เรื่องราวเริ่มจาก ผมไปเดินตลาดนัดเมืองทอง ซึ่งไม่ได้ไปนานจดไม่รู้ว่ายังมีอยู่ไหม ผมเดินไปโซนของมือสอง ไปเจอกล้อง SLR ตัวนึงเป็น yashica fx-3 super 2000 ตัวนึง ตอนนั้น คือครั้งแรกที่จับกล้องฟิล์มที่เป็น SLR เพราะเกิดมากล้องที่บ้านใช้ก็จะเป็นกล้อง คอมแพค แบบขึ้นฟิล์มเองแล้ว เพราะกล้องslr จะแพงมากในตอนเด็กๆ พอลองผ่านช่องมองภาพ ลองขึ้นฟิล์มกด มันวัดแสงได้ด้วย และขอซื้อ ก็ จ่ายเงินไปในราคาไม่กี่ร้อย ตอนนั้นน่าจะปี 53 กระแสกล้องLOMO กำลังมา เลยไปหาฟิล์มเน่าที่ตอนนั้นไม่ได้เน่าจริงและแพงมากมาใช้ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะไปหาซื้อฟิล์มได้จากที่ไหน (ตอนหลังมาเจอร้านโฟโตซิตตี้หน้าเซ็นลาด) เข้าเรื่องจริงกันเลย ความรู้สึกแรกคือ ปุ่มหรือตัวหมุนมันมีเท่าที่จำเป็นจริงๆ เราถูกจำกัดด้วยสิ่งที่มี ผลที่ได้คือ นะเวลาที่ไม่เอื้อให้ถ่าย เช่น เคลื่อนที่เร็วๆ แสงน้อยมาก เวลาจำกัด ไม่ต้องถ่าย ไม่ต้องหยิบออกมาเลย คือจะใช้กล้องฟิล์มคือต้องคิดมาแล้ว ต่อให้มีแฟรช ก็ต้องคิดอยู่ดี มันลดการที่เราจะถ่ายออกมาแล้วมานั่งเลือกรูปเป็นร้อยๆรูปได้ดีทีเดียว อีกอย่างคือเรื่องที่เราจะมานั่งลุ้นหลังล้างรูป รูปไหนเสียก็ต้องปรง มันมีเรื่องนึงคือตอนนั้นมได้ฟิล์มหนังเขาให้มา ซึ่งตอนรับก็ถามว่า iso เท่าไหร่ คำตอบที่ได้คือไม่รู้ ตั้งใว้ 50 ละกัน ผลที่ได้คือยังมืดอยู่เลย พลาดยกม้วน 555 ปรงอย่างเดียว แต่ตวามสุขมันเกิดขึ้นได้ยังไงหรอ มันเกิดขึ้นจนที่ตอนนี้ ไม่หากล้องDSLRมาใช้เลยเพราะ อะไรที่ถ่ายทุกวันก็มือถือถ่าย ส่วนวันไหนแบกกล้องไปถ่ายก็ใช้กล้องฟิล์ม เพราะส่วนตัวไม่ได้จะถ่ายอะไรมากมาย อยากถ่ายก็ตอนที่เรารู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ที่ตาเห็น อยากเก็บมันใว้จังเลยยกกล้องมาถ่าย เก็บฟิล์มใว้ข้ามปีค่อยมาล้าง พอรูปออกมา จนเราลืมไปแล้วความทรงจำตอนถ่ายมันก็วิ่งกลับมาทันที เราถ่ายเพราะความสุขทุกรูป ถ่ายโดยที่ไม่ได้หวังว่าจะสวยหรือพิเศษไหม แต่พอล้างออกมา ด้วยที่เราอยากจะเก็บภาพที่ตาเราเห็นจริงๆภาพเดียว มันคือความสุขที่มันกลับมากาเราได้โดยที่ใครก็ไม่สามารถแย่งไปจากเราได้
ตั้งแต่มาจับก้องฟิล์ม ก็รู้สึกว่า มันมีความสบายใจขึ้นมาทันที