สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราเลยค่ะ อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เพราะเราพึ่งเสียน้องหมาสุดที่รัดไปเมื่อวันพฤหัสที่ 22 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมานี้เองค่ะ (ค่อนข้างยาวนิดนึงนะคะ)
ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะคะ เรามีน้องหมาอยู่ 1 ตัวค่ะ ชื่อ "อาชิ" ตอนตั้งไม่ได้คิดความหมายไว้เลย แค่คุยกับแฟนว่าจะตั้งชื่อน้องว่าไรดี แล้วแฟนพูดชื่อนี้ขึ้นมาและเห็นว่าน่ารักดี เลยตกลงตั้งชื่อนี้ค่ะ อาชิเป็นสุนัขพันธ์ไทยผสม (เราคิดว่าอย่างนั้นนะคะ) เพราะเราเก็บน้องมาจากบึงแห่งหนึ่งแถวนิมิตรใหม่ เป็นบึงที่มีแพให้เช่าแบบไปเที่ยว ชิลๆ ซึ่งตอนไปเจอน้องคือเดือนธันวาคม ปี 57 ค่ะ ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเลี้ยงหมาสักตัวนึง แล้วก็ไปเจอน้องวิ่งเล่นกับเพื่อนๆอยู่แถวแพที่ไปพัก มีทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งเราก็วิ่งเข้าไปหา คิดว่าถ้าจับได้ตัวไหนก็เอาตัวนั้น แต่อีก 2 ตัวเค้าวิ่งหนีทันค่ะ เราจับได้แค่อาชิ เพราะไม่วิ่งหนี แถมนั่งหน้าตาเด๋อด๋ามาก 5555 แล้วน้องก็ไม่ดิ้น หรือขัดขืนเลย พอพากลับมาที่แพก็นั่งเรียบร้อย ดีที่เป็นคืนสุดท้ายพอดีที่เรากำลังจะกลับ เลยได้อาบน้ำน้องและพากลับบ้านทันที
จนพามาถึงบ้านวันแรกก็ป่วนเลยค่ะ 6 โมงเช้าร้องหงิงๆ สงสัยจะปวดฉิ้งฉ่อง เรากับแฟนก้พาใส่สายจูงและพาไปหน้าบ้านค่ะ ตอนนั้นบ้านเราเป็นบ้านทาวเฮ้าธรรมดาชั้นเดียว อยู่ในหมู่บ้าน ก็พาน้องเดินทำธุระจนเรียบร้อย จากนั้นมาน้องก็จะรู้เวลาตลอด จนพอน้องเริ่มชิน เราไม่ได้ใส่สายจูง แต่น้องจะกลับบ้านมาตรงเวลาทุกครั้ง และไม่เคยอุนจิหรือฉิ้งฉ่องในบ้านเลย พอผ่านไปประมาณอาทิตย์กว่าๆ เราพาน้องหาหมอครั้งแรก จริงๆอยากพาไปเร็วกว่านั้น แต่ติดงานหามรุ่งหามค่ำ จนสุดท้ายพอได้เจอหมอ คุรหมอก็ฉีดวัคซีน ตรวจโรคให้ปกติ โดยทั่วไปก็แข็งแรงมาก เลยแอบถามหมอว่าน้องน่าจะกี่เดือนแล้วคะ เพราะตอนพาน้องมา เอาน้องใส่หมวกกันน็อคได้เลย คุณหมอบอกว่าน่าจะ 3 เดือนแล้ว เราเลยนับเองว่างั้นน้องน่าจะเกิดช่วงเดือนตุลาคม 57 เพราะพาน้องหาหมดตอนธันวาคม จากนั้นน้องก็อยุ่กับเรามาตลอดค่ะ เป็นเด็กดีมากๆ ฉลาด ไปไหนก็พาไปด้วยจนน้องนั่งมอไซค์เก่ง จนตัวเริ่มโตเต็มที่ (ค่อนข้างใหญ่และหนัก555) แต่เราก็ยังพาน้องไปด้วย และสิ่งที่ทำให้เราคิดว่าน้องเป็นพันธ์ผสม เพราะขนน้องยาวกว่าหมาบ้าน หางเป็นพู่ เวลากระดิกหาง น่ารักมากๆ ขนตรงแผงคอก็ฟูสวย และอีกอย่างคือรู้สึกว่าน้องมีความสูงน้อยกว่าหมาไทยทั่วไป เราเลยคิดเอาเองว่าน่าจะผสมบางแก้วล่ะมั้ง ^^
เดี๋ยวเราข้ามบางส่วนออกให้นะคะ เพราะอาจจะยาวเกินไป แต่ทั้งหมดที่พิมออกมา มันมากจากความทรงจำที่เรามีต่อน้องทั้งนั้นเลยค่ะ คิดถึงมากจริงๆ TT
และอาชิก็อยู่กับเราอย่างมีความสุขมาตลอดค่ะ เราพาน้องไปทำหมันตั้งแต่เด็กๆ เลย เพราะไม่คิดว่าจะให้น้องมีทายาทเพิ่ม และแอบได้ยินมาว่าสุนัขหรือแมวที่ทำหมัน จะอายุจะยืนขึ้น จนผ่านมาได้ประมาณ 4 ปี เราต้องย้ายบ้านจากซอยนึง ไปอีกซอยนึง แต่ยังอยู่ในหมู่บ้านเดิมนะคะ น้องก็ยังแข็งแรงปกติ มีบางรอบที่ลืมนัดคุณหมอไป 2-3 วัน แต่พอนึกขึ้นไปก็รีบพาไปทันที แต่สิ่งนึงที่เราโทษตัวเองมาตลอดเลยคือ น้องไม่ได้ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีค่ะ ซึ่งเราละเลยเองค่ะข้อนี้ยอมรับผิดคิดว่าน้องได้รับวัคซีนครบ และร่างกายที่น้องแสดงออกก้แข็งแรงมาก เลยชะล่าใจไป แต่น้องก็ยังไม่มีอาการอะไรอื่นๆนะคะ
และเราก็อยู่บ้านหลังนั้นมาต่ออีก 4 ปีค่ะ จนเมื่อต้นปี 66 ที่ผ่านมา เราทำเรื่องกู้ซื้อบ้านได้อีกซอยนึง แต่ก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเดิม ก็พากันย้ายสัมโนครัวมาอีกรอบ คราวนี้บ้านหลังนี้ต่อเดิมไว้ค่อนข้างดีมาก รั้วรอบขอบชิด ประตูกระจก น้องเลยจะนอนในส่วนของหน้าบ้านที่ปูกระเบื้อง และเปิดพัดลม 2 ตัวสลับกัน แต่พ่อแม่เราอยู่บ้านตลอดค่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องไฟลัดวงจร น้องก็ปกติดีทุกอย่างมาตลอด แต่จะมีช่วงต้นปีที่สังเกตุว่าน้องเริ่มเบื่ออาการ ไม่เกิน 1-2 วัน แต่สุดท้ายก็กลับมากินปกติ และก็มีอาการอ้วกเป็นน้ำ คือน้องจะไปกินตะไคร้ที่ปลูกไว้ค่ะ แล้วก็อ้วกออกมา เราก้ไม่นิ่งนอนใจนะคะ พาหาหมอ แต่ตอนนั้นหมอไม่ได้เจาะเลือดหรือตรวจอะไรละเอียด ฉีดวิตตามิน เกลือแร่ และให้ยามา พร้อมบอกว่าจมูกยังแฉะอยู่ เหงือกก็ไม่ซีด เราก็เลยพาน้องกลับมาป้อนยา แต่สุดท้ายน้องก็กลับมาเป็นปกติค่ะ แข็งแรงร่าเริง (ลืมบอกในส่วนของอาหาร เราให้เป็นอาหารเม็ดสลับกับไก่ต้มแบบไม่ปรุงนะคะ บางทีก็เป็นปลานึ่งไม่ปรุง กลัวน้องเบื่อค่ะ)
ทุกอย่างก็ดีมากตลอด จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 น้องเริ่มมีอาการเดิมคือไม่กินข้าว (เราจะให้อาหารมื้อเดียวค่ะ เฉพาะมื้อเย็น) เราก็คิดว่าเบื่ออาหารปกติ เพราะยังร่าเริง จนพอวันเสาร์ เราเริ่มเห็นว่าน้องผิดปกติ ดูซึมๆ ไม่กิน ไม่ลุก แต่ ณ เวลานั้นที่เรากลับมาค่อนข้างดึกมากๆ และไม่รู้ว่ามีคลินิคไหนเปิด 24 ชม เลยจะรอพาไปคลินิคประจำตอนเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งพอวันอาทิตย์พอไปถึงคุณหมอ คุณหมอบอกเลยว่าอาการน่าเป็นห่วง จมูกแห้ง ตาขาวแดง เหงือกแห้ง ไม่มีแรง เบื้องต้นหมอกลัวว่าจะติดเชื้อพยาธิเม็ดเลือด เลยเจาะเลือดไปตรวจ ผลออกช่วงค่ำๆ หมอให้เรากลับมาป้อนน้ำยาเกลือเอง และฉีดเหมือนวิตตามินมาให้ 2 เข็ม พร้อมกับนัดมาใหม่พรุ่งนี้ ซึ่งพอกลับมาถึงบ้าน น้องก็ดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เรารีบเอาน้ำเกลือใส่สลิงป้อน (หมอไม่ได้ให้น้ำเกลือนะคะ เค้าบอกให้เอาน้ำเกลือคนท้องเสีย แต่เลือกอันที่มีกลูโคส เราก็พยายามป้อนตลอด จนตกดึกอาการน้องเริ่มไม่สู้ดี โชคดีมากๆที่พี่บ้านตรงข้าม เค้ากลับจากทำงาน เลยแนะนำว่ามีคลินิคที่เปิด 24 ชมอยู่ แต่ไกลบ้านนิดนึง เราก็รีบพาไปทันทีค่ะ ไปถึงคลินิคประมาณเที่ยงคืน ก็รอคิวไปสักพัก น้องยังดูอ่อนแรง แต่ยังรู้สึกตัว และหายใจสม่ำเสมอ คุณหมอให้น้ำเกลือเป็นอย่างแรก และจะขอแอดมิท พร้อมเจาะเลือดไปตรวจรอบสอง (ซึ่งคลินิคแรกส่งมาแจ้งแค่ว่ามีสิทธิ์เป็นพยาธิเม็ดเลือด) เราบอกหมอคลินิคที่ 2 ไป เค้าจึงขอเจาะไปตรวจอีกครั้งเพื่อความชัวร์ สุดท้ายเราก็ให้น้องแอดมิทก่อน แต่ในใจเป็นห่วงมากๆเพราะน้องไม่เคยห่างเราเลยแม้แต่วันเดียว ตั้งแต่ที่รับเค้ามา ซึ่งเราย้ำหมดหลายรอบมากว่าน้องไม่เคยห่างเราเลยนะคะ อาจจะร้องกวนบ้าง เพราะกลัวเค้ารำคาญ แต่หมอก็โอเคค่ะ ดูค่อนข้างเข้าใจ เราก็วางใจได้เปราะนึง เดินไปหาลูกแล้วบอกว่า เดี๋ยวแม่มารับนะลุก หายไวๆนะ แล้วก็กลั้นใจเดินออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงน้องร้องตามนะคะ คงเพราะเพลียมากๆ
จนพอเช้าวันต่อมา เราก็รีบอาบน้ำ แต่งตัวมาทำงาน แต่ใจจดใจจ่อที่จะโทรไปถามอาการน้องมากๆ พอมาถึงที่ทำงานปุ้บก้รีบโทรเลย ซึ่งน่าจะเป็นพยาบาลรับสาย เราก็แจ้งชื่อน้องไป พยาบาลแจ้งกลับมาว่า "ยังน่าเป็นห่วงอยู่นะคะ ไม่ยอมกินอะไรเลย ยังซึมอยู่" เราน้ำตาไหลออกมาเองเลยค่ะ สงสารลูกมาก และผลเลือดก็ออกมายืนยันว่าติดเชื้อพยาธิในเม็ดเลือดแน่อน ซึ่งอาจจะเกิดจากเห็บที่มีเชื้อแล้วมากัดน้อง (แต่เราหาให้น้องตลอดนะคะ และหยอดยาสลับกันฉีดสม่ำเสมอ แต่ก็เข้าใจว่าเราไม่ได้เลี้ยงระบบปิด 100% ยังไงก็เสี่ยง) หมอบอกเลยว่าต้องรักษาประมาณ 1 เดือน ซึ่งค่ารักษา + ค่าฝากต่อวัน ตกลงวันละ 1,100 บาท เราบอกตามตรงว่าเราไม่ไหวค่ะ เพราะอาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ได้ตกวันละ 5-600 บาท เราเลยสอบถามหมอว่า ถ้าเอายาไปป้อนเอง กลับไปรักษาที่บ้านได้ไหม หมอบอกได้นะ อาการยังไม่น่ากลัวขนาดนั้น เราก็เบาใจค่ะ เลยขอเป็นแบบนั้นไปก็ซื้ออาหารเหลวสำหรับหมาป่วยของรอยัล คานิน แป้งโรยกันเห็บ สลิงป้อนอาหาร รวมแล้วเราจ่ายไป 3,700 กว่าๆ ได้ยามากิน 14 วัน และนัดเจาะเลือดใหม่วันที่ 4 กรกฎาคม (ซึ่งอาการของน้องตอนนั้นยังซึม และไม่ค่อยกิน หมอต้องป้อนเพื่อที่จะได้ทานยา กินน้ำเองบ้างบางครั้ง และเกล็ดเลือดที่ปกติ 200,000 เหลือ 160,000 จึงต้องกินยาบำรุงเลือด) สุดท้ายเราเลยได้พาน้องกลับมาบ้าน คุณหมอป้อนข้าว ป้อนยามาให้แล้ว เริ่มเริ่มป้อนวันถัดไปค่ะ ซึ่งวันแรกที่กลับ น้องดูมีการดีใจอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะยังไม่มีแรง เราก็จัดแจงเอาเดทตอลมาถูพื้นให้สะดวก และโรยด้วยแป้งที่ซื้อมา เปิดพัดลมระบายอาการให้น้อง เอาผ้าสะอาดปูรอง น้องก็ดูเหมือนจะดีขึ้น เราก็อยู่กับน้องจนดึก ถึงได้ขึ้นไปนอน พอเช้ามาเรารีบทำธุระตัวเองให้เสร็จเร็วกว่าเดิม เพราะต้องเผื่อเวลาป้อนยาบำรุงเลือด ดีที่ยาตัวนี้ไม่จำเป็นต้องกินหลังอาหารก็ได้ แต่เราก็ป้อนอาหารไปเผื่อ 2 สลิงรองท้อง แล้วป้อนยาตาม น้องก็ขัดขืนนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ยอมให้ป้อน เราก็บอกน้องว่าขอให้หายเร็วๆ เรารีบทำงานจะรีบกลับมา
พอตกเย็นเลิกงานเรารีบกลับบ้านทันที แม่ยังบอกว่าน้องกระดิกหางดีใจตอนได้ยินเสียงรถเรา แต่ไม่มีแรงลุกไปรับอย่างเคย เราก็รีบกลับมาป้อนยาเคลือบกระเพาะ เพราะยานี้ต้องป้อนก่อนกินอาหาร 1 ชม. พอป้อนเสร็จเราก็นั่งเล่น นอนเล่นอยู่ข้างๆนอกตลอดเวลา จนพอถึงเวลากินอาหาร ก็ป้อน และกินยาตามทันที เพราะยาหลังอาหารตัวนี้ จะเป็นตัวสำคัญที่จะช่วยจัดการกับพยาธิเม็ดเลือด แต่จะค่อนข้างแรง ถ้าไม่มีอะไรรองท้อง น้องจะแสบท้องมากๆ เราก็กลั่นใจป้อนอาหารให้เยอะมากที่สุด แต่ก็ไม่ฝทนเกินไปเพราะเดี๋ยวน้องจะอ้วก สรุปคืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยค่ะ จนพอวันพุธก็ทำทุกอย่างปกติ ตั้งแต่เช้าก่อนไปทำงาน จนเย็นกลับบ้านก็ยังป้อนยาเคลือบกระเพาะ จนถึงเวลาป้อนอาหารก็ยังยืมกินปกติ และกินยาตาม แต่หลังจากนั้นเราสังเกตุว่าน้องมีอาการหายใจแรงและเร็ว ตอนแรกคิดว่าคงจะเหนื่อย เพราะวันนั้นน้องเริ่มมีลุกๆ นั่งๆบ้าง แต่สักพักทนไม่ไหวเลยโทรหาคุณหมอ คุณหมอรีบให้พาไปคลินิค เพราะหากหายใจผิดปกติแบบนี้ คืออาการที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง (ช็อตสุดท้ายที่เราคิดว่าน้องไม่ไหวคือน้องพยายามลุกขึ้น แต่ขาสั่น และล้มลงไป แต่ยังไม่ได้หมดสตินะคะ เหมือนหมดแรง) เรารีบพาไปคลินิคทันที ไปถึงน้องก็ยังหายใจแรงมากๆ คุณหมอวัดไข้แล้ว น้องมีไข้สูง ประมาณ 103 ซึ่งถ้าเทียบกับคนคือประมาณ 60-70 องศา หมอรีบพาเข้าห้องแอร์และให้ออกซิเจน แต่ก็หันมาบอกเราว่าให้ทำใจเผื่อไว้นะคะ น้องอาจจะไม่ไหว ซึ่งเรางงมากๆ ตอนแรกน้องยังมีอาการเหมือนจะดีขึ้น แต่ทำไมอยู่ๆถึงหายใจแรง หมอบอกต้องตรวจละเอียดอีกทีว่ามีโรคหัวใจ หรือโรคอะไรอื่นๆเพิ่มเติมไหม ซึ่งรู้ผลอีกวัน เราก็ยอมค่ะนาทีนั้น สุดท้ายก็แอดมิทน้องไว้และต้องยอมกลับบ้าน เพราะทำอะไรไปไม่ได้มากมายกว่านี้
พอวันถัดมาซึ่งก็คือวันที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด เราตื่นมาช่วง 10.30 น. ของวันพฤหัสที่ 22 มิถุนายน ด้วยอาการปวดตามากๆ เพราะร้องไห้จนตาบวมไปหมด เราเลยลางาน ซึ่งก็ลงอาบน้ำ กะว่าทำอะไรเสร็จจะไปหาน้องเลย แต่ 11.00 น.โดยประมาณนะคะ ว่าหลังจาก 11.00 มาแล้ว มีเบอร์โทรเข้ามาซึ่งเราจะไม่ได้เมมไว้ แต่จำเบอร์นี้ได้ค่อนข้างแม่น เพราะคือเบอร์หมอที่เราภาวนาในใจตลอดว่าอย่าได้โทรมา เพราะรู้ว่าถ้าโทรมาน่าจะมีเรื่องที่ไม่ดี
ซึ่งก็เป็นตามที่คิดไว้ค่ะ คำแรกคุณหมอพูดว่า "เจ้าของน้องอาชิใช่ไหมครับ ตอนนี้น้องมีภาวะหยุดหายใจ กำลังทำการปั๊มหัวใจนะครับ" เชื่อไหมคะ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร โทรศัพท์หล่นจากมือทันที รีบวิ่งไปบอกแฟน บอกพ่อ บอกแม่ ปากสั่น พูดอะไรไม่รู้เรื่อง จนแฟนต้องบอกให้ใจเย็นๆ เริ่มตั้งสติ และรีบพูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ซึ่งแฟนเราน้ำตาไหล และพูดออกมาว่า "บอกหมอให้หยุดปั๊มเถอะ ปล่อยเค้าไป อย่าทรมานเค้าเลย" ด้วยเสียงสะอื้น
ความจริงเราก็แอบคิดในใจแบบนั้นค่ะ ตั้งแต่ตอนกลางคืนก็เตรียมใจเผื่อเอาไว้แล้ว แต่พอมาได้ยินแบบนั้นจริงๆ มันก็อยากที่จะทำใจ สุดท้ายหมอโทรกลับมาบอก เหมือนน้องจะหายใจเองได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะยากระตุ้นที่ฉีดเข้าไปหรือเปล่า เราเลยถามว่ายาอยู่ได้กี่ชม หมอบอกประมาณ ครึ่งชม เราก็โอเค งั้นเราจะรีบไป แต่ถ้าสุดท้ายน้องหยุดหายใจจริงๆ ไม่ต้องปั๊มแล้วนะคะ จากนั้นเราก็รีบออกเดินทาง และให้หลังไม่เกิน 10 นาที หมอก็โทรเข้ามา.. ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คุณเคยไม่อยากรับสายใครสักคนไหมคะ เพราะคุณรู้ว่าปลายสายเค้ากำลังจะบอกสิ่งที่คุณไม่อยากฟัง ตอนนั้นเรากำลังเป็นแบบนั้นค่ะ แต่ท้ายที่สุดความจริงก็คือความจริง เราตัดสินใจกดรับและเงียบรอฟัง
"เจ้าของน้องอาชินะครับ ตอนนี้น้องได้หยุดหายใจแล้วนะครับ น้องไปสบายแล้ว" ตอนนั้นจำได้แค่ว่าเราขยับปากตอบไปว่า ค่ะ กำลังรีบไป
ความรู้สึกหลังสูญเสียน้องหมาตัวแรก
ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะคะ เรามีน้องหมาอยู่ 1 ตัวค่ะ ชื่อ "อาชิ" ตอนตั้งไม่ได้คิดความหมายไว้เลย แค่คุยกับแฟนว่าจะตั้งชื่อน้องว่าไรดี แล้วแฟนพูดชื่อนี้ขึ้นมาและเห็นว่าน่ารักดี เลยตกลงตั้งชื่อนี้ค่ะ อาชิเป็นสุนัขพันธ์ไทยผสม (เราคิดว่าอย่างนั้นนะคะ) เพราะเราเก็บน้องมาจากบึงแห่งหนึ่งแถวนิมิตรใหม่ เป็นบึงที่มีแพให้เช่าแบบไปเที่ยว ชิลๆ ซึ่งตอนไปเจอน้องคือเดือนธันวาคม ปี 57 ค่ะ ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเลี้ยงหมาสักตัวนึง แล้วก็ไปเจอน้องวิ่งเล่นกับเพื่อนๆอยู่แถวแพที่ไปพัก มีทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งเราก็วิ่งเข้าไปหา คิดว่าถ้าจับได้ตัวไหนก็เอาตัวนั้น แต่อีก 2 ตัวเค้าวิ่งหนีทันค่ะ เราจับได้แค่อาชิ เพราะไม่วิ่งหนี แถมนั่งหน้าตาเด๋อด๋ามาก 5555 แล้วน้องก็ไม่ดิ้น หรือขัดขืนเลย พอพากลับมาที่แพก็นั่งเรียบร้อย ดีที่เป็นคืนสุดท้ายพอดีที่เรากำลังจะกลับ เลยได้อาบน้ำน้องและพากลับบ้านทันที
จนพามาถึงบ้านวันแรกก็ป่วนเลยค่ะ 6 โมงเช้าร้องหงิงๆ สงสัยจะปวดฉิ้งฉ่อง เรากับแฟนก้พาใส่สายจูงและพาไปหน้าบ้านค่ะ ตอนนั้นบ้านเราเป็นบ้านทาวเฮ้าธรรมดาชั้นเดียว อยู่ในหมู่บ้าน ก็พาน้องเดินทำธุระจนเรียบร้อย จากนั้นมาน้องก็จะรู้เวลาตลอด จนพอน้องเริ่มชิน เราไม่ได้ใส่สายจูง แต่น้องจะกลับบ้านมาตรงเวลาทุกครั้ง และไม่เคยอุนจิหรือฉิ้งฉ่องในบ้านเลย พอผ่านไปประมาณอาทิตย์กว่าๆ เราพาน้องหาหมอครั้งแรก จริงๆอยากพาไปเร็วกว่านั้น แต่ติดงานหามรุ่งหามค่ำ จนสุดท้ายพอได้เจอหมอ คุรหมอก็ฉีดวัคซีน ตรวจโรคให้ปกติ โดยทั่วไปก็แข็งแรงมาก เลยแอบถามหมอว่าน้องน่าจะกี่เดือนแล้วคะ เพราะตอนพาน้องมา เอาน้องใส่หมวกกันน็อคได้เลย คุณหมอบอกว่าน่าจะ 3 เดือนแล้ว เราเลยนับเองว่างั้นน้องน่าจะเกิดช่วงเดือนตุลาคม 57 เพราะพาน้องหาหมดตอนธันวาคม จากนั้นน้องก็อยุ่กับเรามาตลอดค่ะ เป็นเด็กดีมากๆ ฉลาด ไปไหนก็พาไปด้วยจนน้องนั่งมอไซค์เก่ง จนตัวเริ่มโตเต็มที่ (ค่อนข้างใหญ่และหนัก555) แต่เราก็ยังพาน้องไปด้วย และสิ่งที่ทำให้เราคิดว่าน้องเป็นพันธ์ผสม เพราะขนน้องยาวกว่าหมาบ้าน หางเป็นพู่ เวลากระดิกหาง น่ารักมากๆ ขนตรงแผงคอก็ฟูสวย และอีกอย่างคือรู้สึกว่าน้องมีความสูงน้อยกว่าหมาไทยทั่วไป เราเลยคิดเอาเองว่าน่าจะผสมบางแก้วล่ะมั้ง ^^
เดี๋ยวเราข้ามบางส่วนออกให้นะคะ เพราะอาจจะยาวเกินไป แต่ทั้งหมดที่พิมออกมา มันมากจากความทรงจำที่เรามีต่อน้องทั้งนั้นเลยค่ะ คิดถึงมากจริงๆ TT
และอาชิก็อยู่กับเราอย่างมีความสุขมาตลอดค่ะ เราพาน้องไปทำหมันตั้งแต่เด็กๆ เลย เพราะไม่คิดว่าจะให้น้องมีทายาทเพิ่ม และแอบได้ยินมาว่าสุนัขหรือแมวที่ทำหมัน จะอายุจะยืนขึ้น จนผ่านมาได้ประมาณ 4 ปี เราต้องย้ายบ้านจากซอยนึง ไปอีกซอยนึง แต่ยังอยู่ในหมู่บ้านเดิมนะคะ น้องก็ยังแข็งแรงปกติ มีบางรอบที่ลืมนัดคุณหมอไป 2-3 วัน แต่พอนึกขึ้นไปก็รีบพาไปทันที แต่สิ่งนึงที่เราโทษตัวเองมาตลอดเลยคือ น้องไม่ได้ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีค่ะ ซึ่งเราละเลยเองค่ะข้อนี้ยอมรับผิดคิดว่าน้องได้รับวัคซีนครบ และร่างกายที่น้องแสดงออกก้แข็งแรงมาก เลยชะล่าใจไป แต่น้องก็ยังไม่มีอาการอะไรอื่นๆนะคะ
และเราก็อยู่บ้านหลังนั้นมาต่ออีก 4 ปีค่ะ จนเมื่อต้นปี 66 ที่ผ่านมา เราทำเรื่องกู้ซื้อบ้านได้อีกซอยนึง แต่ก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเดิม ก็พากันย้ายสัมโนครัวมาอีกรอบ คราวนี้บ้านหลังนี้ต่อเดิมไว้ค่อนข้างดีมาก รั้วรอบขอบชิด ประตูกระจก น้องเลยจะนอนในส่วนของหน้าบ้านที่ปูกระเบื้อง และเปิดพัดลม 2 ตัวสลับกัน แต่พ่อแม่เราอยู่บ้านตลอดค่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องไฟลัดวงจร น้องก็ปกติดีทุกอย่างมาตลอด แต่จะมีช่วงต้นปีที่สังเกตุว่าน้องเริ่มเบื่ออาการ ไม่เกิน 1-2 วัน แต่สุดท้ายก็กลับมากินปกติ และก็มีอาการอ้วกเป็นน้ำ คือน้องจะไปกินตะไคร้ที่ปลูกไว้ค่ะ แล้วก็อ้วกออกมา เราก้ไม่นิ่งนอนใจนะคะ พาหาหมอ แต่ตอนนั้นหมอไม่ได้เจาะเลือดหรือตรวจอะไรละเอียด ฉีดวิตตามิน เกลือแร่ และให้ยามา พร้อมบอกว่าจมูกยังแฉะอยู่ เหงือกก็ไม่ซีด เราก็เลยพาน้องกลับมาป้อนยา แต่สุดท้ายน้องก็กลับมาเป็นปกติค่ะ แข็งแรงร่าเริง (ลืมบอกในส่วนของอาหาร เราให้เป็นอาหารเม็ดสลับกับไก่ต้มแบบไม่ปรุงนะคะ บางทีก็เป็นปลานึ่งไม่ปรุง กลัวน้องเบื่อค่ะ)
ทุกอย่างก็ดีมากตลอด จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 น้องเริ่มมีอาการเดิมคือไม่กินข้าว (เราจะให้อาหารมื้อเดียวค่ะ เฉพาะมื้อเย็น) เราก็คิดว่าเบื่ออาหารปกติ เพราะยังร่าเริง จนพอวันเสาร์ เราเริ่มเห็นว่าน้องผิดปกติ ดูซึมๆ ไม่กิน ไม่ลุก แต่ ณ เวลานั้นที่เรากลับมาค่อนข้างดึกมากๆ และไม่รู้ว่ามีคลินิคไหนเปิด 24 ชม เลยจะรอพาไปคลินิคประจำตอนเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งพอวันอาทิตย์พอไปถึงคุณหมอ คุณหมอบอกเลยว่าอาการน่าเป็นห่วง จมูกแห้ง ตาขาวแดง เหงือกแห้ง ไม่มีแรง เบื้องต้นหมอกลัวว่าจะติดเชื้อพยาธิเม็ดเลือด เลยเจาะเลือดไปตรวจ ผลออกช่วงค่ำๆ หมอให้เรากลับมาป้อนน้ำยาเกลือเอง และฉีดเหมือนวิตตามินมาให้ 2 เข็ม พร้อมกับนัดมาใหม่พรุ่งนี้ ซึ่งพอกลับมาถึงบ้าน น้องก็ดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เรารีบเอาน้ำเกลือใส่สลิงป้อน (หมอไม่ได้ให้น้ำเกลือนะคะ เค้าบอกให้เอาน้ำเกลือคนท้องเสีย แต่เลือกอันที่มีกลูโคส เราก็พยายามป้อนตลอด จนตกดึกอาการน้องเริ่มไม่สู้ดี โชคดีมากๆที่พี่บ้านตรงข้าม เค้ากลับจากทำงาน เลยแนะนำว่ามีคลินิคที่เปิด 24 ชมอยู่ แต่ไกลบ้านนิดนึง เราก็รีบพาไปทันทีค่ะ ไปถึงคลินิคประมาณเที่ยงคืน ก็รอคิวไปสักพัก น้องยังดูอ่อนแรง แต่ยังรู้สึกตัว และหายใจสม่ำเสมอ คุณหมอให้น้ำเกลือเป็นอย่างแรก และจะขอแอดมิท พร้อมเจาะเลือดไปตรวจรอบสอง (ซึ่งคลินิคแรกส่งมาแจ้งแค่ว่ามีสิทธิ์เป็นพยาธิเม็ดเลือด) เราบอกหมอคลินิคที่ 2 ไป เค้าจึงขอเจาะไปตรวจอีกครั้งเพื่อความชัวร์ สุดท้ายเราก็ให้น้องแอดมิทก่อน แต่ในใจเป็นห่วงมากๆเพราะน้องไม่เคยห่างเราเลยแม้แต่วันเดียว ตั้งแต่ที่รับเค้ามา ซึ่งเราย้ำหมดหลายรอบมากว่าน้องไม่เคยห่างเราเลยนะคะ อาจจะร้องกวนบ้าง เพราะกลัวเค้ารำคาญ แต่หมอก็โอเคค่ะ ดูค่อนข้างเข้าใจ เราก็วางใจได้เปราะนึง เดินไปหาลูกแล้วบอกว่า เดี๋ยวแม่มารับนะลุก หายไวๆนะ แล้วก็กลั้นใจเดินออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงน้องร้องตามนะคะ คงเพราะเพลียมากๆ
จนพอเช้าวันต่อมา เราก็รีบอาบน้ำ แต่งตัวมาทำงาน แต่ใจจดใจจ่อที่จะโทรไปถามอาการน้องมากๆ พอมาถึงที่ทำงานปุ้บก้รีบโทรเลย ซึ่งน่าจะเป็นพยาบาลรับสาย เราก็แจ้งชื่อน้องไป พยาบาลแจ้งกลับมาว่า "ยังน่าเป็นห่วงอยู่นะคะ ไม่ยอมกินอะไรเลย ยังซึมอยู่" เราน้ำตาไหลออกมาเองเลยค่ะ สงสารลูกมาก และผลเลือดก็ออกมายืนยันว่าติดเชื้อพยาธิในเม็ดเลือดแน่อน ซึ่งอาจจะเกิดจากเห็บที่มีเชื้อแล้วมากัดน้อง (แต่เราหาให้น้องตลอดนะคะ และหยอดยาสลับกันฉีดสม่ำเสมอ แต่ก็เข้าใจว่าเราไม่ได้เลี้ยงระบบปิด 100% ยังไงก็เสี่ยง) หมอบอกเลยว่าต้องรักษาประมาณ 1 เดือน ซึ่งค่ารักษา + ค่าฝากต่อวัน ตกลงวันละ 1,100 บาท เราบอกตามตรงว่าเราไม่ไหวค่ะ เพราะอาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ได้ตกวันละ 5-600 บาท เราเลยสอบถามหมอว่า ถ้าเอายาไปป้อนเอง กลับไปรักษาที่บ้านได้ไหม หมอบอกได้นะ อาการยังไม่น่ากลัวขนาดนั้น เราก็เบาใจค่ะ เลยขอเป็นแบบนั้นไปก็ซื้ออาหารเหลวสำหรับหมาป่วยของรอยัล คานิน แป้งโรยกันเห็บ สลิงป้อนอาหาร รวมแล้วเราจ่ายไป 3,700 กว่าๆ ได้ยามากิน 14 วัน และนัดเจาะเลือดใหม่วันที่ 4 กรกฎาคม (ซึ่งอาการของน้องตอนนั้นยังซึม และไม่ค่อยกิน หมอต้องป้อนเพื่อที่จะได้ทานยา กินน้ำเองบ้างบางครั้ง และเกล็ดเลือดที่ปกติ 200,000 เหลือ 160,000 จึงต้องกินยาบำรุงเลือด) สุดท้ายเราเลยได้พาน้องกลับมาบ้าน คุณหมอป้อนข้าว ป้อนยามาให้แล้ว เริ่มเริ่มป้อนวันถัดไปค่ะ ซึ่งวันแรกที่กลับ น้องดูมีการดีใจอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะยังไม่มีแรง เราก็จัดแจงเอาเดทตอลมาถูพื้นให้สะดวก และโรยด้วยแป้งที่ซื้อมา เปิดพัดลมระบายอาการให้น้อง เอาผ้าสะอาดปูรอง น้องก็ดูเหมือนจะดีขึ้น เราก็อยู่กับน้องจนดึก ถึงได้ขึ้นไปนอน พอเช้ามาเรารีบทำธุระตัวเองให้เสร็จเร็วกว่าเดิม เพราะต้องเผื่อเวลาป้อนยาบำรุงเลือด ดีที่ยาตัวนี้ไม่จำเป็นต้องกินหลังอาหารก็ได้ แต่เราก็ป้อนอาหารไปเผื่อ 2 สลิงรองท้อง แล้วป้อนยาตาม น้องก็ขัดขืนนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ยอมให้ป้อน เราก็บอกน้องว่าขอให้หายเร็วๆ เรารีบทำงานจะรีบกลับมา
พอตกเย็นเลิกงานเรารีบกลับบ้านทันที แม่ยังบอกว่าน้องกระดิกหางดีใจตอนได้ยินเสียงรถเรา แต่ไม่มีแรงลุกไปรับอย่างเคย เราก็รีบกลับมาป้อนยาเคลือบกระเพาะ เพราะยานี้ต้องป้อนก่อนกินอาหาร 1 ชม. พอป้อนเสร็จเราก็นั่งเล่น นอนเล่นอยู่ข้างๆนอกตลอดเวลา จนพอถึงเวลากินอาหาร ก็ป้อน และกินยาตามทันที เพราะยาหลังอาหารตัวนี้ จะเป็นตัวสำคัญที่จะช่วยจัดการกับพยาธิเม็ดเลือด แต่จะค่อนข้างแรง ถ้าไม่มีอะไรรองท้อง น้องจะแสบท้องมากๆ เราก็กลั่นใจป้อนอาหารให้เยอะมากที่สุด แต่ก็ไม่ฝทนเกินไปเพราะเดี๋ยวน้องจะอ้วก สรุปคืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยค่ะ จนพอวันพุธก็ทำทุกอย่างปกติ ตั้งแต่เช้าก่อนไปทำงาน จนเย็นกลับบ้านก็ยังป้อนยาเคลือบกระเพาะ จนถึงเวลาป้อนอาหารก็ยังยืมกินปกติ และกินยาตาม แต่หลังจากนั้นเราสังเกตุว่าน้องมีอาการหายใจแรงและเร็ว ตอนแรกคิดว่าคงจะเหนื่อย เพราะวันนั้นน้องเริ่มมีลุกๆ นั่งๆบ้าง แต่สักพักทนไม่ไหวเลยโทรหาคุณหมอ คุณหมอรีบให้พาไปคลินิค เพราะหากหายใจผิดปกติแบบนี้ คืออาการที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง (ช็อตสุดท้ายที่เราคิดว่าน้องไม่ไหวคือน้องพยายามลุกขึ้น แต่ขาสั่น และล้มลงไป แต่ยังไม่ได้หมดสตินะคะ เหมือนหมดแรง) เรารีบพาไปคลินิคทันที ไปถึงน้องก็ยังหายใจแรงมากๆ คุณหมอวัดไข้แล้ว น้องมีไข้สูง ประมาณ 103 ซึ่งถ้าเทียบกับคนคือประมาณ 60-70 องศา หมอรีบพาเข้าห้องแอร์และให้ออกซิเจน แต่ก็หันมาบอกเราว่าให้ทำใจเผื่อไว้นะคะ น้องอาจจะไม่ไหว ซึ่งเรางงมากๆ ตอนแรกน้องยังมีอาการเหมือนจะดีขึ้น แต่ทำไมอยู่ๆถึงหายใจแรง หมอบอกต้องตรวจละเอียดอีกทีว่ามีโรคหัวใจ หรือโรคอะไรอื่นๆเพิ่มเติมไหม ซึ่งรู้ผลอีกวัน เราก็ยอมค่ะนาทีนั้น สุดท้ายก็แอดมิทน้องไว้และต้องยอมกลับบ้าน เพราะทำอะไรไปไม่ได้มากมายกว่านี้
พอวันถัดมาซึ่งก็คือวันที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด เราตื่นมาช่วง 10.30 น. ของวันพฤหัสที่ 22 มิถุนายน ด้วยอาการปวดตามากๆ เพราะร้องไห้จนตาบวมไปหมด เราเลยลางาน ซึ่งก็ลงอาบน้ำ กะว่าทำอะไรเสร็จจะไปหาน้องเลย แต่ 11.00 น.โดยประมาณนะคะ ว่าหลังจาก 11.00 มาแล้ว มีเบอร์โทรเข้ามาซึ่งเราจะไม่ได้เมมไว้ แต่จำเบอร์นี้ได้ค่อนข้างแม่น เพราะคือเบอร์หมอที่เราภาวนาในใจตลอดว่าอย่าได้โทรมา เพราะรู้ว่าถ้าโทรมาน่าจะมีเรื่องที่ไม่ดี
ซึ่งก็เป็นตามที่คิดไว้ค่ะ คำแรกคุณหมอพูดว่า "เจ้าของน้องอาชิใช่ไหมครับ ตอนนี้น้องมีภาวะหยุดหายใจ กำลังทำการปั๊มหัวใจนะครับ" เชื่อไหมคะ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร โทรศัพท์หล่นจากมือทันที รีบวิ่งไปบอกแฟน บอกพ่อ บอกแม่ ปากสั่น พูดอะไรไม่รู้เรื่อง จนแฟนต้องบอกให้ใจเย็นๆ เริ่มตั้งสติ และรีบพูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ซึ่งแฟนเราน้ำตาไหล และพูดออกมาว่า "บอกหมอให้หยุดปั๊มเถอะ ปล่อยเค้าไป อย่าทรมานเค้าเลย" ด้วยเสียงสะอื้น
ความจริงเราก็แอบคิดในใจแบบนั้นค่ะ ตั้งแต่ตอนกลางคืนก็เตรียมใจเผื่อเอาไว้แล้ว แต่พอมาได้ยินแบบนั้นจริงๆ มันก็อยากที่จะทำใจ สุดท้ายหมอโทรกลับมาบอก เหมือนน้องจะหายใจเองได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะยากระตุ้นที่ฉีดเข้าไปหรือเปล่า เราเลยถามว่ายาอยู่ได้กี่ชม หมอบอกประมาณ ครึ่งชม เราก็โอเค งั้นเราจะรีบไป แต่ถ้าสุดท้ายน้องหยุดหายใจจริงๆ ไม่ต้องปั๊มแล้วนะคะ จากนั้นเราก็รีบออกเดินทาง และให้หลังไม่เกิน 10 นาที หมอก็โทรเข้ามา.. ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คุณเคยไม่อยากรับสายใครสักคนไหมคะ เพราะคุณรู้ว่าปลายสายเค้ากำลังจะบอกสิ่งที่คุณไม่อยากฟัง ตอนนั้นเรากำลังเป็นแบบนั้นค่ะ แต่ท้ายที่สุดความจริงก็คือความจริง เราตัดสินใจกดรับและเงียบรอฟัง
"เจ้าของน้องอาชินะครับ ตอนนี้น้องได้หยุดหายใจแล้วนะครับ น้องไปสบายแล้ว" ตอนนั้นจำได้แค่ว่าเราขยับปากตอบไปว่า ค่ะ กำลังรีบไป