รักพิทักษ์ใจ (5)

กระทู้สนทนา


Chalun Ch 


              บทที่ 5 เส้นทางของนักเขียน


เหลืออีกห้าวันจะถึงวันสัมภาษณ์งานระหว่างรอฉันก็ยังหมกตัวอยู่แต่ในห้องเหมือนเดิม ไม่ค่อยออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของฉันตั้งแต่รู้ว่าลูกสาวเพียงคนเดียวกำลังจะได้งานก็สงบปากสงบคำลงไปเยอะ ไม่บ่นเหมือนเดิม

ฉันเปิดเว็บบอร์ดเข้ามาหาอะไรอ่านอีกตามเคย ที่จริงฉันท่องโลกโซเชียลทุกกอย่าง ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจี ดูพวกนี้จนเบื่อหมดแล้ว อย่างสุดท้ายก็คือเว็บบอร์ดนี่ เข้ามาเช็กกระทู้ที่เคยตั้งเอาไว้ว่ามีคนมาให้คำแนะนำอะไรบ้างไหม สำหรับกระทู้แอบรักผู้ชายหน้าโหดมีกูรูผู้รู้รอบเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย อ่านแล้วก็เพลินสนุกดีและยังสามารถนำมาปรับใช้ได้จริง ๆ ในบางส่วน

ฉันเปิดอ่านปัญหาของสังคม ครอบครัว ดูดวง และเรื่องลี้ลับจนเบื่อ จากนั้นจึงเปิดเข้าไปหานิยายอ่านบ้าง มีทั้งเรื่องสั้นและนวนิยายของนักเขียนมากมายให้เลือกอ่าน สมัครเป็นสมาชิกตั้งนานเพิ่งจะเข้ามาในห้องถนนสายวรรณกรรมเป็นครั้งแรก มีอะไรให้อ่านจนจุใจเลย ทำไมนะก่อนหน้านั้นฉันถึงไม่ยอมเปิดเข้ามาอ่านเลย มัวแต่สนใจเรื่องของหัวใจ เรื่องดูดวง และเรื่องของชาวบ้านอยู่ได้ ถนนสายวรรณกรรมมีอะไรที่สร้างสรรค์ให้อ่านมากมาย

ฉันเลือกเรื่องที่คิดว่าน่าอ่านที่สุด อ่านไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เรื่องไหนสนุกก็อ่านต่อ เรื่องไหนไม่สนุกอ่านบทสองบทก็เลิกไป นอกจากจะมีพวกเรื่องสั้น นิยาย และนวนิยายให้เสพสมแล้วยังมีทั้งกลอนหวาน ๆ ไพเราะอีกมากมายให้เพลิดเพลิน 'มันน่าก็อปส่งไปจีบพี่ซันนัก' แต่ทำอย่างนั้นเขาจะหาว่าฉันล้าสมัยไหม แต่ว่าอายุอานามของเขาก็น่าจะร่วมสมัยนะ สมัยที่เขียนกลอนใส่จดหมายส่งจีบกันยังไงล่ะ นึกแล้วก็หัวเราะกับความคิดของตัวเอง ขืนทำอย่างนั้นมีหวังเจอกันอีกคนหน้ายักษ์ได้แยกเขี้ยวใส่แน่ กลอนหวาน ๆ กับผู้ชายหน้ายักษ์น่ะเหรอ ดูขัดกันชะมัด

อ่านไปอ่านมาก็เกิดแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่างในตัวเองขึ้นมา ชักอยากเขียนนิยายขึ้นมาแล้วแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนยังไง ไม่เคยเขียนนิยายมาก่อนเลย เขาวางตัวละครวางพล็อตเรื่องกันยังไงหรือ แค่คิดก็ยากแล้ว แต่ว่าความยากไม่เคยชนะความอยากของฉันได้สักครั้ง เมื่อยากแค่ไหนถ้าฉันอยากทำฉันก็จะทำ เริ่มที่เรื่องสั้นก่อนแล้วกัน แต่จะเขียนเรื่องอะไรล่ะ

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าการเริ่มเป็นนักเขียนถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรก็ให้เริ่มเขียนจากเรื่องราวใกล้ตัวก่อน เขียนเรื่องอี่เต้ยเป็นตุ๊ดแล้วกัน มันคงไม่บังเอิญเข้ามาอ่านหรอก ถึงบังเอิญก็ไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี เพราะตุ๊ดในประเทศไทยมีเป็นร้อยเป็นล้านคน

'ฉันอยากเป็นหญิงของวันเฉลิม'

นี่คือชื่อเรื่องสั้นของฉัน พล็อตก็คือ วันเฉลิมเกิดมาเป็นผู้ชาย แต่มีจิตใจรักสวยรักงามเหมือนผู้หญิง ชอบเล่นแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก ๆ อ่อนโยน แต่งกายสะอาดสะอ้าน ผิดแผกไปกับเพื่อนผู้ชายคนอื่น ๆ วันเฉลิมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะทำตามใจตัวเอง

คนเป็นแม่เข้าใจธรรมชาติของลูกชายแต่คนเป็นพ่อไม่เคยเข้าใจและจะไม่มีวันเข้าใจ วันเฉลิมต้องเป็นผู้ชายแต่งงานมีลูกมีครอบครัวสืบนามสกุลต่อไปเท่านั้น แต่ชายหนุ่มไม่ยอม ลับตาพ่อแม่วันเฉลิมก็แอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง จนในที่สุดคนเป็นพ่อก็จับได้ทุบตีทำโทษวันเฉลิมอย่างหนัก ชายหนุ่มเสียใจจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย

นี่คือดีเทลหรือทรีทเม้นต์พล็อตเรื่องสั้นที่ฉันจะเขียน แบ่งต้นกลางจบของเรื่องไว้อย่างชัดเจน

แต่เฮ้ย!!! เดี๋ยวนะ ไม่ ๆ ฉันจะให้ไอ้เต้ยตายไม่ได้ แม้จะแค่ในเรื่องสั้นก็ตาม แต่โครงเรื่องฉันก็เอามาจากชีวิตมัน พอนึกถึงเพื่อนสนิทเหมือนมีจิตสำนึกโผล่มายังไงยังงั้น มันไม่ใช่เรื่องจริงแต่มันก็เพื่อนของฉันนี่ เอามาจากชีวิตของมัน ต้องเปลี่ยนตอนจบที่มันควรจะแฮ็ปปี้ อย่างน้อยชีวิตจริงของไอ้เต้ยแม้จะจบไม่สวยแต่ในนิยายไอ้เต้ยมันควรจะมีความสุข

ให้พ่อเข้าใจวันเฉลิมดีกว่า มีเหตุการณ์ที่วันเฉลิมต้องพิสูจน์ตัวเองว่า แม้ตัวเป็นชายใจเป็นหญิงเขาก็พาครอบครัวเจริญรุ่งเรืองได้ ดูแลตัวเองและพ่อแม่ได้ สุดท้ายด้วยความดีของลูกสาวในร่างลูกชายคนเป็นพ่อก็ยอมรับในตัวลูกสาวในร่างลูกชายคนนี้ได้... จบบริบูรณ์

ฉันยิ้มกริ่มกับพล็อตเรื่องสั้นของตัวเอง ขอยืมตัวหน่อยนะเต้ย แต่ฉันไม่มีค่าตัวให้แกนะ พอร่างพล็อตเรื่องสั้นแล้วก็ลงมือบรรยาย เขียนเท่าที่ความสามาถของฉันทำได้ แม้จะเขียนไม่สละสลวยอย่างคนอื่นก็ตาม ขอแค่อ่านแล้วเข้าใจในเนื้อหาที่ฉันพยายามจะสื่อถึงก็พอ

เมื่อเขียนจบกำลังจะนำมาตั้งกระทู้ในถนนสายวรรณกรรม ทว่ามีบางอย่างทำให้ฉุกคิด ฉันจะใช้โพร์ไฟล์ '888999' นี่น่ะเหรอมาตั้งกระทู้เขียนนิยาย ถ้ามีนักอ่านมาค้นโพร์ไฟล์ของฉันล่ะ เขาจะไม่ว่าฉันบ้าผู้ชายหรอกหรือ พอคิดแบบนั้นก็ลังเลยังไม่นำเรื่องสั้นที่เขียนเสร็จไปตั้งกระทู้ หรือว่าฉันต้องสมัครล็อกอินใหม่เอาไว้ใช้สำหรับเขียนนิยายและเรื่องสั้นอย่างเดียว

ฉันยิ้มกับความคิดนี้ของตนเองก่อนจะลงมือสมัครเป็นสมาชิกอีกอัน โดยการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน ซึ่งมันสามารถตั้งชื่อเฉพาะโพร์ไฟล์ของเราได้ จะใช้ชื่ออะไรดีนะ และต้องเอาเป็นนามปากกาด้วยอย่างนามปากกาคนอื่น ๆ ในถนนสายวรรณกรรมนั่น นิ่งคิดอยู่นานก็คิดออกโดยหันไปมองเห็นหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ซื้อมาอ่านเมื่อนานมาแล้วมากแต่ยังอ่านไม่จบสักที

นามปากกาของนิยายเล่มนั้นชื่อ 'นลินบุษบัน' ส่วนนามปากกาของฉันมันต้องชื่อ....

'บุษบัน'

นามปากกาของฉันชื่อบุษบัน เอาสั้น ๆ แค่นี้พอ

นั่นล่ะคือนามปากกาของฉันที่จะใช้เขียนนิยายและเรื่องสั้น ส่วนเรื่องส่วนตัวและความรักจะเป็นโพร์ไฟล์ '888999'

รอการยืนยันตัวตนประมาณสามวันถึงจะสามารถใช้ชื่อนั้นได้ ทว่าระหว่างรอก็ยังสามารถตั้งกระทู้ได้ แต่ฉันไม่... ฉันจะรอจนกว่าการยืนยันตัวตนจะสำเร็จ เพราะต้องการมีนามปากกา
.....

"เต้ยฉันอยากเป็นนักเขียน" เวลาเที่ยงหลังทานข้าวกับคุณแม่แล้วฉันจึงส่งไลน์คุยกับไอ้เต้ยครั้นจะคุยไม่ดูเวลาเพื่อนก็ทำงานอยู่ไม่อยากรบกวน ถึงเวลาเที่ยงปุ๊บฉันก็รีบทักหามันปั๊บ

"อะไรของแกนังแพม ไม่อยากเป็นนักข่าวแล้วเหรอ ไหนบอกดีใจที่จะได้เป็นผู้สื่อข่าวอย่างใจฝัน" เต้ยตอบกลับมาอย่างเร็ว เต้ยเองก็ทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวแต่คนละช่องกับที่ฉันจะไปสัมภาษณ์งาน พวกเราจบนิเทศศาสตร์มาก็เหมาะแล้วที่ต้องทำงานสายนี้รวมทั้งสองสาวพี่สาวรหัสของฉันกับไอ้เต้ยด้วย

ฉันจะได้ไปสัมภาษณ์งานกับช่องเดียวกันที่พี่เนยกับพี่แซนทำงานอยู่ พี่เนยเป็นผู้สื่อข่าววสายกีฬา พี่แซนเป็นผู้สื่อข่าวสายบันเทิง ส่วนฉัน... ยังไม่รู้เลยขอแค่สัมภาษณ์ผ่านเสียก่อน

"นักข่าวก็อยากเป็น แต่อยากเป็นนักเขียนด้วย เต้ยฉันต้องทำยังไงวะ เขียนนิยายไม่เป็นเลยแต่อยากเขียนอ่ะ อยากลอง ฉันว่าฉันเขียนได้นะ"

"เขียนได้กับเขียนเป็นมันคนละเรื่องเว้ย... แต่ถ้าแกอยากเป็นนักเขียนจริง ๆ นะมันก็พอมีวิธีฝึกฝน แกต้องหัดเขียนทุกวัน สำคัญคือแกต้องหัดเป็นนักอ่านด้วย เพื่อจะได้รู้คำศัพท์และมีคลังคำมากมายในการใช้เขียน แกต้องออกไปเที่ยวบ้างเพื่อจะได้มีอะไรใหม่ ๆ เขียน สำคัญคือแกต้องอ่านเยอะ ๆ ศึกษาว่านักเขียนเก่ง ๆ ดัง ๆ เขาเขียนและบรรยายยังไง" เต้ยพิมพ์ตอบกลับมายาวเหยียด ฉันสงสัยว่าทำไมเพื่อนรู้ดีจังอย่างกับนักเขียนมาตอบเอง

"ทำไมแกรู้ดีจัง อย่าบอกนะว่าแกเป็นนักเขียนปลอมตัวมาตอบฉัน ฮ่า" ฉันอดแซ็วเต้ยไม่ได้จริง ๆ อย่างถ้าไอ้เต้ยเป็นนักเขียนฉันก็เป็นบรรณาธิการแล้ว

"ฉันไม่ได้เป็นนักเขียน และฉันก็ไม่ชอบอ่านชอบเขียนด้วย แต่ฉันก็พอรู้ว่าของพวกนี้มันต้องทำยังไง"

"งั้นเลิกงานแกพาฉันไปร้านหนังสือหน่อยนะ... ฉันอยากหานิยายมาอ่าน ฉันอยากเป็นนักเขียนจริง ๆ อยากลองเขียนนิยายขายสักเรื่องว่าลายมือจะโอเคมั้ย นะ ๆ" ตอนนี้องค์เจ้าแม่แพมขี้อ้อนกำลังจะลงมาประทับร่างฉัน

"ไม่ได้ฉันต้องทำโอที ช่วงนี้ร้อนเงิน"

"นะ... วันเดียวเอง พาฉันไปเถอะนะ ฉันไม่อยากไปร้านหนังสือคนเดียว อยากกินชาบูด้วย นะ... นะคุณเตยคนสวยนะ" องค์เจ้าแม่แพมขี้ออเซาะได้ประทับร่างฉันเรียบร้อยแล้ว และเจ้าแม่กำลังทำงานสุดกำลัง

เต้ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพิมพ์ตอบกลับมาทำเอาฉันดีใจแทบกระโดดลงจากเตียงนอน "ก็ได้ย่ะ เห็นแก่ความเป็นเพื่อนสนิทกันมานานนะเนี่ย ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมเสียเงินค่าโอทีหรอก"

"ขอบคุณมาก แกเลิกงานแล้วเจอกัน เตยคนสวย" พอฉันชมแบบนี้ฉันก็แทบจะนึกภาพออกเลยว่าไอ้เต้ยมันจะทำหน้าตาประมาณไหน
....

ภายในร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า ฉันกับเต้ยกำลังเลือกหนังสือนิยายที่จะนำไปอ่านเพื่อเป็นแนวทาง 'เส้นทางของการเป็นนักเขียน' ฉันเลือกนิยายที่ตัวเองชอบอ่านและตั้งใจจะเขียนแนวที่ตัวเองชอบก่อน

"แพมอะไรทำให้แกอยากเป็นนักเขียนขึ้นมา" เต้ยถามฉัน ในมือของเต้ยมีหนังสือนิยายวายอยู่และกำลังกวาดสายตาอ่านเนื้อหาบางส่วนในนั้น เต้ยแต่งตัวในชุดทำงานหล่อเนี้ยบมาก ถ้าไม่สนิทจริง ๆ จะไม่รู้เลยว่าเต้ยไม่ชอบผู้ชาย และเต้ยเองก็เคยมีแฟนมาแล้วทั้งชายและหญิง สุดท้ายสิ่งที่ลงตัวที่สุดก็คือผู้ชาย

เต้ยค้นพบตัวเองว่าเวลาได้อยู่กับแฟนที่เป็นผู้ชายมีความสุขมากกว่า และเต้ยก็เลือกคบผู้ชายมาโดยตลอด ที่ต้องทำอย่างนี้แอ็บแมนเพราะเต้ยกลัวคนใกล้ชิดจะบังเอิญมาเห็นแล้วนำไปฟ้องครอบครัว ต้องระวังตัวเองตลอดเวลาถ้าออกมาพื้นที่สาธารณะอย่างนี้ เต้ยไม่อยากให้พ่อต้องอกแตกตายไปตอนนี้

"ฉันก็อ่านนิยายในเว็บบอร์ดมา อ่านไปอ่านมาก็ชักอยากเขียนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก อยากลองดูว่าฉันจะสามารถเขียนนิยายได้มั้ย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี ก็เลยชวนแกมาร้านหนังสือนี่แหละ" ฉันบอกไปตามตรง ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าฉันอยากเขียน อยากลองเขียน

"งั้นแกก็จัดเลย แกควรจะเขียนนิยายเรื่องยาวก่อนเขียนเรื่องสั้นนะ ฝึกไปเรื่อย ๆ จนคล่องและชำนาญแล้วค่อยมาเขียนเรื่องสั้น เรื่องสั้นน่ะง่ายนิดเดียวถ้าแกเขียนนิยายเป็นแล้ว"

ฉันปรายตามองคนแนะนำเป็นคุ้งเป็นแคว "เต้ย ถ้าแกโกหกว่าแกเป็นนักเขียนฉันก็เชื่อนะเนี่ย" ฉันมองเพื่อนอย่างทึ่ง ๆ ขนาดฉันที่อยากเป็นนักเขียนเองยังไม่รู้ลึกอะไรเท่านี้เลย

เต้ยเขยิบ ๆ ตัวมาหาฉันราวกับว่ากลัวใครจะมาได้ยินความลับระดับโลกอย่างนั้น "ก็แฟนที่ฉันคบอยู่เขาเป็นนักเขียน ฮาร์ชเขาเป็นนักเขียนแนววาย เล่มนี้ของเขา" เต้ยพูดและโชว์หนังสือในมือให้ฉันดู ฉันอ้าปากเหวอทึ่งรอบที่สอง

"เจ๋งว่ะอี่เตย อุ้ย! ไอ้เต้ย" ฉันยกมือขึ้นป้องปากที่หลุดเรียกไอ้เต้ยแบบนั้นไป

ฉันโดนไอ้เต้ยเหวี่ยงค้อนมาให้อย่างแรง "เตยบ้าบออะไรแก เต้ยโว้ย" เต้ยทำเสียงแมน ๆ ดุดัน ฉันแทบหัวเราะน้ำลายพุ่งกับการแอ็บแมนของเพื่อน

"แหมแก... ไม่มีใครมาเห็นหรอก อีกอย่างนะถ้ามีคนมาเห็นสิดีจะได้นำไปฟ้องพ่อแก แกจะได้เป็นตัวของตัวเองสักทีไม่ต้องมาแอ็บให้เมื่อย อีกอย่างเขาก็ระแคะระคายแกอยู่แล้วนี่ ก็ให้เขารู้ความจริงไปเลย จะได้จบ ๆ" ฉันแนะนำด้วยความห่วงใยและหวังดี

"ยังไม่พร้อมตอนนี้ ขอเวลาให้เขาทำใจอีกสักนิด... เออพาฉันพูดเรื่องอะไรเนี่ย เรื่องนิยายก็นั่นแหละ เขาทำแบบนั้น แกก็ทำแบบที่ฉันบอกไปก่อน พอเขียนเป็นเขียนคล่องแล้วค่อยฉีกแนวก็ได้เว้ย สำคัญแกต้องมีนามปากด้วย ว่าแต่... ไหนดูซิหนังสือนิยายที่แกเลือกแนวไหน โห... มีแต่แนวรักโรแมนติกทั้งนั้น"

"ก็ฉันชอบนี่นา อย่างแกไง ชอบนิยายวาย ชายรักชาย" ประโยคท้าย ๆ ฉันล้อเลียนเต้ยก่อนจะทำเป็นเลิกสนใจและดูหนังสือนิยายแนวที่จะอ่านต่อ

เต้ยได้นิยายวายมาห้าเล่มส่วนฉันก็ได้นิยายแนวโรแมนติกมาห้าเล่มเหมือนกัน จากนั้นพวกเราสองคนจึงไปทานชาบูตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้
....

ในร้านชาบูที่อยู่บนชั้นสามของห้างสรรพสินค้าเราสองคนนั่งโต๊ะติดกับผนังร้านซึ่งทำด้วยกระจกใสสามารถมองเห็นภายในห้างเกือบทั้งชั้นได้ มองเห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา และฉันต้องไปสะดุดตาเข้ากับผู้ชายร่างสูงสวมเสื้อสูทแต่งกายเนี้ยบเดินดุ่ม ๆ ไปกับผู้ติดตาม ซึ่งฉันคุ้นหน้าผู้ติดตามคนนั้นเป็นอย่างดีเพราะเคยเจอกันแล้วที่สโมสรกีฬาของมาร์คัส
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่