สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาเล่าเรื่องผี เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและก็ญาติของเราเอง เรื่องนี้ดังมากในสมัยที่เราอายุเพียงแค่ 4-5ขวบน่าจะได้ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด
เรื่องมีอยู่ว่า.....
ปี พ.ศ.2547 ช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ คนหลายๆคนเดินทางกลับต่างจังหวัด เพื่อไปเยี่ยมญาติไปหาพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ทุกคนล้วนมีความสุขกับเทศกาลนี้
การเดินทางจากกรุงเทพ ไป ร้อยเอ็ด จะมี ลุง ป้า พ่อ แม่ อา เด็กๆ ก็จะมี พี่บิ้ก พี่บอล เรา บอส รวมๆแล้ว ก็ 9 คน เดินทางด้วยรถกะบะ พี่บิ้กกับบอสเป็นลูกของลุง ส่วนพี่บอลกับเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ
ใช้ระยะเวลานานพอสมควร ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กมากๆ อายุเพียงแค่4-5ขวบนี้ล่ะ แม่มักจะบอกว่าเรางี่เง้า งอแงมากๆ ก็ใช่แหละตอนนั้นยังเป็นเด็ก
พอไปถึงที่ร้อยเอ็ด เวลาก็ดึกมากแล้ว ตี1-2 จะได้ ลุงเป็นคนขับรถ สมัยนั้นถนนก้ไม่ค่อยดี เลยต้องขับช้า จากตัวจังหวัดร้อยเอ็ดไปอำเภอธวัชบุรี ใช้เวลานานพอสมควร พอถึงหมู่บ้านทางเข้า ลุงมักบีบแตร 3 ครั้ง เพื่อบอกเจ้าที่ ที่คุ้มครองหมู่บ้าน ว่าเรามาถึงแล้ว
พอถึงบ้านก้สวัสดีปู่ ย่า ก่อนเลย ปู่กับย่านอนไม่หลับเพราะรู้ว่าลูกหลานจะมาหา เลยรอจนถึงตี1เลย จัดแจกที่นอนว่าใครนอนตรงไหนของบ้านบ้างแล้วอาบน้ำนอนเพราะเหนื่อยจากการเดินทางอย่างมาก
เราขออธิบายเรื่องบ้านก่อนนะบ้าน ปู่กับย่า สภาพบ้านเป็นบ้าน2ชั้น ข้างบนจะมีเพียงแค่1ห้องเท่านั้น นอกนั้นเป็นที่โล่งๆ ส่วนชั้นล่าง จะโล่งเหมือนกัน มีของไม่มากส่วนมากจะมีแค่เครื่องจักรเย็บผ้าสมัยก่อนที่ต้องถีบถึงจะเย็บให้
ส่วนบ้านยาย จะอยู่คนละหมู่บ้าน ห่างจากหมู่บ้านปู่กับย่า 3 กิโล สภาพบ้านเหมือนกัน ข้างบนที่1ห้องและโล่ง
เช้าวันต่อมาเป็นวันแรกที่เราอยู่ร้อยเอ็ด ไปไหว้พระเช้าที่วัดในหมู่บ้าน ที่ต่างจังหวัดจะตักบาตรด้วยข้าวเหนียวพร้อมอาหารที่คนในหมู่บ้านทำมาถวาย ก็ดูมีความสุข หลังจากพระทำวัดเช้าเสร็จ พ่อกับแม่ก็เข้าไปหาพระครูเจ้าอาวาส พระครูได้บอกกับพ่อไว้ว่า ช่วงนี้ระวังลมพัดลมเพมาหานะ ดวงตก พ่อเราฟังนะ แต่ก็ได้แค่รับฟังและระวังตัว พอกลับมาถึงบ้าน ตัวเราเองที่งี่เง้าบอกว่าอยากไปหายาย อยากไปสวัสดียาย
พ่อกับแม่ก็คงอยากไปหายายเช่นกันแหละค่ะ เลยเดินทางไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ อัดไปกัน4คน พ่อแม่ พี่บอล แล้วเรา พ่อเป็นคนขับพี่บอลนั้งหน้าพ่อ
เรานั้งกลางส่วนแม่นั้งถ่ายสุด ระหว่างทางมีแต่ทุ่งนาของชาวบ้าน สภาพอากาศดีพอสมควร พ่อจะขับช้าสบายๆชิวๆ เมื่อขับถึงช่วงกลางทาง ต้องผ่านสะพานหนึ่ง และแม่น้ำนั้นเป็นน้ำชี ชาวอีสานจะรู้กันว่าน้ำชีนี้ เวลาน้ำขึ้นจะสูงมาก แต่พอน้ำลดสามารถเล่นน้ำได้ เปิดรีสอดเล่นน้ำกันในช่วงวันสงกราต์
ตอนั้นเราจำได้ว่าเราเห็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงอายุคราวเดียวกับเราเลย เล่นน้ำกันอยู่ เราเลยขอพ่อแม่ว่าระหว่างทางขอเล่นน้ำตรงนั้นได้ไหม ในขณะที่พ่อขับช้าๆสบายๆชิวๆอยู่นั้น อยู่พ่อก็ขับเร็วขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุมาว่า "ไม่" ตอนนั้นเราก็งอแงงี้เง้าใส่พ่อแม่ จนแม่ที่นั้งข้างหลังก็เลยตีเราด้วยความโมโห จากที่ขับรถสบายๆอากาศดี ก็จบลงไป พอไปถึงบ้านยาย เราเลยฟ้องยายว่าพ่อแม่ไม่ยอมให้ไปเล่นน้ำกับเด็กผู้ชายและผู้หญิงคนนั้น ยายก็เลยตอบเรามาว่า " มีที่เล่นตั้งเยอะไปเล่นที่อื่นดีกว่านะ " เราเชื่อฟังยายมากว่าพ่อแม่อีกตอนั้น
พอถึงช่วงค่ำๆ แม่เราติดละครมาก เพราะสมัยนั้นละครดังจริงๆ ก็นั้งดูข้างล่างกับยาย ส่วนเรา พี่บอล พ่อก็ขึ้นไปนอนชั้นบน ตอนั้นเราก็ร้องไห้อีก งอแงเพราะอยากกินนม พ่อเลยตะโกรบอกให้แม่ชงนมให้เรา แต่เม่เราติดละครเลยไม่ไปชงนมให้ พ่อตะโกนบอกครั้งที่ 2 ด้วยความโมโห
แม่ลุกไปชงนม แล้วเดินขึ้นมาชั้นบนห้องที่เรานอนอยู่ เอานมมาให้เราพร้อมตีเราอีก พูดออกมาว่า ดูหนังอยู่ทำไมไม่ลงมาชงนมให้ลูกเอง ด้วยความโมโห
พ่อแม่เลยทะเลาะกัน จนทำให้พ่อเราตอนเดินออกจากบ้านยาย ไปแค่กางเกงยีนต์ขาสั้นตัวเดียว มอไซร์ไม่ขับไป รองเท้าไม่ใส่ พ่อไปด้วยความโมโห
พ่อเล่าให้ฟังว่า ระหว่างเดินไปคนเดียว พื้นดินก็เป็นพื้นสีแดง (หินแดง) ไฟก้ไม่มี มองเห็นทางเพราะแสงจันทร์ เดินถนนตรงเดิมที่ผ่านมาเจอเด็ก เดินมาเลื่อยๆจนมาถึงสะพานที่ข้าวน้ำชี พ่อเห้นแสงสว่างอยู่ไกลจากพ่อมาก แสงเหมือนหิ่งห้อง แต่จู่ๆมันก็ใหญ่ขึ้นเท่าลูกบอล แล้วมันก้พุ้งมาใส่ตรงหน้าผากพ่อ
ด้วยความโมโห พ่อล้มทั้งยืนรีบลุงขึ้นมา และได้ต่อยแสงตัวนั้น และวิ่งเพื่อจะไปให้ถึงบ้านปู่กับย่าให้เร็วๆ
แต่ตอนนั้น พ่อวิ่งไปยังไงก้เหมือนจะวิ่งอยู่ที่เดิม อยู่ตรงสะพานเดิม เหมือนวิ่งไปเท่าไร่ ก็ไม่ออกไปจากสะพานข้ามน้ำชีสักที
พ่อคิดในใจว่า เจ้าที่เจ้าทางรักษาคุ้มครองหมู่บ้านเรา ช่วยมารักษาลูกด้วย
จากนั้นพ่อ ก็ได้ยินเสียงม้าวิ่ง อยู่ข้างหลัง
พ่อวิ่งแล้วกำลังจะหันไปมอง แต่อยู่ก็มีไม้เท้า ปิดหน้าพ่อแล้วบอกพ่อมาว่า
""" ไม่ต้องหันมาดูกู จงวิ่งไปให้สุด กูจะช่วย ลูกหลานในหมู่บ้านของกู ยังไงกูต้องช่วย """ (พ่อบอกว่าท่านพูดภาษาอีสานนะคะ)
ในตอนนั้นพ่อก็วิ่งและไม่รู้สึกเจ็บขาเลย สมัยนั้นหินดินแดงมันเจ็บมากนะ เวลาเดินแบบไม่ใส่รองเท้า
วิ่งพร้อมกับเสียงม้า ที่อยู่ข้างหลัง และเสียงกรี๊ดของผู้หญิง โดยที่พ่อไม่รู้เลยว่าเสียงนั้นคือใคร
หลังจากที่วิ่งมาได้สักพัก จากบ้านยายมาบ้านย่า 3กิโลกว่าๆ ใกล้ถึงหมู่บ้านแล้ว พ่อได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาอีกว่า
"" กูมาส่งได้เท่านี้ จงวิ่งไปให้ถึงบ้านสะ""" ด้วยความที่อยากรู้ว่าใครช่วย พ่อเราก็วิ่งและหันจะไปมอง แต่กลับไม่เห็นใครเลย แต่ได้ยินเสียงม้ายังวิ่งอยู่ ข้างหลัง ด้วยความตกใจ เลยวิ่งเร็วกว่าเดิม พอไปถึงบ้านเคาะประตูบ้านรัว คนที่เปิดบ้านคือลุง
แล้วลุงก็ถามว่า "" อ้าวมายังไง เกิดไรขึ้นทำไมไม่นานบ้านแม่ยาย "" (พูดอีสาน)
พ่อไม่พูดรีบเดินเข้าบ้านแล้วบอกให้ลุงรีบปิดประตู หลังจากนั้น ลุง ป้า อา ปู่ ย่า ก็รู้เรื่องว่าเกิดไรขึ้นทะเลาะกันเรื่องไร ต่อจากนี้เรื่องจะโหดกว่าเดิม
เราขอย้ำว่านี้คือเรื่องจริงของ พ่อ แม่ แล้วญาติๆของเรา แต่ยังไม่จบ มีต่อค่ะ ขอพักก่อน เราพิมพ์ผิด หรืออ่านแล้ว งงยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ
มาพร้อมกับความตาย
เรื่องมีอยู่ว่า.....
ปี พ.ศ.2547 ช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ คนหลายๆคนเดินทางกลับต่างจังหวัด เพื่อไปเยี่ยมญาติไปหาพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ทุกคนล้วนมีความสุขกับเทศกาลนี้
การเดินทางจากกรุงเทพ ไป ร้อยเอ็ด จะมี ลุง ป้า พ่อ แม่ อา เด็กๆ ก็จะมี พี่บิ้ก พี่บอล เรา บอส รวมๆแล้ว ก็ 9 คน เดินทางด้วยรถกะบะ พี่บิ้กกับบอสเป็นลูกของลุง ส่วนพี่บอลกับเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ
ใช้ระยะเวลานานพอสมควร ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กมากๆ อายุเพียงแค่4-5ขวบนี้ล่ะ แม่มักจะบอกว่าเรางี่เง้า งอแงมากๆ ก็ใช่แหละตอนนั้นยังเป็นเด็ก
พอไปถึงที่ร้อยเอ็ด เวลาก็ดึกมากแล้ว ตี1-2 จะได้ ลุงเป็นคนขับรถ สมัยนั้นถนนก้ไม่ค่อยดี เลยต้องขับช้า จากตัวจังหวัดร้อยเอ็ดไปอำเภอธวัชบุรี ใช้เวลานานพอสมควร พอถึงหมู่บ้านทางเข้า ลุงมักบีบแตร 3 ครั้ง เพื่อบอกเจ้าที่ ที่คุ้มครองหมู่บ้าน ว่าเรามาถึงแล้ว
พอถึงบ้านก้สวัสดีปู่ ย่า ก่อนเลย ปู่กับย่านอนไม่หลับเพราะรู้ว่าลูกหลานจะมาหา เลยรอจนถึงตี1เลย จัดแจกที่นอนว่าใครนอนตรงไหนของบ้านบ้างแล้วอาบน้ำนอนเพราะเหนื่อยจากการเดินทางอย่างมาก
เราขออธิบายเรื่องบ้านก่อนนะบ้าน ปู่กับย่า สภาพบ้านเป็นบ้าน2ชั้น ข้างบนจะมีเพียงแค่1ห้องเท่านั้น นอกนั้นเป็นที่โล่งๆ ส่วนชั้นล่าง จะโล่งเหมือนกัน มีของไม่มากส่วนมากจะมีแค่เครื่องจักรเย็บผ้าสมัยก่อนที่ต้องถีบถึงจะเย็บให้
ส่วนบ้านยาย จะอยู่คนละหมู่บ้าน ห่างจากหมู่บ้านปู่กับย่า 3 กิโล สภาพบ้านเหมือนกัน ข้างบนที่1ห้องและโล่ง
เช้าวันต่อมาเป็นวันแรกที่เราอยู่ร้อยเอ็ด ไปไหว้พระเช้าที่วัดในหมู่บ้าน ที่ต่างจังหวัดจะตักบาตรด้วยข้าวเหนียวพร้อมอาหารที่คนในหมู่บ้านทำมาถวาย ก็ดูมีความสุข หลังจากพระทำวัดเช้าเสร็จ พ่อกับแม่ก็เข้าไปหาพระครูเจ้าอาวาส พระครูได้บอกกับพ่อไว้ว่า ช่วงนี้ระวังลมพัดลมเพมาหานะ ดวงตก พ่อเราฟังนะ แต่ก็ได้แค่รับฟังและระวังตัว พอกลับมาถึงบ้าน ตัวเราเองที่งี่เง้าบอกว่าอยากไปหายาย อยากไปสวัสดียาย
พ่อกับแม่ก็คงอยากไปหายายเช่นกันแหละค่ะ เลยเดินทางไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ อัดไปกัน4คน พ่อแม่ พี่บอล แล้วเรา พ่อเป็นคนขับพี่บอลนั้งหน้าพ่อ
เรานั้งกลางส่วนแม่นั้งถ่ายสุด ระหว่างทางมีแต่ทุ่งนาของชาวบ้าน สภาพอากาศดีพอสมควร พ่อจะขับช้าสบายๆชิวๆ เมื่อขับถึงช่วงกลางทาง ต้องผ่านสะพานหนึ่ง และแม่น้ำนั้นเป็นน้ำชี ชาวอีสานจะรู้กันว่าน้ำชีนี้ เวลาน้ำขึ้นจะสูงมาก แต่พอน้ำลดสามารถเล่นน้ำได้ เปิดรีสอดเล่นน้ำกันในช่วงวันสงกราต์
ตอนั้นเราจำได้ว่าเราเห็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงอายุคราวเดียวกับเราเลย เล่นน้ำกันอยู่ เราเลยขอพ่อแม่ว่าระหว่างทางขอเล่นน้ำตรงนั้นได้ไหม ในขณะที่พ่อขับช้าๆสบายๆชิวๆอยู่นั้น อยู่พ่อก็ขับเร็วขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุมาว่า "ไม่" ตอนนั้นเราก็งอแงงี้เง้าใส่พ่อแม่ จนแม่ที่นั้งข้างหลังก็เลยตีเราด้วยความโมโห จากที่ขับรถสบายๆอากาศดี ก็จบลงไป พอไปถึงบ้านยาย เราเลยฟ้องยายว่าพ่อแม่ไม่ยอมให้ไปเล่นน้ำกับเด็กผู้ชายและผู้หญิงคนนั้น ยายก็เลยตอบเรามาว่า " มีที่เล่นตั้งเยอะไปเล่นที่อื่นดีกว่านะ " เราเชื่อฟังยายมากว่าพ่อแม่อีกตอนั้น
พอถึงช่วงค่ำๆ แม่เราติดละครมาก เพราะสมัยนั้นละครดังจริงๆ ก็นั้งดูข้างล่างกับยาย ส่วนเรา พี่บอล พ่อก็ขึ้นไปนอนชั้นบน ตอนั้นเราก็ร้องไห้อีก งอแงเพราะอยากกินนม พ่อเลยตะโกรบอกให้แม่ชงนมให้เรา แต่เม่เราติดละครเลยไม่ไปชงนมให้ พ่อตะโกนบอกครั้งที่ 2 ด้วยความโมโห
แม่ลุกไปชงนม แล้วเดินขึ้นมาชั้นบนห้องที่เรานอนอยู่ เอานมมาให้เราพร้อมตีเราอีก พูดออกมาว่า ดูหนังอยู่ทำไมไม่ลงมาชงนมให้ลูกเอง ด้วยความโมโห
พ่อแม่เลยทะเลาะกัน จนทำให้พ่อเราตอนเดินออกจากบ้านยาย ไปแค่กางเกงยีนต์ขาสั้นตัวเดียว มอไซร์ไม่ขับไป รองเท้าไม่ใส่ พ่อไปด้วยความโมโห
พ่อเล่าให้ฟังว่า ระหว่างเดินไปคนเดียว พื้นดินก็เป็นพื้นสีแดง (หินแดง) ไฟก้ไม่มี มองเห็นทางเพราะแสงจันทร์ เดินถนนตรงเดิมที่ผ่านมาเจอเด็ก เดินมาเลื่อยๆจนมาถึงสะพานที่ข้าวน้ำชี พ่อเห้นแสงสว่างอยู่ไกลจากพ่อมาก แสงเหมือนหิ่งห้อง แต่จู่ๆมันก็ใหญ่ขึ้นเท่าลูกบอล แล้วมันก้พุ้งมาใส่ตรงหน้าผากพ่อ
ด้วยความโมโห พ่อล้มทั้งยืนรีบลุงขึ้นมา และได้ต่อยแสงตัวนั้น และวิ่งเพื่อจะไปให้ถึงบ้านปู่กับย่าให้เร็วๆ
แต่ตอนนั้น พ่อวิ่งไปยังไงก้เหมือนจะวิ่งอยู่ที่เดิม อยู่ตรงสะพานเดิม เหมือนวิ่งไปเท่าไร่ ก็ไม่ออกไปจากสะพานข้ามน้ำชีสักที
พ่อคิดในใจว่า เจ้าที่เจ้าทางรักษาคุ้มครองหมู่บ้านเรา ช่วยมารักษาลูกด้วย
จากนั้นพ่อ ก็ได้ยินเสียงม้าวิ่ง อยู่ข้างหลัง
พ่อวิ่งแล้วกำลังจะหันไปมอง แต่อยู่ก็มีไม้เท้า ปิดหน้าพ่อแล้วบอกพ่อมาว่า
""" ไม่ต้องหันมาดูกู จงวิ่งไปให้สุด กูจะช่วย ลูกหลานในหมู่บ้านของกู ยังไงกูต้องช่วย """ (พ่อบอกว่าท่านพูดภาษาอีสานนะคะ)
ในตอนนั้นพ่อก็วิ่งและไม่รู้สึกเจ็บขาเลย สมัยนั้นหินดินแดงมันเจ็บมากนะ เวลาเดินแบบไม่ใส่รองเท้า
วิ่งพร้อมกับเสียงม้า ที่อยู่ข้างหลัง และเสียงกรี๊ดของผู้หญิง โดยที่พ่อไม่รู้เลยว่าเสียงนั้นคือใคร
หลังจากที่วิ่งมาได้สักพัก จากบ้านยายมาบ้านย่า 3กิโลกว่าๆ ใกล้ถึงหมู่บ้านแล้ว พ่อได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาอีกว่า
"" กูมาส่งได้เท่านี้ จงวิ่งไปให้ถึงบ้านสะ""" ด้วยความที่อยากรู้ว่าใครช่วย พ่อเราก็วิ่งและหันจะไปมอง แต่กลับไม่เห็นใครเลย แต่ได้ยินเสียงม้ายังวิ่งอยู่ ข้างหลัง ด้วยความตกใจ เลยวิ่งเร็วกว่าเดิม พอไปถึงบ้านเคาะประตูบ้านรัว คนที่เปิดบ้านคือลุง
แล้วลุงก็ถามว่า "" อ้าวมายังไง เกิดไรขึ้นทำไมไม่นานบ้านแม่ยาย "" (พูดอีสาน)
พ่อไม่พูดรีบเดินเข้าบ้านแล้วบอกให้ลุงรีบปิดประตู หลังจากนั้น ลุง ป้า อา ปู่ ย่า ก็รู้เรื่องว่าเกิดไรขึ้นทะเลาะกันเรื่องไร ต่อจากนี้เรื่องจะโหดกว่าเดิม
เราขอย้ำว่านี้คือเรื่องจริงของ พ่อ แม่ แล้วญาติๆของเรา แต่ยังไม่จบ มีต่อค่ะ ขอพักก่อน เราพิมพ์ผิด หรืออ่านแล้ว งงยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ