ต่างผลิบาน..บนเส้นทางของตน
ฤดูหนาวที่สายลมเย็นชื่นใจพัดผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย สภาพอากาศและบรรยากาศสบาย ๆ ทำให้แม้แต่ดวงอาทิตย์เอง ก็ยังเกียจคร้านที่จะออกมาทำหน้าที่ และคงซุกตัวเร้นกายอยู่ภายในอ้อมกอดของขุนเขาอยู่อย่างนั้น
หมอกจางบางเบาแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเขียวขจี และสีสันสวยสดจากไม้ดอกและไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ กลิ่นไอดิบ ๆ จากผืนดิน กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญ้า และอากาศเย็นเยียบที่แผ่ซ่านเข้าไปยังทุกรูขุมขน ช่วยปลุกพลังแห่งชีวิต และความกระปรี้กระเปร่าของวันใหม่ให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกหน
มันเป็นบรรยากาศกึ่งชนบทในเขตปริมณฑล ที่ความสะดวกสบายทางเทคโนโลยีและความเร่งรีบจากความทันสมัย ยังไม่อาจเข้าถึงได้เต็มที่และสะดวกนัก ดังนั้น ภาพความเป็นธรรมชาติรวมถึงวิถีการใช้ชีวิตในแบบดั้งเดิม จึงยังมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
ที่แปลงเพาะพันธุ์ไม้ดอกขนาดกำลังพอเหมาะ ลุงอ่ำ...ชายสูงอายุเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวบาง ๆ และกางเกงขาสั้น กำลังถือฝักบัวเดินรดน้ำ เพื่อให้ความชุ่มชื่นแก่สิ่งที่เขาตั้งใจปลูกอย่างไม่รู้จักเหน็บหนาว อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด
บนถนนลาดยางมะตอยขนาดสองเลน ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ทุกคนใช้สัญจรไปไหนต่อไหนทุกหนแห่ง ป้าแจ่มผู้ซึ่งมากล้นไปด้วยไมตรีจิตและอัธยาศัย กำลังออกแรงปั่นจักรยานคู่ชีพ ที่พึ่งพากันมานานกว่าสิบห้าปี เลียบมาตามคลองเส้นเล็ก ๆ ซึ่งทอดขนานมาด้วยกันกับตัวถนน
เสียงเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการปั่นจากสภาพเก่าคร่ำคร่าที่ดังมาแต่ไกล เสมือนคำป่าวประกาศของตัวเอง เมื่อเพื่อนบ้านผู้มีความสนิทชิดเชื้อได้ยินเข้า ใครว่างหรือพอวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่ได้ ก็จะออกมายืนรอเพื่อส่งมอบคำทักทายและรอยยิ้มให้แก่กัน
ยามเมื่อต้องการวัตถุดิบไว้ทำกับข้าวกับปลาก็ไปตลาดสด อยากได้ของกินของใช้จุกจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็อาศัยร้านโชห่วย นึกอยากเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจก็ไปสวนสาธารณะ นี่คือวิถีชีวิตที่ปราศจากสถานบันเทิงยามค่ำคืน ไม่พึ่งพิงห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่
เป็นวิถีชีวิตในแบบของคนพื้นถิ่น โดยเฉพาะคนเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มาตั้งแต่เกิดอย่างแท้จริง ที่ทั้งเรียบง่าย ไร้การแก่งแย่งแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย และปราศจากความเร่งรีบร้อนรนใด ๆ
สำหรับบางคนแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยคืนวันเปี่ยมสุข ซึ่งกาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่ามันกำลังหยุดนิ่ง แต่สำหรับคนบางคน ที่นี่กลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เนิบนาบเชื่องช้าจนน่าเบื่อหน่าย เป็นวันคืนซึ่งไร้ความน่าอภิรมย์อย่างสิ้นเชิง
กับการกระทำแบบเดิม สถานที่เดิม ๆ และเรื่องราวเรื่องเดิม ที่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรืออะไรอื่นที่แทรกตัวเข้ามา เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ชีวิตได้เลย
หญิงสาวท่าทางปราดเปรียวคนหนึ่ง กำลังเดินตัดผ่านแปลงดอกไม้ออกจากบ้าน เพื่อมารอรถโดยสารอยู่ที่ตรงถนนสายหลัก
ท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อเชิ้ตและกระโปรง ที่ดูสวยตามแบบคนทำงานออฟฟิศ ทำให้รู้สึกขัดแย้งแปลกตาไปจากสภาพรอบข้าง รองเท้าส้นสูงที่กำลังสวมอยู่ ทำให้การเดินบนพื้นดิน ซึ่งอ่อนนุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้างและไอเย็น เป็นไปได้อย่างไม่ค่อยถนัดนัก
รอยยิ้มบางเบาปรากฏเกลื่อนอยู่ทั่วใบหน้าและมุมปาก ในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมุ่งมั่นและแววสุขใจอย่างเหลือล้น หลังจากที่ร่ำเรียนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และเฝ้าหาสมัครงานที่ใฝ่ฝันอยู่นานสองนาน วันนี้จะเป็นวันแรกในชีวิตก้าวใหม่ของเธอ
เป็นวันที่เธอจะได้ติดปีก และโผบินเพื่อหนีความน่าเบื่อนี้ ไปสู่สถานที่แห่งความฝันที่เธออยากไปมาตลอดเสียที ชีวิตหรูหราตามสมัยนิยม ได้แต่งตัว แต่งหน้าสวย ๆ เดินเที่ยวเล่นในห้างสรรพสินค้า นั่งเล่นในคาเฟ่ กินเบเกอรีรสโปรด ถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียลเอาไว้อวดใครต่อใคร
ที่นั่นคงจะทำให้เธอมีความสุขได้ อย่างน้อยก็มากกว่าที่นี่ สถานที่ที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างแบบนี้แน่ ๆ
“อ้าว น้ำฝน จะไปทำงานหรือ”
“ใช่จ้ะ พี่เมษ วันนี้ฝนเพิ่งเริ่มงานวันแรกจ้ะ”
ในขณะที่หยาดฟ้ากำลังยืนรอรถโดยสาร ชายหนุ่มรุ่นพี่ผู้คุ้นหน้าคุ้นตา และสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ก็ทักทายเธอด้วยชื่อเล่น เมื่อขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาพบเข้าพอดี
“มา ๆ ขึ้นซ้อนท้ายเลย เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ท่ารถ จะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถสองต่อ วันแรกทั้งที ไปถึงเร็วหน่อย ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยก็แล้วกัน”
“ขอบใจมากจ้ะ พี่”
แสงแดดสดใสอาบย้อมทั่วทั้งบริเวณจนสว่างไสวเจิดจ้า สายลมเอื่อยเฉื่อยแผ่วพลิ้วคลอเคลียหยอกล้อ ต้นไม้ใบไม้โบกสะบัดเอนไหว ดอกหญ้าล่องลอยลมอิสระตามแต่แรงส่งจะพาไป
เพราะอาศัยอยู่ในชนบทอย่างนี้มานาน ได้เห็นภาพซ้ำ ๆ อย่างนี้มานานแสนนานแล้ว มันนานมากไปเสียจนเธอชินชาเกินกว่าที่จะคิด หรือรู้สึกอะไรไปได้มากกว่าที่เห็น ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ แม้ใครจะว่ามันสวยงาม แต่มันก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว
ดอกไม้ก็คือดอกไม้ แม้จะปลูกเต็มพื้นที่จนดูละลานตาเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้ตื่นเต้นตื่นตาไปได้มากกว่านั้น นั่นเพราะภายในใจของเธอไม่ได้คิดจะใส่ใจในความละเอียดอ่อน ที่แสนเปราะบางและบริสุทธิ์เหล่านั้นเลย
เช่นเดียวกันกับใครบางคน ซึ่งแสดงออกอย่างเปิดเผยชัดเจนว่าเขามีใจ คอยเฝ้าดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไม่เคยห่าง ด้วยใจรักอันบริสุทธิ์ที่มั่นคงเสมอมา...แต่ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้น สุดท้ายแล้วความรู้สึกซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเขา จึงกลายเป็นสิ่งธรรมดาที่ถูกมองข้าม และไม่หลงเหลือความหมาย หรือความสำคัญใด ๆ ไว้เลยในใจของเธอ
รถมอเตอร์ไซด์แล่นเฉื่อยฉิวไปตามทาง ในขณะที่เมษละสายตาออกจากถนน มองใบหน้าของหญิงสาวทางด้านหลัง ที่สะท้อนอยู่ในกระจกมองข้าง แล้วอมยิ้มออกมาคนเดียวเป็นระยะ ๆ ในแววตาของน้ำฝนกลับสะท้อนให้เห็นแต่เพียงภาพซึ่งไกลออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ไกล...จนไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลยแม้เพียงแค่วินาทีเดียว
แสงแดดยามเช้าส่องทะลุผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เพื่อปลุกให้ผู้ที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราได้ลืมตาตื่นและลุกจากที่นอนเสียที
ภายในห้องบนชั้นที่สามสิบของคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางเมือง หญิงสาวซึ่งกำลังซุกตัวเองอยู่ใต้ผ้านวมหนา เอื้อมมือออกมากดปิดเสียงปลุกจากสมาร์ทโฟน ที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ข้าง ๆ ตัวบนเตียงนอน
ความรู้สึกหนักหน่วง เหนื่อยหน่าย แล่นเข้าจู่โจมตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตา จนแทบไม่อยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายต่อ ต้องใช้เวลาทำใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงค่อยพาตัวเองให้ลุกจากที่นอนนุ่ม และไปจัดการธุระส่วนตัวในช่วงเช้าได้สำเร็จ
กดปิดเครื่องปรับอากาศจากรีโมทคอนโทรล คว้ากระเป๋ามาสะพายไหล่ ควานหากุญแจที่เก็บไว้ในนั้นมาถือไว้ ก่อนจะออกจากห้องเพื่อตรงไปยังลานจอดรถ และขับเคลื่อนยานพาหนะให้ออกไปสู่การจราจรอันคับคั่งสับสนวุ่นวาย
ไม่ว่าจะเมื่อใด ในชั่วโมงเร่งด่วนรถราก็ติดขัดจนแทบไม่ขยับอย่างนี้เสมอ ถึงแม้จะเป็นช่วงเช้าของฤดูหนาว แต่อุณหภูมิที่กลางแจ้งซึ่งปราศจากการปรับอากาศให้เย็นฉ่ำจากแอร์คอนดิชัน ก็ร้อนไม่แตกต่างกันอย่างนี้เสมอ
แสงอาทิตย์ซึ่งแผดแรงขึ้นเป็นลำดับ ส่องทะลุผ่านชั้นฟิล์มกรองแสง พอให้ร่างกายได้รู้สึกถึงไอร้อนผ่าว ๆ ควันเสียและละอองฝุ่นซึ่งแขวนลอยไปทั่วในอากาศ ทำให้สภาพโดยรอบดูขมุกขมัว ท้องฟ้ามัวหม่นลงไปถนัดตา
ไม่มีอะไรในเวลานี้ที่สามารถจะทำได้ดีไปกว่า การนั่งเฉย ๆ สงบจิตสงบใจ และหาอะไรมองไปเรื่อย สัญญาณไฟแดงค้างเติ่งอยู่บนยอดเสาตรงกลางสี่แยกมาครู่ใหญ่แล้ว รถราต่อแถวยาวเหยียดขึ้นเรื่อย ๆ ต่างคนคงต่างอยากทะยานให้หลุดพ้นออกไปจากความน่าเบื่อหน่ายนี้เสียที
ในรถยนต์ส่วนบุคคล ในรถโดยสารประจำทางและไม่ประจำทาง บนอานรถมอเตอร์ไซด์ ที่ตรงทางเท้าทั้งสองฝั่งฟากถนน ไม่ว่าบริเวณใด ใคร ๆ ต่างก็มองตรงไปแต่เพียงด้านหน้า ด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉยราวหุ่นยนต์อันไร้ชีวิตจิตใจ
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงพูดคุย ปราศจากปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแทบจะสิ้นเชิง
ไม้สูงและไม้พุ่มตามรายทาง ที่ตั้งใจปลูกเอาไว้ทั้งตามทางเท้าและเกาะกลางถนน ทั้งหมดนั้นเพื่อหวังจะให้สีเขียวของพวกมัน ช่วยทำให้สภาพบรรยากาศของตัวเมือง ซึ่งมีแต่ตึกรามบ้านช่องและอาคารสูงใหญ่ ดูสดชื่นเขียวขจี ร่มรื่น และน่ามองขึ้น
ทว่าพืชที่ทั้งลำต้น กิ่งก้าน จนกระทั่งดอกใบ ซึ่งถูกปกคลุมฉาบเคลือบไปด้วยฝุ่นอนุภาค และไอน้ำมันอย่างนี้ มีหรือจะทำให้รู้สึกแบบนั้นได้ นอกจากจะดูไร้ชีวิตชีวาแล้ว มันก็คงรอแต่วันที่จะเหี่ยวเฉาลงไปเท่านั้นเอง
ครู่หนึ่งในขณะที่กำลังจมตัวเองอยู่ในห้วงความคิดฟุ้งซ่าน เสียงเรียกสายจากสมาร์ทโฟนก็ทำให้ได้สติกลับคืนมา ตรวจสอบรายชื่อเห็นว่าเป็นลูกน้องในฝ่ายที่ตนเองรับผิดชอบอยู่จึงกดรับสาย
“ตอนนี้กำลังขับรถอยู่ อีกครู่ใหญ่ ๆ น่าจะไปถึง แต่เวลาคงฉิวเฉียด อย่างไรก็เตรียมข้อมูลที่ขอไว้ให้พร้อมด้วยก็แล้วกัน”
พูดกลับไปเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะกดวางสาย โยนเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กกลับไปไว้ยังที่เดิม แล้วก็ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะใช้เวลาที่เหลือบนท้องถนนจนกว่าจะถึงบริษัทที่เหลืออยู่ ไปกับความร้อนรนเร่งเร้าในใจ
“สวัสดีค่ะ คุณอร”
“สวัสดีครับ หัวหน้า”
เมื่อก้าวเข้ามาในเขตของสำนักงาน ใคร ๆ ต่างก็ทักทายเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลายคนมีท่าทีพินอบพิเทาจนบ่อยครั้งเธอก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป
“สวัสดีจ้ะ”
กชอรทักทายพร้อมส่งยิ้มกลับไปให้บ้างตามมารยาท แต่แค่ไม่กี่อึดใจที่เดินผ่านลับหลังกันไป ร่อยรอยยิ้มแย้มเหล่านั้นก็ระเหิดระเหย หลงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอยู่บนสีหน้าเฉยชาจนแทบไร้อารมณ์นั้น
สายตาเหลียวมองแจกันดอกไม้ประดิษฐ์ ที่ถูกนำมาประดับไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในนี้ พวกมันทั้งสวยงาม คงทนยืนนาน โดยที่ไม่ต้องการการดูแล ประคบประหงมใด ๆ ให้มากมายเลย ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องมอบเวลาแห่งความรักความอบอุ่นให้ ขอเพียงมีอำนาจแห่งเงินตรา ไม่ว่าใครก็ครอบครองความงดงามแบบนี้ได้ทั้งนั้น
เพราะเธอมีตำแหน่ง มีอำนาจในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจึงพร้อมที่ยิ้มแย้มและก้มหัวให้กับเธอ โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกจริง ๆ แม้ในใจอาจกำลังคิดตรงกันข้าม แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะทำแบบนั้น...ช่างไม่ต่างอะไรกันเลย
“คุณอร ข้อมูลพร้อมแล้วครับ”
“อืม ไปรอที่ห้องประชุมก่อนเลย ขอฉันเช็คข้อมูลดูให้แน่ใจก่อน เรียบร้อยแล้วจะรีบตามไป”
“ได้ครับ”
ลูกทีมคนเดียวกันกับที่โทรฯ ไปหา ตอนที่เธอกำลังขับรถอยู่ตอบรับคำ แล้วจึงเดินแยกออกไปทางห้องประชุมก่อนแต่เพียงผู้เดียวตามคำสั่ง
เหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนทำให้เธอคิดที่จะพึ่งพาแต่ตนเอง นานวันเข้าเธอก็ละเลยจนไม่อาจวางใจใครได้อีกต่อไป
“อร วันนี้ประชุมเสร็จแล้ว พักเที่ยงเราไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหม พอดีเสิร์ชเน็ตเจอร้านน่านั่งใกล้ ๆ แถวนี้น่ะ”
“อรว่า เจตน์น่าจะรีบไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเริ่มประชุม มากกว่าจะเอาเวลามามัวแต่สนใจกับเรื่องแบบนี้นะ หรือว่าประชุมครั้งที่แล้วโดนเล่นงานไปขนาดนั้นจะยังไม่เข็ดล่ะ อย่างทำให้ฝ่ายของตัวเอง ลูกน้องของตัวเองต้องเจอปัญหานักเลย เจตน์”
รวมถึงใครบางคนที่มอบความรู้สึกพิเศษให้ เขาที่พยายามร่นระยะห่างลง เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า แต่เธอก็พร้อมที่จะเดินผ่านทุกความรู้สึกไปอย่างไม่ไยดี ไม่สนใจ ไม่ต่างอะไรสักนิดจากที่เธอมองข้ามและเดินผ่านดอกไม้ประดิษฐ์ไป
สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มีคุณค่า และไม่ได้มีความหมายใด ๆ เลยสักนิดสำหรับเธอ
ต่างผลิบาน...บนเส้นทางของตน
ฤดูหนาวที่สายลมเย็นชื่นใจพัดผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย สภาพอากาศและบรรยากาศสบาย ๆ ทำให้แม้แต่ดวงอาทิตย์เอง ก็ยังเกียจคร้านที่จะออกมาทำหน้าที่ และคงซุกตัวเร้นกายอยู่ภายในอ้อมกอดของขุนเขาอยู่อย่างนั้น
หมอกจางบางเบาแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเขียวขจี และสีสันสวยสดจากไม้ดอกและไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ กลิ่นไอดิบ ๆ จากผืนดิน กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญ้า และอากาศเย็นเยียบที่แผ่ซ่านเข้าไปยังทุกรูขุมขน ช่วยปลุกพลังแห่งชีวิต และความกระปรี้กระเปร่าของวันใหม่ให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกหน
มันเป็นบรรยากาศกึ่งชนบทในเขตปริมณฑล ที่ความสะดวกสบายทางเทคโนโลยีและความเร่งรีบจากความทันสมัย ยังไม่อาจเข้าถึงได้เต็มที่และสะดวกนัก ดังนั้น ภาพความเป็นธรรมชาติรวมถึงวิถีการใช้ชีวิตในแบบดั้งเดิม จึงยังมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
ที่แปลงเพาะพันธุ์ไม้ดอกขนาดกำลังพอเหมาะ ลุงอ่ำ...ชายสูงอายุเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวบาง ๆ และกางเกงขาสั้น กำลังถือฝักบัวเดินรดน้ำ เพื่อให้ความชุ่มชื่นแก่สิ่งที่เขาตั้งใจปลูกอย่างไม่รู้จักเหน็บหนาว อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด
บนถนนลาดยางมะตอยขนาดสองเลน ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ทุกคนใช้สัญจรไปไหนต่อไหนทุกหนแห่ง ป้าแจ่มผู้ซึ่งมากล้นไปด้วยไมตรีจิตและอัธยาศัย กำลังออกแรงปั่นจักรยานคู่ชีพ ที่พึ่งพากันมานานกว่าสิบห้าปี เลียบมาตามคลองเส้นเล็ก ๆ ซึ่งทอดขนานมาด้วยกันกับตัวถนน
เสียงเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการปั่นจากสภาพเก่าคร่ำคร่าที่ดังมาแต่ไกล เสมือนคำป่าวประกาศของตัวเอง เมื่อเพื่อนบ้านผู้มีความสนิทชิดเชื้อได้ยินเข้า ใครว่างหรือพอวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่ได้ ก็จะออกมายืนรอเพื่อส่งมอบคำทักทายและรอยยิ้มให้แก่กัน
ยามเมื่อต้องการวัตถุดิบไว้ทำกับข้าวกับปลาก็ไปตลาดสด อยากได้ของกินของใช้จุกจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็อาศัยร้านโชห่วย นึกอยากเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจก็ไปสวนสาธารณะ นี่คือวิถีชีวิตที่ปราศจากสถานบันเทิงยามค่ำคืน ไม่พึ่งพิงห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่
เป็นวิถีชีวิตในแบบของคนพื้นถิ่น โดยเฉพาะคนเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้มาตั้งแต่เกิดอย่างแท้จริง ที่ทั้งเรียบง่าย ไร้การแก่งแย่งแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย และปราศจากความเร่งรีบร้อนรนใด ๆ
สำหรับบางคนแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยคืนวันเปี่ยมสุข ซึ่งกาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่ามันกำลังหยุดนิ่ง แต่สำหรับคนบางคน ที่นี่กลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เนิบนาบเชื่องช้าจนน่าเบื่อหน่าย เป็นวันคืนซึ่งไร้ความน่าอภิรมย์อย่างสิ้นเชิง
กับการกระทำแบบเดิม สถานที่เดิม ๆ และเรื่องราวเรื่องเดิม ที่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรืออะไรอื่นที่แทรกตัวเข้ามา เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ชีวิตได้เลย
หญิงสาวท่าทางปราดเปรียวคนหนึ่ง กำลังเดินตัดผ่านแปลงดอกไม้ออกจากบ้าน เพื่อมารอรถโดยสารอยู่ที่ตรงถนนสายหลัก
ท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อเชิ้ตและกระโปรง ที่ดูสวยตามแบบคนทำงานออฟฟิศ ทำให้รู้สึกขัดแย้งแปลกตาไปจากสภาพรอบข้าง รองเท้าส้นสูงที่กำลังสวมอยู่ ทำให้การเดินบนพื้นดิน ซึ่งอ่อนนุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้างและไอเย็น เป็นไปได้อย่างไม่ค่อยถนัดนัก
รอยยิ้มบางเบาปรากฏเกลื่อนอยู่ทั่วใบหน้าและมุมปาก ในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมุ่งมั่นและแววสุขใจอย่างเหลือล้น หลังจากที่ร่ำเรียนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และเฝ้าหาสมัครงานที่ใฝ่ฝันอยู่นานสองนาน วันนี้จะเป็นวันแรกในชีวิตก้าวใหม่ของเธอ
เป็นวันที่เธอจะได้ติดปีก และโผบินเพื่อหนีความน่าเบื่อนี้ ไปสู่สถานที่แห่งความฝันที่เธออยากไปมาตลอดเสียที ชีวิตหรูหราตามสมัยนิยม ได้แต่งตัว แต่งหน้าสวย ๆ เดินเที่ยวเล่นในห้างสรรพสินค้า นั่งเล่นในคาเฟ่ กินเบเกอรีรสโปรด ถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียลเอาไว้อวดใครต่อใคร
ที่นั่นคงจะทำให้เธอมีความสุขได้ อย่างน้อยก็มากกว่าที่นี่ สถานที่ที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างแบบนี้แน่ ๆ
“อ้าว น้ำฝน จะไปทำงานหรือ”
“ใช่จ้ะ พี่เมษ วันนี้ฝนเพิ่งเริ่มงานวันแรกจ้ะ”
ในขณะที่หยาดฟ้ากำลังยืนรอรถโดยสาร ชายหนุ่มรุ่นพี่ผู้คุ้นหน้าคุ้นตา และสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ก็ทักทายเธอด้วยชื่อเล่น เมื่อขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาพบเข้าพอดี
“มา ๆ ขึ้นซ้อนท้ายเลย เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ท่ารถ จะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถสองต่อ วันแรกทั้งที ไปถึงเร็วหน่อย ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยก็แล้วกัน”
“ขอบใจมากจ้ะ พี่”
แสงแดดสดใสอาบย้อมทั่วทั้งบริเวณจนสว่างไสวเจิดจ้า สายลมเอื่อยเฉื่อยแผ่วพลิ้วคลอเคลียหยอกล้อ ต้นไม้ใบไม้โบกสะบัดเอนไหว ดอกหญ้าล่องลอยลมอิสระตามแต่แรงส่งจะพาไป
เพราะอาศัยอยู่ในชนบทอย่างนี้มานาน ได้เห็นภาพซ้ำ ๆ อย่างนี้มานานแสนนานแล้ว มันนานมากไปเสียจนเธอชินชาเกินกว่าที่จะคิด หรือรู้สึกอะไรไปได้มากกว่าที่เห็น ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ แม้ใครจะว่ามันสวยงาม แต่มันก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว
ดอกไม้ก็คือดอกไม้ แม้จะปลูกเต็มพื้นที่จนดูละลานตาเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้ตื่นเต้นตื่นตาไปได้มากกว่านั้น นั่นเพราะภายในใจของเธอไม่ได้คิดจะใส่ใจในความละเอียดอ่อน ที่แสนเปราะบางและบริสุทธิ์เหล่านั้นเลย
เช่นเดียวกันกับใครบางคน ซึ่งแสดงออกอย่างเปิดเผยชัดเจนว่าเขามีใจ คอยเฝ้าดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไม่เคยห่าง ด้วยใจรักอันบริสุทธิ์ที่มั่นคงเสมอมา...แต่ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้น สุดท้ายแล้วความรู้สึกซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเขา จึงกลายเป็นสิ่งธรรมดาที่ถูกมองข้าม และไม่หลงเหลือความหมาย หรือความสำคัญใด ๆ ไว้เลยในใจของเธอ
รถมอเตอร์ไซด์แล่นเฉื่อยฉิวไปตามทาง ในขณะที่เมษละสายตาออกจากถนน มองใบหน้าของหญิงสาวทางด้านหลัง ที่สะท้อนอยู่ในกระจกมองข้าง แล้วอมยิ้มออกมาคนเดียวเป็นระยะ ๆ ในแววตาของน้ำฝนกลับสะท้อนให้เห็นแต่เพียงภาพซึ่งไกลออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ไกล...จนไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลยแม้เพียงแค่วินาทีเดียว
แสงแดดยามเช้าส่องทะลุผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เพื่อปลุกให้ผู้ที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราได้ลืมตาตื่นและลุกจากที่นอนเสียที
ภายในห้องบนชั้นที่สามสิบของคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางเมือง หญิงสาวซึ่งกำลังซุกตัวเองอยู่ใต้ผ้านวมหนา เอื้อมมือออกมากดปิดเสียงปลุกจากสมาร์ทโฟน ที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ข้าง ๆ ตัวบนเตียงนอน
ความรู้สึกหนักหน่วง เหนื่อยหน่าย แล่นเข้าจู่โจมตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตา จนแทบไม่อยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายต่อ ต้องใช้เวลาทำใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงค่อยพาตัวเองให้ลุกจากที่นอนนุ่ม และไปจัดการธุระส่วนตัวในช่วงเช้าได้สำเร็จ
กดปิดเครื่องปรับอากาศจากรีโมทคอนโทรล คว้ากระเป๋ามาสะพายไหล่ ควานหากุญแจที่เก็บไว้ในนั้นมาถือไว้ ก่อนจะออกจากห้องเพื่อตรงไปยังลานจอดรถ และขับเคลื่อนยานพาหนะให้ออกไปสู่การจราจรอันคับคั่งสับสนวุ่นวาย
ไม่ว่าจะเมื่อใด ในชั่วโมงเร่งด่วนรถราก็ติดขัดจนแทบไม่ขยับอย่างนี้เสมอ ถึงแม้จะเป็นช่วงเช้าของฤดูหนาว แต่อุณหภูมิที่กลางแจ้งซึ่งปราศจากการปรับอากาศให้เย็นฉ่ำจากแอร์คอนดิชัน ก็ร้อนไม่แตกต่างกันอย่างนี้เสมอ
แสงอาทิตย์ซึ่งแผดแรงขึ้นเป็นลำดับ ส่องทะลุผ่านชั้นฟิล์มกรองแสง พอให้ร่างกายได้รู้สึกถึงไอร้อนผ่าว ๆ ควันเสียและละอองฝุ่นซึ่งแขวนลอยไปทั่วในอากาศ ทำให้สภาพโดยรอบดูขมุกขมัว ท้องฟ้ามัวหม่นลงไปถนัดตา
ไม่มีอะไรในเวลานี้ที่สามารถจะทำได้ดีไปกว่า การนั่งเฉย ๆ สงบจิตสงบใจ และหาอะไรมองไปเรื่อย สัญญาณไฟแดงค้างเติ่งอยู่บนยอดเสาตรงกลางสี่แยกมาครู่ใหญ่แล้ว รถราต่อแถวยาวเหยียดขึ้นเรื่อย ๆ ต่างคนคงต่างอยากทะยานให้หลุดพ้นออกไปจากความน่าเบื่อหน่ายนี้เสียที
ในรถยนต์ส่วนบุคคล ในรถโดยสารประจำทางและไม่ประจำทาง บนอานรถมอเตอร์ไซด์ ที่ตรงทางเท้าทั้งสองฝั่งฟากถนน ไม่ว่าบริเวณใด ใคร ๆ ต่างก็มองตรงไปแต่เพียงด้านหน้า ด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉยราวหุ่นยนต์อันไร้ชีวิตจิตใจ
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงพูดคุย ปราศจากปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแทบจะสิ้นเชิง
ไม้สูงและไม้พุ่มตามรายทาง ที่ตั้งใจปลูกเอาไว้ทั้งตามทางเท้าและเกาะกลางถนน ทั้งหมดนั้นเพื่อหวังจะให้สีเขียวของพวกมัน ช่วยทำให้สภาพบรรยากาศของตัวเมือง ซึ่งมีแต่ตึกรามบ้านช่องและอาคารสูงใหญ่ ดูสดชื่นเขียวขจี ร่มรื่น และน่ามองขึ้น
ทว่าพืชที่ทั้งลำต้น กิ่งก้าน จนกระทั่งดอกใบ ซึ่งถูกปกคลุมฉาบเคลือบไปด้วยฝุ่นอนุภาค และไอน้ำมันอย่างนี้ มีหรือจะทำให้รู้สึกแบบนั้นได้ นอกจากจะดูไร้ชีวิตชีวาแล้ว มันก็คงรอแต่วันที่จะเหี่ยวเฉาลงไปเท่านั้นเอง
ครู่หนึ่งในขณะที่กำลังจมตัวเองอยู่ในห้วงความคิดฟุ้งซ่าน เสียงเรียกสายจากสมาร์ทโฟนก็ทำให้ได้สติกลับคืนมา ตรวจสอบรายชื่อเห็นว่าเป็นลูกน้องในฝ่ายที่ตนเองรับผิดชอบอยู่จึงกดรับสาย
“ตอนนี้กำลังขับรถอยู่ อีกครู่ใหญ่ ๆ น่าจะไปถึง แต่เวลาคงฉิวเฉียด อย่างไรก็เตรียมข้อมูลที่ขอไว้ให้พร้อมด้วยก็แล้วกัน”
พูดกลับไปเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะกดวางสาย โยนเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กกลับไปไว้ยังที่เดิม แล้วก็ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะใช้เวลาที่เหลือบนท้องถนนจนกว่าจะถึงบริษัทที่เหลืออยู่ ไปกับความร้อนรนเร่งเร้าในใจ
“สวัสดีค่ะ คุณอร”
“สวัสดีครับ หัวหน้า”
เมื่อก้าวเข้ามาในเขตของสำนักงาน ใคร ๆ ต่างก็ทักทายเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลายคนมีท่าทีพินอบพิเทาจนบ่อยครั้งเธอก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป
“สวัสดีจ้ะ”
กชอรทักทายพร้อมส่งยิ้มกลับไปให้บ้างตามมารยาท แต่แค่ไม่กี่อึดใจที่เดินผ่านลับหลังกันไป ร่อยรอยยิ้มแย้มเหล่านั้นก็ระเหิดระเหย หลงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอยู่บนสีหน้าเฉยชาจนแทบไร้อารมณ์นั้น
สายตาเหลียวมองแจกันดอกไม้ประดิษฐ์ ที่ถูกนำมาประดับไว้ตามจุดต่าง ๆ ภายในนี้ พวกมันทั้งสวยงาม คงทนยืนนาน โดยที่ไม่ต้องการการดูแล ประคบประหงมใด ๆ ให้มากมายเลย ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องมอบเวลาแห่งความรักความอบอุ่นให้ ขอเพียงมีอำนาจแห่งเงินตรา ไม่ว่าใครก็ครอบครองความงดงามแบบนี้ได้ทั้งนั้น
เพราะเธอมีตำแหน่ง มีอำนาจในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจึงพร้อมที่ยิ้มแย้มและก้มหัวให้กับเธอ โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกจริง ๆ แม้ในใจอาจกำลังคิดตรงกันข้าม แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะทำแบบนั้น...ช่างไม่ต่างอะไรกันเลย
“คุณอร ข้อมูลพร้อมแล้วครับ”
“อืม ไปรอที่ห้องประชุมก่อนเลย ขอฉันเช็คข้อมูลดูให้แน่ใจก่อน เรียบร้อยแล้วจะรีบตามไป”
“ได้ครับ”
ลูกทีมคนเดียวกันกับที่โทรฯ ไปหา ตอนที่เธอกำลังขับรถอยู่ตอบรับคำ แล้วจึงเดินแยกออกไปทางห้องประชุมก่อนแต่เพียงผู้เดียวตามคำสั่ง
เหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนทำให้เธอคิดที่จะพึ่งพาแต่ตนเอง นานวันเข้าเธอก็ละเลยจนไม่อาจวางใจใครได้อีกต่อไป
“อร วันนี้ประชุมเสร็จแล้ว พักเที่ยงเราไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหม พอดีเสิร์ชเน็ตเจอร้านน่านั่งใกล้ ๆ แถวนี้น่ะ”
“อรว่า เจตน์น่าจะรีบไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเริ่มประชุม มากกว่าจะเอาเวลามามัวแต่สนใจกับเรื่องแบบนี้นะ หรือว่าประชุมครั้งที่แล้วโดนเล่นงานไปขนาดนั้นจะยังไม่เข็ดล่ะ อย่างทำให้ฝ่ายของตัวเอง ลูกน้องของตัวเองต้องเจอปัญหานักเลย เจตน์”
รวมถึงใครบางคนที่มอบความรู้สึกพิเศษให้ เขาที่พยายามร่นระยะห่างลง เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า แต่เธอก็พร้อมที่จะเดินผ่านทุกความรู้สึกไปอย่างไม่ไยดี ไม่สนใจ ไม่ต่างอะไรสักนิดจากที่เธอมองข้ามและเดินผ่านดอกไม้ประดิษฐ์ไป
สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มีคุณค่า และไม่ได้มีความหมายใด ๆ เลยสักนิดสำหรับเธอ