

ไม่ได้หวังให้ลืมหรือไม่ให้ทุกข์
แต่หวังให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เด็กมันร้องไห้แป้บเดียวแหละ เดียวมันก็ชิน ไม่เหมือนผู้ใหญ่เสียใจนาน อาทิตย์นึงมันก็เข้าใจแล้ว เด็กมันไม่ได้คิดซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่ คุณหย่าแล้ว อยู่ไปก็ไม่มีความสุขจะอยู่ไปทำไม ไม่มีอะไรแล้วลูกก็แยกกันเลี้ยง ตกลงเวลากันเอา ใครจะเลี้ยงวันไหน อย่าเอาเด็กมาเป็นข้ออ้างทำให้คุณแย่เลย ชีวิตมันสั้นไปหาความสุขซะ
ความคิดเห็นที่ 9
แยกบ้านกันดีกว่าครับ

เพราะสุดท้ายเกิดฝั่งหนึ่งฝั่งใดไปมีใหม่ ก็จะเกิดสงครามประสาทในบ้านอยู่ดี

กลายเป็นเด็กต้องอยู่ในบ้านที่มีความอึมครึมตลอดเวลา สุดท้ายความรักแบบนี้คือความรักแบบเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ โดยเอาเด็กมาอ้างครับ
ความคิดเห็นที่ 23
คุณจขกท.รู้มั้ยคะ เลิกกันแต่ปิดลูก ลูกมารู้ตอนโตหัวใจสลายกว่ามากค่ะ  เพื่อนเรากะน้องสาวเค้าแบบนี้เลย พ่อแม่เลิกกันแต่อยู่บ้านเดิม ทำเป็นไม่มีไรเกิดขึ้นตั้งแต่เพื่อนเราอยู่ประถม  เพื่อนเรากะน้องสาวไม่รู้จนน้องสาวอยู่ม.ปลายแล้วไปเที่ยวทะเลใกล้กทม.กับเพื่อน  เจอพ่อไปเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่น เข้าไปโวยวายใส่จนโดนผู้หญิงคนนั้นสวนมาว่าเข้าเมียแต่งถูกต้องตามกฎหมาย  มาถามแม่ถึงได้รู้ว่าที่บอกพ่อไปๆมาๆ ทำงานตจว. จริงๆ คือพ่อแต่งงานใหม่ไปแล้ว  สรุปลูกพาลโกรธทั้งพ่อและแม่ที่ไม่เคยบอก
ความคิดเห็นที่ 24
ถ้าอยู่ด้วยกัน  แล้วสามารถ ปรับเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ  ก็จะดีมากครับ

วิถีการแต่งงาน  เหมือนการแสดงความเป็นเจ้าของกันมากขึ้น
จนไปกำกับชีวิตส่วนตัวอีกฝ่ายมากเกิน  ไม่ยอมรับ ในเรื่องความแตกต่าง ของแต่ละคน
มักทำให้เกิดปัญหาตามมาเย่อะแย่ะไปหมดครับ

ถ้าสามารถอยู่กันแบบเพื่อน  ยอมรับความแตกต่าง
เวลาที่เจอความแตกต่าง  ต่างฝ่าย ต่างก็จะไม่ไปจุ้น บังคับอีกฝั่งนึง
ถ้าทำได้  ก็จบได้สวย  ไม่ว่าจะอยุ่ต่อแบบสามีภรรยา หรือว่า อยู่แบบเพื่อน

ถ้าอยู่กันแบบเพื่อนได้   มันก็ไม่มีคำว่า เสียดแทงใจ หนามยอกอก  หรือสารพัดคำ นะครับ

สิ่งสำคัญมากๆ  คือ มีสติ ในการไม่กล่าววาจา ร้ายๆ  ออกจากปาก และใจ ของแต่ละฝั่งนะครับ
เริ่มที่ตัว จขกท ก่อน แล้วกัน
เรื่องอะไรที่เห็นต่าง  ก็ปล่อยผ่าน นะครับ อย่าเก็บไใ้ในใจ จนอารมณ์ไม่ดี  มาเผาใจเราจนร้อน

ถ้า จขกท แสดงอาการเป็นเพื่อนที่ดีๆ ไปซักพัก  
เพื่อน ที่เคยเป็นอดีต สามี  เขาน่าจะเห็นเพื่อนที่ดีๆ  อีกคนนึง ในบ้าน นะครับ

ที่คู่กัน มักแตกกัน เพราะว่า ต่างฝ่ายมักแสดงความเป็นอีโก้ของตัวเอง ไปครอบอีกฝั่ง นะครับ

ชีวิตนี้ สั้นนัก
อย่าเอาแต่ทะเลาะกันเลยครับ

หาวิธีจัดการ อารมณ์ที่หมอง ออกจากใจตัวเองนะครับ  โดยไม่ต้องเก็บกด และไม่ต้องไปกระทบใจใครๆทั้งนั้น
ถ้ารู้วิธี และรู้นิสัยตัวเอง  ก็น่าจะจัดการได้นะครับ

ถ้าอยู่ในช่วงวัยที่ฮอร์โมนแปรปรวน  ช่วงวัยทอง ไม่ว่า ชาย หรือ หญฺิง   อารมณ์คนวัยนี้ จะคุมได้ ต้องอาศัยสติ จริงๆ

ถ้าเราเข้าใจในชีวิต  เข้าใจในเรื่องของโลกโลกียะ  เข้าใจในศาสนาพุทธ โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการทำความเข้าใจในอารมณ์
ทุกอย่างจะมีแต่สิ่งดีๆ ครับ


ชีวิตนี้ สั้นนัก
เราเองอย่าสุมไฟในใจเรา   อย่าให้มีไฟในใจเราเผาผลาญใจเราเลยนะครับ

คิดได้  มีสติ ทำได้   บ้านก็จะร่มรื่น นะครับ
ความคิดเห็นที่ 20
ต่อให้คุณบอกว่าอยู่เพื่อลูกก็เถอะ พอลูกโตมากพอที่จะอ่านบรรยากาศรอบข้างได้เขาจะรู้เองค่ะว่ามันไม่เหมือนเดิม

สักวันลูกก็จะรู้ว่าพวกคุณหย่ากันแล้ว สักวันลูกก็จะรู้ว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่มีความสุข เขารักคุณที่คุณยอมเสียสละ แต่เขาก็จะเสียใจที่ตนเองทำให้แม่ไม่มีความสุขมาตลอดเช่นกัน

คุณควรคุยกับลูกให้เขาเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ตกลงกับอดีตสามีเรื่องการดูแลลูก และปรึกษาจิตแพทย์เด็กถึงหนทางในการรับมือกับจิตใจลูกหลังพ่อแม่หย่าร้างค่ะ

อย่าไปคุยแบบโยนหินถามทางกับเด็ก เด็กเขาไม่เข้าใจหรอก ความคิดและประสบการณ์ชีวิตของเขาไม่ซับซ้อนเท่าผู้ใหญ่ เขาไม่รู้ว่าชีวิตคู่คืออะไร หย่าคืออะไร ภาระผูกพันมีอะไรบ้าง เขาก็จะแสดงออกในแบบที่เขาเข้าใจ เราเอาตรงนั้นมาตัดสินไม่ได้ค่ะ

แม่เราก็เคยมาถามทีเล่นทีจริงแบบนี้ล่ะ ถามว่าถ้าพ่อแม่เลิกกันเราจะอยู่กับใคร เราไม่รู้ว่าการหย่ามันร้ายแรงยังไง เรานึกว่าอยู่ที่ว่าคือนอนเล่นอยู่บ้าน เราตอบไปว่าเราจะไปอยู่กับลุง (ตอนนั้นเราติดลุงกับป้า) แม่เราเลยไม่หย่าเพราะกลัวเสียลูกไป พอโตมาเราโกรธตัวเองมากเลยที่ตอบไปแบบนั้น เราอยากให้แม่หย่ากับ abuser อย่างพ่อมาก ๆ แต่มันสายไปแล้ว แม่ทนจนกลายเป็นชินชา ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้เราจะบอกว่าอยู่กับแม่ แม่จะได้หลุดพ้นจากพ่อตั้งแต่ตอนนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่