- หลังจากดูจบรู้สึกเลยว่ากลิ่นอายอะไรหลายอย่างคล้าย ๆ กับเรื่อง OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ (2565) ในแง่ของความรักแบบเร่งด่วนอยู่เหมือนกัน ต่างกันตรงที่ช่วงเวลาแค่นั้น เปลี่ยนจากยุค Social มาเป็นยุค Analog และ เปลี่ยนจากความรักระหว่างเพื่อนมาเป็นความรักต่างวัยแทน รวมถึงจังหวะหรือบรรยากาศของเรื่องก็ดันใกล้เคียงกันจนอดเปรียบเทียบกันไม่ได้อีก ส่วนที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนคือมีเส้นเรื่องทับซ้อนรองรับประเด็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว , ความฝัน , อาชีพที่เกี่ยวข้องกับโลกมายา อย่างพวกสื่อโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ที่มีบทบาทสำคัญในสมัยนั้น รวมถึง อายุที่ห่างกัน เข้ามาเพิ่มมิติให้เรื่องราวมีความเป็นมนุษย์ที่สามารถจับต้องได้ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปสู่การเติบโต มุมมอง ทัศนคติ หรือ การเปลี่ยนผ่านเหตุการณ์ที่รายล้อมด้วยผลประโยชน์อันซับซ้อนตามมาจากคนมีชื่อเสียงหรือเสิร์ฟสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้นมาแทรกเรื่อย ๆ (ที่ไม่ได้สร้างความตกอกตกใจเหมือนพวกหนัง Action หรือ Horror อะไรนั้น) มากกว่าการมุ่งที่ไปความรักเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็ปฎิเสธไม่ได้อีกว่าเวลาดูไปนึกถึงเพลง คืนวันศุกร์ ของ Bowkylion X The Toys ดังขึ้นมาในหัวตลอดเวลาเช่นกัน
- ส่วนตัวผมไม่ได้เป็น FC ผลงานของผู้กำกับ Paul Thomas Anderson แต่อย่างไร เคยดูแค่เรื่องเดียวก็คือ Inherent Vice (2014) เลยไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องไหนยอดเยี่ยมที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว แต่สิ่งที่พอจะสัมผัสสไตล์งานกำกับของแกจากเรื่องนั้นได้อยู่ก็คือ ยังคงสไตล์การเดินเรื่องกึ่ง ๆ ตลกร้ายผสมกับความเป็น American Citizen เฉพาะตัวได้ดีอยู่ แต่เรื่องนี้เข้าทางโทนประเภทนี้อยู่แล้วทำให้อารมณ์ที่ถ่ายทอดผ่านมุกตลกหรือจังหวะเลิ่กลั่กออกมามันดู Smooth ละมุนและกลมกล่อมเต็มไปหมด ถามว่าดูง่ายมั้ย ผมว่าดูง่ายกว่าเรื่องก่อนหน้านั้นที่ดู (หรืออาจจะผลงานที่ผ่านมาทั้งหมดก็เป็นได้) แต่ไม่ค่อยลื่นไหลซะเท่าไหร่ บางฉากมีความเป็นส่วนตัวของผู้กำกับสูงเกินไป เวลาดูจึงค่อนข้างงง ๆ กับการตีความไปซักหน่อย มุกตลกหน้าตายของตัวละครที่ไม่ค่อยเก็ตไม่ค่อยขำบ้างบางฉากแต่ชวนอมยิ้มเป็นระยะ โดยเฉพาะมุก American Citizen นี้จิกกัดได้แสบใช่ย่อยเหมือนรู้สึกเหมือนถูกหลอกด่าอยู่ยังไงไม่รู้ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเก็ตกับมุกพวกนี้เท่าไหร่ เนื่องด้วยเหตุการณ์ในเรื่องมัน Out ไปตั้งแต่ยุค 70s โน้นก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวไปหน่อย บางอย่างก็พอจะรู้ความเป็น Pop Culture อะไรของเขาบ้างพอประมาณ ถ้าคนที่เสพพวกวัฒนธรรมประวัติศาสตร์อเมริกามาตลอดนี้ จะเข้าใจได้ทันทีว่าหนังมันกำลังสื่อถึงอะไรอยู่
- ผมเพิ่งรู้ว่าผู้กำกับ Paul เคยกำกับ Music Videos ให้กับวง Haim มาก่อน พอได้โอกาสก็เลยจับมาแสดงร่วมกันในเรื่องนี้ซะเลย แถมเป็นการ Debut จากนักดนตรีไปสู่นักแสดงเป็นครั้งแรกของพวกเธออีกด้วย ซึ่งคนที่ได้รับบทนำไปก็คือ Alana Haim คนกลางของบ้าน โดยมี 2 สาว รวมถึงพ่อ-แม่ของเธอจริง ๆ รับบทเป็นสมาชิกในครอบครัวตามลำดับ ซึ่งเธอแสดงดีมาก เข้ากับบทที่ได้รับอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าบอกว่าเรื่องนี้เป็นชีวประวัติของเธอก็น่าเชื่ออยู่หรอก ส่วน Cooper Hoffmann ลูกชายของ Phillip Seymour Hoffmann ก็เพิ่งมา Debut เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน แสดงความเป็นเด็กม.ต้น หาญกล้าไปจีบสาวรุ่นพี่วัย 25 ได้ยียวนกวนโอ๊ยดี ฝีมือมีความคล้ายพ่อไม่น้อย แม้ว่าหน้าตาจะไปทางเด็กมัธยมปลายแล้วก็ตาม เวลาประกบร่วมกับ Alana รู้สึกว่ามีเคมีความต่างวัยฟรุ้งฟริ้งเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดที่มีโปรไฟล์ Support พอที่จะยืนเทียบเท่ากับเธอได้ ส่วนดาราสมทบชื่อดังท่านอื่น อย่างเช่น Sean Penn, Benny Safdie หรือแม้แต่ Bradley Cooper เหมือนรับจ๊อบเสริมหลังว่างเว้นจากถ่ายหนัง บางคนบทแทบไม่มีอะไรให้จดจำนอกจากทำหน้าที่เป็นบันไดมาเสริมให้พระ-นางได้ก้าวต่อไปแค่นั้น แต่ยอมรับว่าแต่ละคนที่มาปรากฎไม่กี่ฉากทุ่มสุดตัวกับบทที่ได้รับจริง ๆ
- สรุป ปานกลาง ไม่ได้ประทับใจที่สุดและไม่ได้แย่แต่ชอบกลิ่นอายของเรื่องที่ปรุงแต่งได้มีสีสัน มีชีวิตชีวา แม้เส้นเรื่องมีง่าย ๆ นิดเดียวแต่มีเหตุการณ์มากมายนำพาไปจนทำให้เส้นเรื่องมันใหญ่โตตามไปด้วยแต่บทสรุปหาทางจบลงได้ดีตามสไตล์แนวนี้โดยไม่ค่อยคาดเดาเท่าไหร่ เพียงแค่ว่าสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่ได้ตามใจกับคนดูทุกคนแต่กลับเลือกที่จะส่งสารเพื่อให้คนดูนำไปเก็บไปคิดต่อกันเองว่าคนไหนจะตรัสรู้กันได้มากน้อยแค่ไหน โอเคว่าหนังทำหน้าที่ซื่อตรงกับบท ระหว่างทางทำให้เรารื่นเริงไปกับเสียงเพลง เสพติดความหรูหราของสังคม Old School จนทำให้คิดถึงวันวานในอดีตอีกครั้ง แต่ระหว่างทาง 2 ชั่วโมง 13 นาทีที่หนังเลือกเดินไปแวะข้างทางกับบรรยากาศในสมัยนั้นเป็นส่วนใหญ่จนทำให้เรื่องมันยืดยาวเข้าไปอีกจนแทบจะกลายเป็นโฆษณาหมู่บ้านจัดสรรย้อนยุคที่จัดฉายในหอจดหมายเหตุยังไงยังงั้น แม้ว่ามีการกล่าวถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นแต่เอามาเป็นข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือยืนยันได้จริงแล้วผ่านพ้นไป ทั้ง ๆ ที่ประเด็นจริง ๆ มีแค่เด็กเห่อ
คนหนึ่งที่อยากข้ามรุ่นจีบสาวรุ่นพี่แค่นั้น แต่ก็ทำได้ไม่สุดเท่าไหร่ แต่ได้ความเคมีของ Alana กับ Cooper ช่วยประคองทั้งเรื่องได้อยู่หมัดเลยรอดตัวไป บทสรุปที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องจบลงแบบนี้ แต่เหมือนว่าหนังหมดแรงในการสร้าง Impression ร่วมกับคนดูให้ตราตรึงไปกับมันได้ จึงค่อนข้างจืดชืดกันอย่างที่เห็น ถ้าคนยุคเบบี้บูม หรือ Gen X มาดูจะรู้สึกถวิลหาอดีตได้ง่ายกว่าคนเจน Y เจน Z ลงไปที่มาดูก็คงจะอารมณ์เหมือนเสพงานศิลปะเฉย ๆ จากนั้นก็ลืมมันไปเสียแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] ์No.40 Licorice Pizza : รักจังโอ๊ย..ทำไมมัน..ผิดจังหว๊า
- หลังจากดูจบรู้สึกเลยว่ากลิ่นอายอะไรหลายอย่างคล้าย ๆ กับเรื่อง OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ (2565) ในแง่ของความรักแบบเร่งด่วนอยู่เหมือนกัน ต่างกันตรงที่ช่วงเวลาแค่นั้น เปลี่ยนจากยุค Social มาเป็นยุค Analog และ เปลี่ยนจากความรักระหว่างเพื่อนมาเป็นความรักต่างวัยแทน รวมถึงจังหวะหรือบรรยากาศของเรื่องก็ดันใกล้เคียงกันจนอดเปรียบเทียบกันไม่ได้อีก ส่วนที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนคือมีเส้นเรื่องทับซ้อนรองรับประเด็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว , ความฝัน , อาชีพที่เกี่ยวข้องกับโลกมายา อย่างพวกสื่อโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ที่มีบทบาทสำคัญในสมัยนั้น รวมถึง อายุที่ห่างกัน เข้ามาเพิ่มมิติให้เรื่องราวมีความเป็นมนุษย์ที่สามารถจับต้องได้ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปสู่การเติบโต มุมมอง ทัศนคติ หรือ การเปลี่ยนผ่านเหตุการณ์ที่รายล้อมด้วยผลประโยชน์อันซับซ้อนตามมาจากคนมีชื่อเสียงหรือเสิร์ฟสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้นมาแทรกเรื่อย ๆ (ที่ไม่ได้สร้างความตกอกตกใจเหมือนพวกหนัง Action หรือ Horror อะไรนั้น) มากกว่าการมุ่งที่ไปความรักเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็ปฎิเสธไม่ได้อีกว่าเวลาดูไปนึกถึงเพลง คืนวันศุกร์ ของ Bowkylion X The Toys ดังขึ้นมาในหัวตลอดเวลาเช่นกัน
- ส่วนตัวผมไม่ได้เป็น FC ผลงานของผู้กำกับ Paul Thomas Anderson แต่อย่างไร เคยดูแค่เรื่องเดียวก็คือ Inherent Vice (2014) เลยไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องไหนยอดเยี่ยมที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว แต่สิ่งที่พอจะสัมผัสสไตล์งานกำกับของแกจากเรื่องนั้นได้อยู่ก็คือ ยังคงสไตล์การเดินเรื่องกึ่ง ๆ ตลกร้ายผสมกับความเป็น American Citizen เฉพาะตัวได้ดีอยู่ แต่เรื่องนี้เข้าทางโทนประเภทนี้อยู่แล้วทำให้อารมณ์ที่ถ่ายทอดผ่านมุกตลกหรือจังหวะเลิ่กลั่กออกมามันดู Smooth ละมุนและกลมกล่อมเต็มไปหมด ถามว่าดูง่ายมั้ย ผมว่าดูง่ายกว่าเรื่องก่อนหน้านั้นที่ดู (หรืออาจจะผลงานที่ผ่านมาทั้งหมดก็เป็นได้) แต่ไม่ค่อยลื่นไหลซะเท่าไหร่ บางฉากมีความเป็นส่วนตัวของผู้กำกับสูงเกินไป เวลาดูจึงค่อนข้างงง ๆ กับการตีความไปซักหน่อย มุกตลกหน้าตายของตัวละครที่ไม่ค่อยเก็ตไม่ค่อยขำบ้างบางฉากแต่ชวนอมยิ้มเป็นระยะ โดยเฉพาะมุก American Citizen นี้จิกกัดได้แสบใช่ย่อยเหมือนรู้สึกเหมือนถูกหลอกด่าอยู่ยังไงไม่รู้ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเก็ตกับมุกพวกนี้เท่าไหร่ เนื่องด้วยเหตุการณ์ในเรื่องมัน Out ไปตั้งแต่ยุค 70s โน้นก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวไปหน่อย บางอย่างก็พอจะรู้ความเป็น Pop Culture อะไรของเขาบ้างพอประมาณ ถ้าคนที่เสพพวกวัฒนธรรมประวัติศาสตร์อเมริกามาตลอดนี้ จะเข้าใจได้ทันทีว่าหนังมันกำลังสื่อถึงอะไรอยู่
- ผมเพิ่งรู้ว่าผู้กำกับ Paul เคยกำกับ Music Videos ให้กับวง Haim มาก่อน พอได้โอกาสก็เลยจับมาแสดงร่วมกันในเรื่องนี้ซะเลย แถมเป็นการ Debut จากนักดนตรีไปสู่นักแสดงเป็นครั้งแรกของพวกเธออีกด้วย ซึ่งคนที่ได้รับบทนำไปก็คือ Alana Haim คนกลางของบ้าน โดยมี 2 สาว รวมถึงพ่อ-แม่ของเธอจริง ๆ รับบทเป็นสมาชิกในครอบครัวตามลำดับ ซึ่งเธอแสดงดีมาก เข้ากับบทที่ได้รับอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าบอกว่าเรื่องนี้เป็นชีวประวัติของเธอก็น่าเชื่ออยู่หรอก ส่วน Cooper Hoffmann ลูกชายของ Phillip Seymour Hoffmann ก็เพิ่งมา Debut เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน แสดงความเป็นเด็กม.ต้น หาญกล้าไปจีบสาวรุ่นพี่วัย 25 ได้ยียวนกวนโอ๊ยดี ฝีมือมีความคล้ายพ่อไม่น้อย แม้ว่าหน้าตาจะไปทางเด็กมัธยมปลายแล้วก็ตาม เวลาประกบร่วมกับ Alana รู้สึกว่ามีเคมีความต่างวัยฟรุ้งฟริ้งเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดที่มีโปรไฟล์ Support พอที่จะยืนเทียบเท่ากับเธอได้ ส่วนดาราสมทบชื่อดังท่านอื่น อย่างเช่น Sean Penn, Benny Safdie หรือแม้แต่ Bradley Cooper เหมือนรับจ๊อบเสริมหลังว่างเว้นจากถ่ายหนัง บางคนบทแทบไม่มีอะไรให้จดจำนอกจากทำหน้าที่เป็นบันไดมาเสริมให้พระ-นางได้ก้าวต่อไปแค่นั้น แต่ยอมรับว่าแต่ละคนที่มาปรากฎไม่กี่ฉากทุ่มสุดตัวกับบทที่ได้รับจริง ๆ
- สรุป ปานกลาง ไม่ได้ประทับใจที่สุดและไม่ได้แย่แต่ชอบกลิ่นอายของเรื่องที่ปรุงแต่งได้มีสีสัน มีชีวิตชีวา แม้เส้นเรื่องมีง่าย ๆ นิดเดียวแต่มีเหตุการณ์มากมายนำพาไปจนทำให้เส้นเรื่องมันใหญ่โตตามไปด้วยแต่บทสรุปหาทางจบลงได้ดีตามสไตล์แนวนี้โดยไม่ค่อยคาดเดาเท่าไหร่ เพียงแค่ว่าสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่ได้ตามใจกับคนดูทุกคนแต่กลับเลือกที่จะส่งสารเพื่อให้คนดูนำไปเก็บไปคิดต่อกันเองว่าคนไหนจะตรัสรู้กันได้มากน้อยแค่ไหน โอเคว่าหนังทำหน้าที่ซื่อตรงกับบท ระหว่างทางทำให้เรารื่นเริงไปกับเสียงเพลง เสพติดความหรูหราของสังคม Old School จนทำให้คิดถึงวันวานในอดีตอีกครั้ง แต่ระหว่างทาง 2 ชั่วโมง 13 นาทีที่หนังเลือกเดินไปแวะข้างทางกับบรรยากาศในสมัยนั้นเป็นส่วนใหญ่จนทำให้เรื่องมันยืดยาวเข้าไปอีกจนแทบจะกลายเป็นโฆษณาหมู่บ้านจัดสรรย้อนยุคที่จัดฉายในหอจดหมายเหตุยังไงยังงั้น แม้ว่ามีการกล่าวถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นแต่เอามาเป็นข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือยืนยันได้จริงแล้วผ่านพ้นไป ทั้ง ๆ ที่ประเด็นจริง ๆ มีแค่เด็กเห่อคนหนึ่งที่อยากข้ามรุ่นจีบสาวรุ่นพี่แค่นั้น แต่ก็ทำได้ไม่สุดเท่าไหร่ แต่ได้ความเคมีของ Alana กับ Cooper ช่วยประคองทั้งเรื่องได้อยู่หมัดเลยรอดตัวไป บทสรุปที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องจบลงแบบนี้ แต่เหมือนว่าหนังหมดแรงในการสร้าง Impression ร่วมกับคนดูให้ตราตรึงไปกับมันได้ จึงค่อนข้างจืดชืดกันอย่างที่เห็น ถ้าคนยุคเบบี้บูม หรือ Gen X มาดูจะรู้สึกถวิลหาอดีตได้ง่ายกว่าคนเจน Y เจน Z ลงไปที่มาดูก็คงจะอารมณ์เหมือนเสพงานศิลปะเฉย ๆ จากนั้นก็ลืมมันไปเสียแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้