Chalun Ch
บทที่ 6 ลูกเจี๊ยบในกำมือของนายท่าน
และแล้วฉันก็ได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสมใจ ทดลองงานสามเดือนถ้าผ่านก็ได้เป็นพนักงานประจำ แต่ถ้าไม่ผ่าน...ก็นั่นแหละต้องเตรียมตัวหางานที่ใหม่ได้เลย โอกาสเข้ามาอยู่ในมือขนาดนี้แล้วเรื่องอะไรที่ฉันจะปล่อยให้หลุดมือไป
ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้...
ฉันรับตำแหน่งเป็นผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับธุรกิจของคนรวยในประเทศไทย เกี่ยวกับพวกอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย ติดตามพวกนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง มีพี่เลี้ยงสอนงานชื่อพี่สาชื่อจริงแกชื่อสุนิสาตัวอ้วน ๆ ตัน ๆ ใจดี กินเก่ง มีขนมขบเคี้ยวก็แบ่งให้ฉันทานด้วยตลอด เดือนกว่าที่ทำงานอยู่ที่นี่น้ำหนักของฉันแทบจะพุ่งกระฉูด นอกจากฉันที่ได้รับน้ำใจนี้คนอื่น ๆ ยังได้รับน้ำใจจากแกด้วย
ฉันดีใจมากที่ได้งานรอบนี้มีเพื่อนร่วมงานใจดี ไม่ขี้นินทาไม่วางท่าก๋ากั่นเก่าสนาม ไม่เบ่ง ยินดีสอนงานให้อย่างเต็มใจ มันทำให้อยากมาทำงานทุกวันไม่เหมือนที่ทำงานที่เก่าที่ฉันเพิ่งลาออกมา ที่นั่นไม่รู้ว่าเป็นสังคมแบบไหน 'นินทากันเสร็จยิ้มให้กันเฉย'
พออยู่นานไปไม่รู้ล่ะว่าจะเป็นอย่างไรแต่ช่วงฝึกงานทดลองงานอยู่นี่ทุกคนโอเคกับฉันก็พอ ในเมื่อฉันสัมภาษณ์ผ่านและได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าวแล้ว มีหรือฉันจะไม่นัดพี่ ๆ ไปเลี้ยงฉลอง ที่ฉลองล่าช้าก็เพราะฉันเพิ่งจะว่าง ทำงานวันแรกก็งานยุ่งเลย ผ่านไปเป็นเดือนฉันถึงได้มีเวลานัดเพื่อนนัดพี่ปาร์ตี้
เรานัดฉลองความสำเร็จอีกขั้นของฉันที่ร้านเดิม คราวนี้มีสมาชิกมาเพิ่มเป็นแขกหน้าเก่าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีมาด้วย นอกจากฉันไอ้เต้ยพี่เนยและก็พี่แซนแล้วยังมีมาร์คัสตามมาด้วย ไอ้เต้ยมีหวังละลายกลายเป็นน้ำลงตรงนี้แน่นึกแล้วก็สยองแทนมาร์คัส
นานเหมือนกันตั้งแต่คราวก่อนที่พวกเรามาฉลองให้กับฉันที่มีบริษัทโทรมานัดสัมภาษณ์งาน ก็ตั้งแต่เดือนก่อนโน้น รอบนี้พวกเรากลับมาอีกครั้งเพราะฉันสัมภาษณ์ผ่านได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าว และพวกเราจะกลับมาอีกครั้งในวันที่ฉันผ่านการทดลองงานได้เป็นพนักงานประจำ
ที่มาครั้งนั้นมีแขกหน้าใหม่กิ๊กตามมาด้วย ผู้ชายหน้านิ่งหล่อมาดเท่ดีกรีนักเรียนนอก แถมยังเป็นนักธุรกิจไฟแรงเสียด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้ค้นพบผู้ชายในฝันในสเปกของตัวเอง 'ฝันสูงชะมัด' แต่คนเราก็ต้องฝันให้ไกลไปให้ถึงไหม...
มีแค่วันนั้นวันเดียวที่ฉันเห็นพี่ซันแต่งตัวสบาย ๆ นอกนั้นเขาแต่งตัวเนี้ยบใส่สูทผูกไทด์ทุกวันดูน่าเกรงขามย่ำเกรง แม้แต่พี่แซนก็ไม่กล้าแหย่หนวดเสือ พี่แซนเล่าให้ฉันฟังว่าปกติพี่ซันเป็นคนนิ่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไรยิ่งมาถูกหักอกยิ่งนิ่งเงียบเข้าไปอีกแทบจะไม่ยิ้มให้ใครเลย
ฉันเจอกับเขาครั้งล่าสุดก็ตอนที่พาพี่แซนไปเซอร์ไพรส์วันเกิดให้มาร์คัสแล้วขากลับเขาขับรถไปส่งฉันที่บ้าน หลังจากวันนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้เจออีก ภาพวันวานที่เราเจอกันครั้งแรกที่นี่ในร้านนี้มันยังวนเวียนฉายชัดในหัวมิรู้จบ แค่เพียงไม่กี่นาทีที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ยาวนานแสนนานในความรู้สึก อดนึกถึงใบหน้าเข้มที่เอาแต่นั่งเงียบไม่ได้เลย
"แพมแกเป็นอะไร ไม่สนุกเหรอ หรือมีเรื่องเครียดอะไร" ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนพี่เนยสะกิด "ใจลอยไปถึงไหนเนี่ย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าหรือเจอเพื่อนร่วมงานขี้นินทาอีกแล้ว" พี่เนยถามดูเป็นห่วงจริง ๆ คงกลัวว่าฉันจะลาออกแหง ๆ
"เปล่าค่ะ แพมแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย"
"ก็เลยใจลอยหาพี่ซัน" พี่แซนพูดแทรก ฉันรีบหันไปค้อนเพื่อนรุ่นพี่จะแซ็วอะไรนักหนาก็บอกไม่ได้คิดอะไร "คิดถึงพี่ซันล่ะซี้ ทำไมไม่บอกพี่จะได้ชวนเขามาด้วย จริง ๆ เขาว่างนะวันนี้" พี่แซนยิ้มเจ้าเล่ห์สายตาแพรวพราวเหลือร้าย นึกหวั่นแทนมาร์คัสที่จะต้องรับมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างพี่แซน ผู้ชายที่อบอุ่นอ่อนโยนจะสู้แม่เสือสาวได้หรือ
"เออนั่นดิแพม เรื่องที่พี่เนยกับพี่แซนบอกว่าแกปลื้มพี่ซันเป็นความจริงใช่มั้ย เดือนก่อนโน้นน่ะแกตั้งใจไปเจอพี่ซันที่บ้านแล้วแกล้งบอกไปหาพี่แซน จากนั้นก็หลอกนั่งรถกับพี่ซันเพื่อให้ไปส่งหาพี่เนยจริง ๆ ใช่มั้ย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่แกบอกพี่ ๆ" ฉันทึ่งกับข้อมูลที่ไอ้เต้ยได้รู้มามันถูกเผ๋งเลยล่ะ ก่อนจะหันไปทำสายตาค้อนคาดโทษให้กับพี่สาวทางสังคมทั้งสองคน ทั้งสองทำหน้าตากวน ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ได้น่าหมั่นไส้มาก
"ไม่ใช่เว้ย พี่แซนกับพี่เนยก็พูดเว่อไป" ได้แต่แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แบบเขิน ๆ นี่ถ้าแฝดคนละฝาคู่นี้รู้ว่าฉันหลอกให้พี่ซันพาขับรถอ้อมกรุงเทพฯ เพื่อที่อยากอยู่กับเขานาน ๆ จะโดนล้อโดนแซ็วขนาดไหน คิดแล้วก็ขยาด
"หรา..." ทั้งสามคนพร้อมใจกันประสานเสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงยกเว้นหนุ่มฝรั่งผิวสีที่เอาแต่นั่งยิ้มเจื่อน ๆ เพราะฟังภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
"นี่ทุกคนคะอย่ามัวแต่สนใจเรื่องของแพมกันนักเลย นี่สนใจคนนี้เขาบ้างเนอะเฮีย ปล่อยให้เฮียคัสนั่งยิ้มเหงือกแห้งอยู่นั่น" ฉันเบี่ยงเบนประเด็นไปหามาร์คัสเพื่อที่ทุกคนจะได้เลิกสนใจเรื่องของฉันเสียที "พี่แซนเทคแคร์แฟนหน่อย"
"ที่รักจะกินอะไรบอกเค้าเลยนะ เดี๋ยวเค้าสั่งให้" คราวนี้พี่แซนหันไปเอาใจคุณแฟนถามเป็นภาษาอังกฤษ
มาร์คัสเองก็ดูเป็นผู้ชายหน้าดุนิ่งขรึมแต่อ่อนโยนกับพี่แซนเสมอเท่าที่ฉันสังเกตมานานหลายปีพอ ๆ กับระยะเวลาที่ทั้งสองคนคบกัน จะหาผู้ชายแบบมาร์คัสได้ที่ไหน ไม่เหมือนอีกคนที่หน้าโหดแล้วยังไม่มีความอ่อนโยนอีก จะแข็งกระด้างไปถึงไหนสมแล้วที่โดนนางงามจักรวาลทิ้งหันไปคว้าหนุ่มนักธุรกิจชาวสเปนแทน
"แพมให้พี่โทรตามพี่ซันให้มั้ย" แนะ... ยังมิวายวกมาล้อฉันได้อีก จะเล่นงานฉันจนน่วมให้ได้เลยสินะ
"ม่าย ๆ ไม่ต้องเดี๋ยวมาแล้วกินไม่อร่อย" ฉันรีบปฏิเสธแม้ในใจจะคิดเป็นอีกอย่าง
"ถึงชวนพี่ซันก็ไม่มาหรอก เขางานยุ่ง ทุกลมหายใจเข้าออกเป็นงานหมด ยกเว้นก็ตอนนอนเท่านั้นแหละที่พี่ซันจะวางงานในมือลง" พี่แซนพูดถึงพี่ชายตัวเอง
ฉันนึกเป็นห่วงพี่ซันขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่รู้ว่าในฐานะอะไร ในฐานะเพื่อนของน้องสาวก็แล้วกัน "เพราะเรื่องผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ พี่ซันยังลืมเขาไม่ได้" ฉันอ้อมแอ้มถาม
พี่แซนพยักหน้า "ถึงพี่ซันเขาจะไม่เคยพูดถึง แต่การที่เขาหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องงานพี่ก็รู้ว่าเขายังลืมแฟนเก่าไม่ได้ ก็เลยเอางานเข้าสู้"
"น่าสงสารเนอะ อี่เตยอยากเจอคนหล่อ ๆ เพอร์เฟคอย่างพี่ซันจังจะดูแลรักษาไม่ให้หลุดมือไปเลย" ไอ้เต้ยกำลังฝันหวานอยู่แน่ ๆ
ฉันหันขวับไปจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อน ใบหน้าเกลี้งเกลาที่ไม่มีเคล้าแห่งความเป็นผู้หญิงเลยนอกเสียจากหัวใจของมัน "เต้ย...แกก็มีคุณฮาร์ชอยู่แล้วไงเพื่อน แกยังจะฝันถึงคนอื่นอีกเหรอ"
"แนะ ๆ หวงพี่ซันว่างั้น ฮ่า" พี่เนยได้ทีเล่นงานฉันอย่างไว ตามด้วยคู่หูคู่ซี้เข้าสมทบ ฉันมองเพื่อนซี้สองคนนี้ด้วยสายตาขยาด 'คู่แฝดคนละฝานรกแตก' นี่คือฉายาของสองคนนี้เถอะ ฉันได้แต่ทำตาปริบ ๆ พูดอะไรไม่ออกที่โดนโจมตีตลอดเวลาที่มีช่องว่าง
"เฮียสั่งอันนี้มั้ย ลองดูอร่อย" ฉันไม่อยากสนใจสามคนนี้แล้วหันมาสนใจหนุ่มฝรั่งผิวสีแทน พรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์เพราะฉะนั้นพวกเราจะสิงอยู่ที่นี่จนร้านปิด
"เออพวกเราวันหยุดเราไปเที่ยวกันมั้ย หาวันหยุดให้ตรงกันเราไปเกาะกูดกันนะ ๆ" พี่แซนเอ่ยชวน "คือเดือนหน้ามาร์คัสจะกลับประเทศแล้ว พี่เลยอยากใช้เวลากับมาร์คัสเขาน่ะ ครั้นจะไปกันตามลำพังสองต่อสองคุณพ่อคุณแม่พี่ต้องไม่อนุญาตแน่ ไหนจะอี่ตาพี่ชายอีก พี่ซันต้องไม่ยอมให้พี่ไปแน่ ถ้าที่บ้านพี่รู้ว่ามีพวกแกไปด้วยพี่ก็จะได้ไป" พี่แซนพูดราวขอร้องอ้อนวอน
"จะให้พวกฉันไปเป็นไม้กันหมา เอ้ย รับหน้าแทนว่างั้น" พี่เนยรู้ทันและคนโดนรู้ทันผงกศีรษะยอมรับ
"จะพาไปดีมั้ยนะ เมื่อกี้โดนเล่นงานจนน่วม" ฉันได้ทีเอาคืนบ้าง
"โหย...แพมน้องรัก แพมคนสวยพาพี่แซนกับมาร์คัสไปพอดรักกันหน่อยนะ" คนทะเล้นหลับตาปริบ ๆ "จะตบรางวัลให้เป็นอย่างงามนั่นคือพี่ซันนะ ๆ ว่าที่พี่สะใภ้" นั่น! กะจะเล่นงานเขากลับโดนเขาเล่นงานคืน
"เนี่ยยิ่งไม่สมควรพาไป" ฉันค่อนขอด โดนทุกคนรุมกินโต๊ะอีกจนได้ "ก็ได้ ๆ ยอมพาไปก็ได้เพื่อเฮียคัสคนเดียวเลยนะเนี่ย ไม่ได้เพื่อพี่แซนเลย"
"เพื่อเฮียหรือเพื่อพี่ซัน" ไอ้เต้ยกวนอีกแล้ว
"ก็เฮียสิแก! จะเพื่อเขาทำไม เขาเกี่ยวอะไรด้วย" ฉันพูดเขิน ๆ อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้พวกนี้แซ็วอยู่นั่น แค่บอกว่าปลื้มต้องขนาดนี้เลย
"ก็พี่แซนบอกอยู่เมื่อกี้จะให้รางวัลเป็นพี่ซันไง รีบรับปากเชียวนะ"
"อี่เตย!" ฉันค่อนขอดแต่โดนทั้งสามคนหัวเราะกลับมา จะไม่พูดอะไรแล้วทั้งนั้นคืนนี้ฉันจะนั่งเงียบ ๆ ตลอดทั้งคืนเลย พูดอะไรออกไปแล้วรู้สึกจะเข้าตัวเองหมด
"ขอบคุณนะ" พี่แซนหยิกปลายคางของฉันเบา ๆ ด้วยความดีใจ "มาพวกเราฉลองให้น้องมันหน่อย อุตส่าห์สัมภาษณ์งานผ่านล่ะ ไม่ต้องว่างงานอีกไปแล้วแล้ว...ชน"
.....
"แพมบ่ายนี้มีสัมภาษณ์นักธุรกิจนะ แพมต้องไปสัมภาษณ์เขา" วันจันทร์เปิดงานมาพี่สุนิสาก็บอกข่าวร้ายกับฉันเลย ตั้งแต่มาทำงานได้เดือนกว่า ๆ นี่คือการออกภาคสนามวันแรก ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจงั้นหรือ ต้องทำยังไงเล่า ฉันหัวใจเต้นโครมครามจนจะหลุดออกมาจากอกแล้ว
"บะ...บ่ายนี้เหรอคะ" ฉันยังไม่พร้อมที่จะลงสนามเลยน่ะสิ ยังไม่พร้อมเลย แม่เจ้าโว้ยให้ตายเถอะ ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกมันแสดงผ่านทางสีหน้าของฉันได้เด่นชัดแค่ไหนถ้าพี่สุนิสาไม่ทักท้วง
"เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับคนอยากเข้าห้องน้ำอย่างงั้นแหนะ" พี่เลี้ยงสอนงานหน้าบึ้งใส่ "ไม่ต้องกลัวเราไม่ได้ไปคนเดียวพี่จะพาเราไป แต่เราต้องเป็นคนไปสัมภาษณ์เขาเอง" มันช่วยให้ฉันคลายกังวลได้ที่ไหนยิ่งเครียดกว่าเดิมอีก
"เปลี่ยนจากให้แพมพาพี่ไปได้มั้ยคะแล้วให้พี่ไปสัมภาษณ์เขาแทน"
"ไม่ได้ งานนี้มันงานของแพม เขียนสคริปให้ดี ๆ ล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม ถ้างานนี้ผ่านก็ถือว่าแพมผ่านการทดลองงานไปอีกขั้น และนี่ก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายถ้าแพมคิดอยากจะทำงานเป็นผู้สื่อข่าว เราจะต้องได้ไปทำข่าวหรือสัมภาษณ์คนดังอยู่บ่อย ๆ"
"ก็ได้ค่ะ" ฉันยอมรับด้วยความจำนนต่อเหตุผล
"สู้ ๆ น้อง ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่เกิด มันต้องฝึกฝนและทำบ่อย ๆ เดียวก็ชินเอง แต่วันนี้เราจะไปสัมภาษณ์นักธุรกิจไฟแรงที่เพิ่งจบมาจากเมืองนอกหมาด ๆ คนนี้วงในเขาบอกเป็นคนใจร้อน ดุ เนี้ยบ เพราะฉะนั้นแล้วแพมต้องเตรียมความพร้อมให้ดีและละเอียดรอบคอบ เวลาของคนพวกนี้เป็นเงินเป็นทอง เขาคิดว่าเขาเจียดเวลาให้เราอย่าทำให้เขาไม่พอใจหรือโกรธ คนใจดีก็ใจดีไป แต่คนที่มองคนไม่เท่ากันเขาด่าเราเสียหมาเลย เพราะเขาคิดว่าเขาสูงส่งกว่า เวลาเขามีค่า เผลอ ๆ ถ้าทำให้เขาไม่พอใจแพมอ่านจะไม่ผ่านการทดลองงานนะ เพราะฉะนั้นแล้วตั้งใจน้องรัก" พี่สุนิสาสอนยาวเหยียด ฉันได้แต่พยักหน้าเข้าใจแบบมึน ๆ จำได้แต่ว่าต้องรอบคอบและละเอียดเท่านั้นล่ะ
"แสนสรัลผู้ชายอะไรชื่อว๊านหวานแต่ดุและเนี้ยบโคตร ๆ" พี่สุนิสาพูดคล้ายคนใจลอย ฉันว่าชื่อนี้มันคุ้น ๆ มาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหน คุ้น ๆ
"พี่สาแล้วคนที่เราจะไปสัมภาษณ์คือใครคะ บริษัทอะไร"
"บริษัทเครื่องดื่มน่ะ เขาชื่อคุณซัน แสนสรัล ศิริกรโสภณ"
"ฮะ... ใครนะคะ" ฉันอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ ทั้งดีใจทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน ดีใจที่จะได้เจอพี่ซันแต่กลัวรังษีอัมหิตเยือกเย็นของเขาด้วย
"รู้จักเหรอ ก็แน่ล่ะคุ้น ๆ นามสกุลใช่มั้ย นามสกุลเหมือนน้องแซนแต่น้องแซนบอกว่าไม่รู้จักกัน" ถึงบอกแบบนั้นไปใครก็เชื่อเพราะสองคนนี้เป็นพี่น้องที่ห่างกันถึงสิบห้าปี แทบทุกคนจะคิดว่าพี่แซนเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่
"เปล่าค่ะ งั้นแพมขอตัวไปเขียนสคริปก่อนนะคะ" พี่สุนิสาพยักหน้าให้แล้วฉันก็ไปเตรียมตัวด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
....
และแล้วเวลาที่กึ่งรอคอยและไม่ได้รอคอยก็มาถึง ฉันกับพี่สาเราเดินทางมายังบริษัทของพี่ซัน ผู้ติดตามของพี่ซันติดต่อนัดเวลาให้แล้ว พวกเรามาถึงก่อนเวลานัดสามสิบนาที ตอนนี้พี่ซันเข้าประชุมอยู่ผู้ติดตามจึงให้รอที่หน้าห้องทำงานของพี่ซันก่อน ฉันนั่งไม่ติดเลยระส่ำระสายไปหมดผิดกับพี่สุนิสาที่นิ่งเสียยิ่งกว่านิ่งอีก มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้วคนมีประสบการณ์โชกโชนกับคนไร้ประสบการณ์
รักพิทักษ์ใจ (6)
Chalun Ch
บทที่ 6 ลูกเจี๊ยบในกำมือของนายท่าน
และแล้วฉันก็ได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสมใจ ทดลองงานสามเดือนถ้าผ่านก็ได้เป็นพนักงานประจำ แต่ถ้าไม่ผ่าน...ก็นั่นแหละต้องเตรียมตัวหางานที่ใหม่ได้เลย โอกาสเข้ามาอยู่ในมือขนาดนี้แล้วเรื่องอะไรที่ฉันจะปล่อยให้หลุดมือไป
ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้...
ฉันรับตำแหน่งเป็นผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับธุรกิจของคนรวยในประเทศไทย เกี่ยวกับพวกอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย ติดตามพวกนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง มีพี่เลี้ยงสอนงานชื่อพี่สาชื่อจริงแกชื่อสุนิสาตัวอ้วน ๆ ตัน ๆ ใจดี กินเก่ง มีขนมขบเคี้ยวก็แบ่งให้ฉันทานด้วยตลอด เดือนกว่าที่ทำงานอยู่ที่นี่น้ำหนักของฉันแทบจะพุ่งกระฉูด นอกจากฉันที่ได้รับน้ำใจนี้คนอื่น ๆ ยังได้รับน้ำใจจากแกด้วย
ฉันดีใจมากที่ได้งานรอบนี้มีเพื่อนร่วมงานใจดี ไม่ขี้นินทาไม่วางท่าก๋ากั่นเก่าสนาม ไม่เบ่ง ยินดีสอนงานให้อย่างเต็มใจ มันทำให้อยากมาทำงานทุกวันไม่เหมือนที่ทำงานที่เก่าที่ฉันเพิ่งลาออกมา ที่นั่นไม่รู้ว่าเป็นสังคมแบบไหน 'นินทากันเสร็จยิ้มให้กันเฉย'
พออยู่นานไปไม่รู้ล่ะว่าจะเป็นอย่างไรแต่ช่วงฝึกงานทดลองงานอยู่นี่ทุกคนโอเคกับฉันก็พอ ในเมื่อฉันสัมภาษณ์ผ่านและได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าวแล้ว มีหรือฉันจะไม่นัดพี่ ๆ ไปเลี้ยงฉลอง ที่ฉลองล่าช้าก็เพราะฉันเพิ่งจะว่าง ทำงานวันแรกก็งานยุ่งเลย ผ่านไปเป็นเดือนฉันถึงได้มีเวลานัดเพื่อนนัดพี่ปาร์ตี้
เรานัดฉลองความสำเร็จอีกขั้นของฉันที่ร้านเดิม คราวนี้มีสมาชิกมาเพิ่มเป็นแขกหน้าเก่าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีมาด้วย นอกจากฉันไอ้เต้ยพี่เนยและก็พี่แซนแล้วยังมีมาร์คัสตามมาด้วย ไอ้เต้ยมีหวังละลายกลายเป็นน้ำลงตรงนี้แน่นึกแล้วก็สยองแทนมาร์คัส
นานเหมือนกันตั้งแต่คราวก่อนที่พวกเรามาฉลองให้กับฉันที่มีบริษัทโทรมานัดสัมภาษณ์งาน ก็ตั้งแต่เดือนก่อนโน้น รอบนี้พวกเรากลับมาอีกครั้งเพราะฉันสัมภาษณ์ผ่านได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าว และพวกเราจะกลับมาอีกครั้งในวันที่ฉันผ่านการทดลองงานได้เป็นพนักงานประจำ
ที่มาครั้งนั้นมีแขกหน้าใหม่กิ๊กตามมาด้วย ผู้ชายหน้านิ่งหล่อมาดเท่ดีกรีนักเรียนนอก แถมยังเป็นนักธุรกิจไฟแรงเสียด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้ค้นพบผู้ชายในฝันในสเปกของตัวเอง 'ฝันสูงชะมัด' แต่คนเราก็ต้องฝันให้ไกลไปให้ถึงไหม...
มีแค่วันนั้นวันเดียวที่ฉันเห็นพี่ซันแต่งตัวสบาย ๆ นอกนั้นเขาแต่งตัวเนี้ยบใส่สูทผูกไทด์ทุกวันดูน่าเกรงขามย่ำเกรง แม้แต่พี่แซนก็ไม่กล้าแหย่หนวดเสือ พี่แซนเล่าให้ฉันฟังว่าปกติพี่ซันเป็นคนนิ่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไรยิ่งมาถูกหักอกยิ่งนิ่งเงียบเข้าไปอีกแทบจะไม่ยิ้มให้ใครเลย
ฉันเจอกับเขาครั้งล่าสุดก็ตอนที่พาพี่แซนไปเซอร์ไพรส์วันเกิดให้มาร์คัสแล้วขากลับเขาขับรถไปส่งฉันที่บ้าน หลังจากวันนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้เจออีก ภาพวันวานที่เราเจอกันครั้งแรกที่นี่ในร้านนี้มันยังวนเวียนฉายชัดในหัวมิรู้จบ แค่เพียงไม่กี่นาทีที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ยาวนานแสนนานในความรู้สึก อดนึกถึงใบหน้าเข้มที่เอาแต่นั่งเงียบไม่ได้เลย
"แพมแกเป็นอะไร ไม่สนุกเหรอ หรือมีเรื่องเครียดอะไร" ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนพี่เนยสะกิด "ใจลอยไปถึงไหนเนี่ย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าหรือเจอเพื่อนร่วมงานขี้นินทาอีกแล้ว" พี่เนยถามดูเป็นห่วงจริง ๆ คงกลัวว่าฉันจะลาออกแหง ๆ
"เปล่าค่ะ แพมแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย"
"ก็เลยใจลอยหาพี่ซัน" พี่แซนพูดแทรก ฉันรีบหันไปค้อนเพื่อนรุ่นพี่จะแซ็วอะไรนักหนาก็บอกไม่ได้คิดอะไร "คิดถึงพี่ซันล่ะซี้ ทำไมไม่บอกพี่จะได้ชวนเขามาด้วย จริง ๆ เขาว่างนะวันนี้" พี่แซนยิ้มเจ้าเล่ห์สายตาแพรวพราวเหลือร้าย นึกหวั่นแทนมาร์คัสที่จะต้องรับมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างพี่แซน ผู้ชายที่อบอุ่นอ่อนโยนจะสู้แม่เสือสาวได้หรือ
"เออนั่นดิแพม เรื่องที่พี่เนยกับพี่แซนบอกว่าแกปลื้มพี่ซันเป็นความจริงใช่มั้ย เดือนก่อนโน้นน่ะแกตั้งใจไปเจอพี่ซันที่บ้านแล้วแกล้งบอกไปหาพี่แซน จากนั้นก็หลอกนั่งรถกับพี่ซันเพื่อให้ไปส่งหาพี่เนยจริง ๆ ใช่มั้ย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่แกบอกพี่ ๆ" ฉันทึ่งกับข้อมูลที่ไอ้เต้ยได้รู้มามันถูกเผ๋งเลยล่ะ ก่อนจะหันไปทำสายตาค้อนคาดโทษให้กับพี่สาวทางสังคมทั้งสองคน ทั้งสองทำหน้าตากวน ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ได้น่าหมั่นไส้มาก
"ไม่ใช่เว้ย พี่แซนกับพี่เนยก็พูดเว่อไป" ได้แต่แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แบบเขิน ๆ นี่ถ้าแฝดคนละฝาคู่นี้รู้ว่าฉันหลอกให้พี่ซันพาขับรถอ้อมกรุงเทพฯ เพื่อที่อยากอยู่กับเขานาน ๆ จะโดนล้อโดนแซ็วขนาดไหน คิดแล้วก็ขยาด
"หรา..." ทั้งสามคนพร้อมใจกันประสานเสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงยกเว้นหนุ่มฝรั่งผิวสีที่เอาแต่นั่งยิ้มเจื่อน ๆ เพราะฟังภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
"นี่ทุกคนคะอย่ามัวแต่สนใจเรื่องของแพมกันนักเลย นี่สนใจคนนี้เขาบ้างเนอะเฮีย ปล่อยให้เฮียคัสนั่งยิ้มเหงือกแห้งอยู่นั่น" ฉันเบี่ยงเบนประเด็นไปหามาร์คัสเพื่อที่ทุกคนจะได้เลิกสนใจเรื่องของฉันเสียที "พี่แซนเทคแคร์แฟนหน่อย"
"ที่รักจะกินอะไรบอกเค้าเลยนะ เดี๋ยวเค้าสั่งให้" คราวนี้พี่แซนหันไปเอาใจคุณแฟนถามเป็นภาษาอังกฤษ
มาร์คัสเองก็ดูเป็นผู้ชายหน้าดุนิ่งขรึมแต่อ่อนโยนกับพี่แซนเสมอเท่าที่ฉันสังเกตมานานหลายปีพอ ๆ กับระยะเวลาที่ทั้งสองคนคบกัน จะหาผู้ชายแบบมาร์คัสได้ที่ไหน ไม่เหมือนอีกคนที่หน้าโหดแล้วยังไม่มีความอ่อนโยนอีก จะแข็งกระด้างไปถึงไหนสมแล้วที่โดนนางงามจักรวาลทิ้งหันไปคว้าหนุ่มนักธุรกิจชาวสเปนแทน
"แพมให้พี่โทรตามพี่ซันให้มั้ย" แนะ... ยังมิวายวกมาล้อฉันได้อีก จะเล่นงานฉันจนน่วมให้ได้เลยสินะ
"ม่าย ๆ ไม่ต้องเดี๋ยวมาแล้วกินไม่อร่อย" ฉันรีบปฏิเสธแม้ในใจจะคิดเป็นอีกอย่าง
"ถึงชวนพี่ซันก็ไม่มาหรอก เขางานยุ่ง ทุกลมหายใจเข้าออกเป็นงานหมด ยกเว้นก็ตอนนอนเท่านั้นแหละที่พี่ซันจะวางงานในมือลง" พี่แซนพูดถึงพี่ชายตัวเอง
ฉันนึกเป็นห่วงพี่ซันขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่รู้ว่าในฐานะอะไร ในฐานะเพื่อนของน้องสาวก็แล้วกัน "เพราะเรื่องผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ พี่ซันยังลืมเขาไม่ได้" ฉันอ้อมแอ้มถาม
พี่แซนพยักหน้า "ถึงพี่ซันเขาจะไม่เคยพูดถึง แต่การที่เขาหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องงานพี่ก็รู้ว่าเขายังลืมแฟนเก่าไม่ได้ ก็เลยเอางานเข้าสู้"
"น่าสงสารเนอะ อี่เตยอยากเจอคนหล่อ ๆ เพอร์เฟคอย่างพี่ซันจังจะดูแลรักษาไม่ให้หลุดมือไปเลย" ไอ้เต้ยกำลังฝันหวานอยู่แน่ ๆ
ฉันหันขวับไปจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อน ใบหน้าเกลี้งเกลาที่ไม่มีเคล้าแห่งความเป็นผู้หญิงเลยนอกเสียจากหัวใจของมัน "เต้ย...แกก็มีคุณฮาร์ชอยู่แล้วไงเพื่อน แกยังจะฝันถึงคนอื่นอีกเหรอ"
"แนะ ๆ หวงพี่ซันว่างั้น ฮ่า" พี่เนยได้ทีเล่นงานฉันอย่างไว ตามด้วยคู่หูคู่ซี้เข้าสมทบ ฉันมองเพื่อนซี้สองคนนี้ด้วยสายตาขยาด 'คู่แฝดคนละฝานรกแตก' นี่คือฉายาของสองคนนี้เถอะ ฉันได้แต่ทำตาปริบ ๆ พูดอะไรไม่ออกที่โดนโจมตีตลอดเวลาที่มีช่องว่าง
"เฮียสั่งอันนี้มั้ย ลองดูอร่อย" ฉันไม่อยากสนใจสามคนนี้แล้วหันมาสนใจหนุ่มฝรั่งผิวสีแทน พรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์เพราะฉะนั้นพวกเราจะสิงอยู่ที่นี่จนร้านปิด
"เออพวกเราวันหยุดเราไปเที่ยวกันมั้ย หาวันหยุดให้ตรงกันเราไปเกาะกูดกันนะ ๆ" พี่แซนเอ่ยชวน "คือเดือนหน้ามาร์คัสจะกลับประเทศแล้ว พี่เลยอยากใช้เวลากับมาร์คัสเขาน่ะ ครั้นจะไปกันตามลำพังสองต่อสองคุณพ่อคุณแม่พี่ต้องไม่อนุญาตแน่ ไหนจะอี่ตาพี่ชายอีก พี่ซันต้องไม่ยอมให้พี่ไปแน่ ถ้าที่บ้านพี่รู้ว่ามีพวกแกไปด้วยพี่ก็จะได้ไป" พี่แซนพูดราวขอร้องอ้อนวอน
"จะให้พวกฉันไปเป็นไม้กันหมา เอ้ย รับหน้าแทนว่างั้น" พี่เนยรู้ทันและคนโดนรู้ทันผงกศีรษะยอมรับ
"จะพาไปดีมั้ยนะ เมื่อกี้โดนเล่นงานจนน่วม" ฉันได้ทีเอาคืนบ้าง
"โหย...แพมน้องรัก แพมคนสวยพาพี่แซนกับมาร์คัสไปพอดรักกันหน่อยนะ" คนทะเล้นหลับตาปริบ ๆ "จะตบรางวัลให้เป็นอย่างงามนั่นคือพี่ซันนะ ๆ ว่าที่พี่สะใภ้" นั่น! กะจะเล่นงานเขากลับโดนเขาเล่นงานคืน
"เนี่ยยิ่งไม่สมควรพาไป" ฉันค่อนขอด โดนทุกคนรุมกินโต๊ะอีกจนได้ "ก็ได้ ๆ ยอมพาไปก็ได้เพื่อเฮียคัสคนเดียวเลยนะเนี่ย ไม่ได้เพื่อพี่แซนเลย"
"เพื่อเฮียหรือเพื่อพี่ซัน" ไอ้เต้ยกวนอีกแล้ว
"ก็เฮียสิแก! จะเพื่อเขาทำไม เขาเกี่ยวอะไรด้วย" ฉันพูดเขิน ๆ อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้พวกนี้แซ็วอยู่นั่น แค่บอกว่าปลื้มต้องขนาดนี้เลย
"ก็พี่แซนบอกอยู่เมื่อกี้จะให้รางวัลเป็นพี่ซันไง รีบรับปากเชียวนะ"
"อี่เตย!" ฉันค่อนขอดแต่โดนทั้งสามคนหัวเราะกลับมา จะไม่พูดอะไรแล้วทั้งนั้นคืนนี้ฉันจะนั่งเงียบ ๆ ตลอดทั้งคืนเลย พูดอะไรออกไปแล้วรู้สึกจะเข้าตัวเองหมด
"ขอบคุณนะ" พี่แซนหยิกปลายคางของฉันเบา ๆ ด้วยความดีใจ "มาพวกเราฉลองให้น้องมันหน่อย อุตส่าห์สัมภาษณ์งานผ่านล่ะ ไม่ต้องว่างงานอีกไปแล้วแล้ว...ชน"
.....
"แพมบ่ายนี้มีสัมภาษณ์นักธุรกิจนะ แพมต้องไปสัมภาษณ์เขา" วันจันทร์เปิดงานมาพี่สุนิสาก็บอกข่าวร้ายกับฉันเลย ตั้งแต่มาทำงานได้เดือนกว่า ๆ นี่คือการออกภาคสนามวันแรก ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจงั้นหรือ ต้องทำยังไงเล่า ฉันหัวใจเต้นโครมครามจนจะหลุดออกมาจากอกแล้ว
"บะ...บ่ายนี้เหรอคะ" ฉันยังไม่พร้อมที่จะลงสนามเลยน่ะสิ ยังไม่พร้อมเลย แม่เจ้าโว้ยให้ตายเถอะ ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกมันแสดงผ่านทางสีหน้าของฉันได้เด่นชัดแค่ไหนถ้าพี่สุนิสาไม่ทักท้วง
"เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับคนอยากเข้าห้องน้ำอย่างงั้นแหนะ" พี่เลี้ยงสอนงานหน้าบึ้งใส่ "ไม่ต้องกลัวเราไม่ได้ไปคนเดียวพี่จะพาเราไป แต่เราต้องเป็นคนไปสัมภาษณ์เขาเอง" มันช่วยให้ฉันคลายกังวลได้ที่ไหนยิ่งเครียดกว่าเดิมอีก
"เปลี่ยนจากให้แพมพาพี่ไปได้มั้ยคะแล้วให้พี่ไปสัมภาษณ์เขาแทน"
"ไม่ได้ งานนี้มันงานของแพม เขียนสคริปให้ดี ๆ ล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม ถ้างานนี้ผ่านก็ถือว่าแพมผ่านการทดลองงานไปอีกขั้น และนี่ก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายถ้าแพมคิดอยากจะทำงานเป็นผู้สื่อข่าว เราจะต้องได้ไปทำข่าวหรือสัมภาษณ์คนดังอยู่บ่อย ๆ"
"ก็ได้ค่ะ" ฉันยอมรับด้วยความจำนนต่อเหตุผล
"สู้ ๆ น้อง ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่เกิด มันต้องฝึกฝนและทำบ่อย ๆ เดียวก็ชินเอง แต่วันนี้เราจะไปสัมภาษณ์นักธุรกิจไฟแรงที่เพิ่งจบมาจากเมืองนอกหมาด ๆ คนนี้วงในเขาบอกเป็นคนใจร้อน ดุ เนี้ยบ เพราะฉะนั้นแล้วแพมต้องเตรียมความพร้อมให้ดีและละเอียดรอบคอบ เวลาของคนพวกนี้เป็นเงินเป็นทอง เขาคิดว่าเขาเจียดเวลาให้เราอย่าทำให้เขาไม่พอใจหรือโกรธ คนใจดีก็ใจดีไป แต่คนที่มองคนไม่เท่ากันเขาด่าเราเสียหมาเลย เพราะเขาคิดว่าเขาสูงส่งกว่า เวลาเขามีค่า เผลอ ๆ ถ้าทำให้เขาไม่พอใจแพมอ่านจะไม่ผ่านการทดลองงานนะ เพราะฉะนั้นแล้วตั้งใจน้องรัก" พี่สุนิสาสอนยาวเหยียด ฉันได้แต่พยักหน้าเข้าใจแบบมึน ๆ จำได้แต่ว่าต้องรอบคอบและละเอียดเท่านั้นล่ะ
"แสนสรัลผู้ชายอะไรชื่อว๊านหวานแต่ดุและเนี้ยบโคตร ๆ" พี่สุนิสาพูดคล้ายคนใจลอย ฉันว่าชื่อนี้มันคุ้น ๆ มาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหน คุ้น ๆ
"พี่สาแล้วคนที่เราจะไปสัมภาษณ์คือใครคะ บริษัทอะไร"
"บริษัทเครื่องดื่มน่ะ เขาชื่อคุณซัน แสนสรัล ศิริกรโสภณ"
"ฮะ... ใครนะคะ" ฉันอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ ทั้งดีใจทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน ดีใจที่จะได้เจอพี่ซันแต่กลัวรังษีอัมหิตเยือกเย็นของเขาด้วย
"รู้จักเหรอ ก็แน่ล่ะคุ้น ๆ นามสกุลใช่มั้ย นามสกุลเหมือนน้องแซนแต่น้องแซนบอกว่าไม่รู้จักกัน" ถึงบอกแบบนั้นไปใครก็เชื่อเพราะสองคนนี้เป็นพี่น้องที่ห่างกันถึงสิบห้าปี แทบทุกคนจะคิดว่าพี่แซนเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่
"เปล่าค่ะ งั้นแพมขอตัวไปเขียนสคริปก่อนนะคะ" พี่สุนิสาพยักหน้าให้แล้วฉันก็ไปเตรียมตัวด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
....
และแล้วเวลาที่กึ่งรอคอยและไม่ได้รอคอยก็มาถึง ฉันกับพี่สาเราเดินทางมายังบริษัทของพี่ซัน ผู้ติดตามของพี่ซันติดต่อนัดเวลาให้แล้ว พวกเรามาถึงก่อนเวลานัดสามสิบนาที ตอนนี้พี่ซันเข้าประชุมอยู่ผู้ติดตามจึงให้รอที่หน้าห้องทำงานของพี่ซันก่อน ฉันนั่งไม่ติดเลยระส่ำระสายไปหมดผิดกับพี่สุนิสาที่นิ่งเสียยิ่งกว่านิ่งอีก มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้วคนมีประสบการณ์โชกโชนกับคนไร้ประสบการณ์