หลังจากฝ่าฟัน TOEFL, GMAT, prepare Bs/Ms/PhD application, หา scholarship, defense dissertation นร ทุกคนก็ออกมาสู่โลกความเป็นจริง คือการทำงาน จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นมา นร ป ตรี ต่างชาติ ส่วนมากจะกลับไปทำงานที่ประเทศบ้านเกิด ด้วยอาจจะหางานไม่ได้หรือคิดถึงบ้าน ในขณะที่ นร ป โท เอก จะสามารถมีโอกาสอยู่ทำงานได้มากกว่า หลังจากได้งานแล้ว ก็ยังมีอีก 1 challenge คือ working status
นักเรียนตามระบบส่วนมากคือใช้ OPT หลังเรียนจบ 1-3 ปี แล้วแต่สายงาน ระหว่างนั้น ถ้าแพลนจะอยู่ยาว ก็ต้องหาทางขยับขยาย ส่วนมากจะเป็น H1B แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องใช้ EB-X greencard สำหรับคนทำงาน (X = 1, 2, 3 แล้วแต่กรณีส่วนบุคคล)
แต่ 1 ปัญหาที่หลายคนไม่เคยรู้ ถ้าไม่เจอกับตัวเองคือ greencard ใช้เวลาดำเนินการนาน อย่าง EB1 ที่เร็วที่สุดคือ 8-23 เดือน ถ้า working status หมดระหว่างนั้นล่ะ? คำตอบก็คือก็ไม่สามารถทำงานได้ วิธีแก้ปัญหาก็มีหลายรูปแบบ เช่น
1. หยุดทำงานไปจนกว่า GC จะมา ส่วนตัวเจอเคสแบบนี้ประมาณ 3-4 ราย หลายๆคนไม่ได้เสียใจ แต่ดีใจด้วยซ้ำ ถือโอกาสบังคับให้บริษัทให้ PTO หรือ LWOP
2. กลับไปประเทศต้นกำเนิด และให้บริษัทจ้างงานกลับมาใน US ทำ remote ไป
3. ทำ O-1 visa ซึ่งจะได้รับอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน ถ้าจ่ายพรีเมี่ยม
—————————————
O-1 Visa: Individuals with Extraordinary Ability or Achievement คืออะไร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://www.uscis.gov/working-in-the-united-states/temporary-workers/o-1-visa-individuals-with-extraordinary-ability-or-achievement
ความแปลกของ visa นี้ คือไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่ นรและคนทำงานต่างชาติ ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่ได้อย่างรวดเร็วและอัตราประสบความสำเร็จสูง (over 90% in recent years)
ข้อจำกัดของ O-1:
- คนอื่น (บริษัท) ต้อง sponsor ไม่เหมือน EB1 ที่ยื่นให้ตัวเอง หลายคนอาจจะคิดว่าถ้า case strong พอที่จะขอ EB1 ก็ต้องหางานที่สปอนเซอ O-Visa ได้สิ จะบอกว่าความจริงกับความคิดไม่เหมือนกัน ส่วนตัวเจอเคส PhDโดน layoff จากบริษัท ทำงานไม่ได้ OPT หมด จับฉลาก H1B ไม่ได้ ต้องหยุดงานรอ EB1 ที่ยื่นไป
- คู่สมรสไม่สามารถทำงานได้ ถ้าสามี/ภรรยา จะทำงาน เขาต้องมี work permit visa ของเขาเอง
- Requirements ที่อาจจะมองดูว่ายาก แต่ถ้าคุณอยู่ระหว่างยื่น EB1 or EB2 แสดงว่าเคสคุณเพียงพอที่จะยื่น visa O แล้ว เพราะมันแทบจะ requirement เดียวกัน ต่างกันที่ immigrant กับ non-immigrant visa ระยะเวลาและความเข้มงวดของ process เลยต่างกัน ปรึกษาทนายเกี่ยวกับ wording การตีความ เพื่อ build a strong case บางครั้งเราก็ต้องคิดไปมากกว่าทนาย เพราะเราคือคนได้เสียผลประโยชน์ ทนายบางทีเขาก็แค่ทำงานไปตามหน้าที่
ตัวอย่าง evidence ที่อาจฟังเลิศหรู แต่จริงๆแล้ว เราแค่ต้องลงมือทำ เพราะคนส่วนมากกลัวและไม่ทำกัน
- awards ต่างๆ เช่น dissertation award, conference paper award, fellowship, grants, funding award ต่างๆ คือมันต้องมีสักคนที่ได้ awards ถ้าเราทำครบตาม requirement ก็ส่งไป ความจริงจากการเป็น reviewer ที่เห็นงานของคนอื่นๆพบว่าส่วนมากแล้ว ที่เข้าข่ายว่าแข่งกันจริงๆ มีไม่ถึง 5 คน คนส่วนมากไม่ meet requirements ด้วยซ้ำ
- outstanding achievements of members in associations in the field วิธีไม่ยาก ไม่ง่าย แต่ต้องลงแรง มั่นแสดงตัว เหมือนจีบสาว วิธีการที่จะเป็น member ที่มีบทบาทได้ คือต้องเข้าไปเป็นบอร์ดบริหาร ฟังอลังการอีกแล้วใช่มั้ย? แต่ในหลายๆ academic associations มันจะมีตำแหน่งพวก graduate representative เป็นโอกาสเดียวที่พวกเด็กๆไปนั่งกับพวกบอร์ด เป็น voice ที่ reflect ความต้องการของ new gen ข้อดีของตำแหน่งนี้มี 2 ประการ อย่างแรกคือเราเป็น member ที่สามารถแสดง outstanding achievement ได้ ภายใต้ข้อจำกัดที่เรามี อย่างสอง พวกในบอร์ดคือ big name ในสายอาชีพ มีคอนเนคชั่นไว้ในเขียนจดหมาย รีวิวเปเปอร์
- judge of the work of others in the same field สมัครไปเป็น conference reviewers ใช้ connection จาก big name ไปเป็นผู้ช่วย publication reviewers
Evidence อย่างอื่น อาจจะยากสักหน่อย ใช้เวลาสะสม ทำได้หลังเรียนจบ เช่น ตำแหน่งสูงๆ เงินเดือนสูงๆ ปีแรกก็ล้มลุก มั่วๆหน่อย ปีที่ 2+ ของการทำงานก็ควรจะเริ่ม stable และมีในส่วนนี้ วิธี build case ในส่วนนี้เน้น quantitative data เป็นหลักควบคู่การบรรยาย เช่น scope งานเป็นยังไง impact ที่สร้าง ระดับอำนาจการจัดสินใจ จำนวนลูกน้องตรง ลูกน้องอ้อม เงินเดือนเทียบกับคนใน field top% อาจเอา time dimension มาเกี่ยวด้วย เช่น เงินเราอาจเป็น top 10% ในสาย แต่เราทำงานมาแค่ 3 ปี ซึ่งเทียบกับคนที่มี 3 y work exp เราคือ top 1% ในส่วนการเล่าเรื่อง build case เป็นกรณีเฉพาะบุคคล ที่เราต้องนัดคุยกับทนายบ่อยๆ
หลังได้ O ก็อยู่ยาวๆได้ 3 ปี ถ้าไม่โชคร้ายจัด เช่น โควิทถล่มอีกรอบ EB-X GC ควรมาถึงภายใน 3 ปี สำหรับคนไทย
O-1 Visa วีซ่าทำงาน ที่คนทำงานใน US ก็ไม่รู้จัก
นักเรียนตามระบบส่วนมากคือใช้ OPT หลังเรียนจบ 1-3 ปี แล้วแต่สายงาน ระหว่างนั้น ถ้าแพลนจะอยู่ยาว ก็ต้องหาทางขยับขยาย ส่วนมากจะเป็น H1B แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องใช้ EB-X greencard สำหรับคนทำงาน (X = 1, 2, 3 แล้วแต่กรณีส่วนบุคคล)
แต่ 1 ปัญหาที่หลายคนไม่เคยรู้ ถ้าไม่เจอกับตัวเองคือ greencard ใช้เวลาดำเนินการนาน อย่าง EB1 ที่เร็วที่สุดคือ 8-23 เดือน ถ้า working status หมดระหว่างนั้นล่ะ? คำตอบก็คือก็ไม่สามารถทำงานได้ วิธีแก้ปัญหาก็มีหลายรูปแบบ เช่น
1. หยุดทำงานไปจนกว่า GC จะมา ส่วนตัวเจอเคสแบบนี้ประมาณ 3-4 ราย หลายๆคนไม่ได้เสียใจ แต่ดีใจด้วยซ้ำ ถือโอกาสบังคับให้บริษัทให้ PTO หรือ LWOP
2. กลับไปประเทศต้นกำเนิด และให้บริษัทจ้างงานกลับมาใน US ทำ remote ไป
3. ทำ O-1 visa ซึ่งจะได้รับอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน ถ้าจ่ายพรีเมี่ยม
—————————————
O-1 Visa: Individuals with Extraordinary Ability or Achievement คืออะไร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความแปลกของ visa นี้ คือไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่ นรและคนทำงานต่างชาติ ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่ได้อย่างรวดเร็วและอัตราประสบความสำเร็จสูง (over 90% in recent years)
ข้อจำกัดของ O-1:
- คนอื่น (บริษัท) ต้อง sponsor ไม่เหมือน EB1 ที่ยื่นให้ตัวเอง หลายคนอาจจะคิดว่าถ้า case strong พอที่จะขอ EB1 ก็ต้องหางานที่สปอนเซอ O-Visa ได้สิ จะบอกว่าความจริงกับความคิดไม่เหมือนกัน ส่วนตัวเจอเคส PhDโดน layoff จากบริษัท ทำงานไม่ได้ OPT หมด จับฉลาก H1B ไม่ได้ ต้องหยุดงานรอ EB1 ที่ยื่นไป
- คู่สมรสไม่สามารถทำงานได้ ถ้าสามี/ภรรยา จะทำงาน เขาต้องมี work permit visa ของเขาเอง
- Requirements ที่อาจจะมองดูว่ายาก แต่ถ้าคุณอยู่ระหว่างยื่น EB1 or EB2 แสดงว่าเคสคุณเพียงพอที่จะยื่น visa O แล้ว เพราะมันแทบจะ requirement เดียวกัน ต่างกันที่ immigrant กับ non-immigrant visa ระยะเวลาและความเข้มงวดของ process เลยต่างกัน ปรึกษาทนายเกี่ยวกับ wording การตีความ เพื่อ build a strong case บางครั้งเราก็ต้องคิดไปมากกว่าทนาย เพราะเราคือคนได้เสียผลประโยชน์ ทนายบางทีเขาก็แค่ทำงานไปตามหน้าที่
ตัวอย่าง evidence ที่อาจฟังเลิศหรู แต่จริงๆแล้ว เราแค่ต้องลงมือทำ เพราะคนส่วนมากกลัวและไม่ทำกัน
- awards ต่างๆ เช่น dissertation award, conference paper award, fellowship, grants, funding award ต่างๆ คือมันต้องมีสักคนที่ได้ awards ถ้าเราทำครบตาม requirement ก็ส่งไป ความจริงจากการเป็น reviewer ที่เห็นงานของคนอื่นๆพบว่าส่วนมากแล้ว ที่เข้าข่ายว่าแข่งกันจริงๆ มีไม่ถึง 5 คน คนส่วนมากไม่ meet requirements ด้วยซ้ำ
- outstanding achievements of members in associations in the field วิธีไม่ยาก ไม่ง่าย แต่ต้องลงแรง มั่นแสดงตัว เหมือนจีบสาว วิธีการที่จะเป็น member ที่มีบทบาทได้ คือต้องเข้าไปเป็นบอร์ดบริหาร ฟังอลังการอีกแล้วใช่มั้ย? แต่ในหลายๆ academic associations มันจะมีตำแหน่งพวก graduate representative เป็นโอกาสเดียวที่พวกเด็กๆไปนั่งกับพวกบอร์ด เป็น voice ที่ reflect ความต้องการของ new gen ข้อดีของตำแหน่งนี้มี 2 ประการ อย่างแรกคือเราเป็น member ที่สามารถแสดง outstanding achievement ได้ ภายใต้ข้อจำกัดที่เรามี อย่างสอง พวกในบอร์ดคือ big name ในสายอาชีพ มีคอนเนคชั่นไว้ในเขียนจดหมาย รีวิวเปเปอร์
- judge of the work of others in the same field สมัครไปเป็น conference reviewers ใช้ connection จาก big name ไปเป็นผู้ช่วย publication reviewers
Evidence อย่างอื่น อาจจะยากสักหน่อย ใช้เวลาสะสม ทำได้หลังเรียนจบ เช่น ตำแหน่งสูงๆ เงินเดือนสูงๆ ปีแรกก็ล้มลุก มั่วๆหน่อย ปีที่ 2+ ของการทำงานก็ควรจะเริ่ม stable และมีในส่วนนี้ วิธี build case ในส่วนนี้เน้น quantitative data เป็นหลักควบคู่การบรรยาย เช่น scope งานเป็นยังไง impact ที่สร้าง ระดับอำนาจการจัดสินใจ จำนวนลูกน้องตรง ลูกน้องอ้อม เงินเดือนเทียบกับคนใน field top% อาจเอา time dimension มาเกี่ยวด้วย เช่น เงินเราอาจเป็น top 10% ในสาย แต่เราทำงานมาแค่ 3 ปี ซึ่งเทียบกับคนที่มี 3 y work exp เราคือ top 1% ในส่วนการเล่าเรื่อง build case เป็นกรณีเฉพาะบุคคล ที่เราต้องนัดคุยกับทนายบ่อยๆ
หลังได้ O ก็อยู่ยาวๆได้ 3 ปี ถ้าไม่โชคร้ายจัด เช่น โควิทถล่มอีกรอบ EB-X GC ควรมาถึงภายใน 3 ปี สำหรับคนไทย