หนีพ้น ?
ดรัสวันต์
เรื่องสั้นนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่จิตอ่อนหรือไม่อยากรับรู้เรื่องราวสยดสยอง
เราเตือนคุณแล้ว
**************************************
เวทย์ดับไฟดวงสุดท้ายเมื่อเวลาสี่ทุ่ม เขาอ่านหนังสือจนแสบตาไปหมดแล้ว บ้านป่าที่ไม่มีทีวีหรือความบันเทิงใดๆ ทำให้เวทย์มีเพียงหนังสือเท่านั้นที่เป็นเพื่อนในยามกลางคืนที่สงัดเงียบ แม้จะเป็นชีวิตที่น่าเบื่อสำหรับคนกรุงเทพฯ อย่างเขา แต่เขาก็ต้องจำยอมอดทนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
กระต๊อบแคบๆ ของคนเฝ้ากระชังปลาที่เขาได้มาอาศัยหลบภัยจากผู้มีอิทธิพลที่โดนเขาเปิดโปงเรื่องฉ้อโกงนั้น แม้จะไม่สุขสบาย แต่มันทำให้เวทย์มั่นใจว่าจะไม่มีใครตามหาเขาเจอ
เวทย์เคยเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำการค้าด้วยการหลอกลวงประชาชนตาดำๆ ให้มาร่วมลงทุน เขาทนเห็นความอยุติธรรม ทนเห็นชาวบ้านที่หวังจะรวยทางลัดนำเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนแล้วหมดเนื้อหมดตัวแบบนี้ไม่ไหว เขาจึงไปแจ้งตำรวจและพยายามเปิดโปงความชั่วร้ายของบริษัทแห่งนี้เพื่อไม่ให้มีคนบริสุทธิ์มาถูกหลอกอีก แต่เป็นความโชคร้ายที่เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผู้ที่หนุนหลังบริษัทแห่งนี้เป็นนายตำรวจยศใหญ่
เรื่องราวทุจริตของบริษัทนี้จึงเงียบหายไป
และเขาถูกตามเก็บ
เสียงเครื่องยนต์ปลุกให้เวทย์ตื่นขึ้นมากลางดึก ระยะหลังมานี่ ชายหนุ่มนอนไวเสมอ คนที่มีชนักติดหลังอย่างเขา ขืนมัวแต่หลับอุตุ ก็คงถูกฆ่าตาย หรือไม่ก็เป็นเพราะความระแวงที่ทำให้เขาไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืน ฉะนั้นพอมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น เวทย์จึงพยายามเงี่ยหูฟังว่ามันคืออะไร จะเป็นเสียงเรือที่แล่นมาในคลองข้างๆ หรือเสียงรถยนต์กันแน่
เขาขยับลุกออกจากมุ้งไปแอบดูที่หน้าต่าง แสงไฟหรี่ของรถยนต์กำลังแล่นเข้ามาตามถนนที่เป็นทางตัน เวทย์หันไปคว้ามีดพร้าขนาดเหมาะมือที่เขาเก็บไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา หัวใจเต้นแรงและเหงื่อเริ่มซึม ถามตัวเองว่าคนพวกนี้เป็นใคร มันเข้ามาในถนนสายเปลี่ยวของป่าโกงกางนี้เพื่ออะไร โดยเฉพาะในเวลาวิกาลเช่นนี้ รึว่าพวกมันคือคนที่ตามล่าเอาชีวิตเขา
เวทย์จ้องมองแสงไฟรถยนต์ที่กำลังแล่นผ่านป่าโกงกางมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งมาจอดสนิทที่ปลายสุดถนนที่จบลงด้วยคลอง จากปลายถนนนั่นต้องเดินต่อมาตามคันดินถึงจะมาถึงกระต๊อบที่เขาแอบอยู่นี่ได้ ถ้าคนในรถต้องการมาเอาชีวิตเขาแล้วละก้อ มันคงไม่สามารถเข้ามาได้อย่างรวดเร็วนักเพราะกว่าจะเดินผ่านคันดินแคบๆ เข้ามาได้ เขาก็คงหนีไปได้ไกลยังจุดหลบภัยที่เขาเตรียมไว้ได้ก่อนที่พวกมันจะมาถึง
แต่ยังก่อน เขาจะรอดูทีท่าว่ารถกระบะคันนี้เข้ามาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
มีผู้ชายสองคนเดินลงมารถ เวทย์กำมีดในมือแน่น ตาจ้องเขม็งไปข้างหน้า แสงไฟจากรถแม้จะเป็นไฟหรี่ แต่ก็สว่างพอให้เขามองเห็นว่าพวกมันเดินไปที่ท้ายกระบะ เปิดออกแล้วช่วยกันลากของบางอย่างออกมา ดูคล้ายว่าจะเป็นม้วนเสื่อที่หนักพอสมควรที่ผู้ชายสองคนต้องช่วยกันหามหัวท้าย
“ทิ้งแถวนี้หรือวะ” เสียงคนหนึ่งแว่วมาให้เขาได้ยิน
“ทิ้งในป่าโกงกางนี่ล่ะ แถวนี้ไม่มีใครผ่านเข้ามาอยู่แล้วเพราะเป็นทางตัน เดี๋ยวกุ้ง หอย ปู ปลา มันก็มาช่วยทำลายหลักฐานเอง” สำเนียงภาษาใต้ที่แม้จะรัวเร็ว แต่ครั้งหนึ่งที่เวทย์เคยมาเรียนหนังสือที่จังหวัดสงขลาถึงสี่ปี ทำให้เขาคุ้นชินกับสำเนียงนี้ และฟังออกว่าทั้งสองกำลังพูดอะไรกัน
ตอนนี้เวทย์แน่ใจแล้วว่าคนพวกนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะมาทำร้ายเขา แต่พวกมันกำลังนำบางสิ่งบางอย่างมาทิ้ง ซึ่งอาจเป็นของผิดกฎหมายก็เป็นได้ เขาเห็นผู้ชายทั้งสองนั่นโยนของที่ถูกห่ออยู่ในเสื่อนั้นเข้าไปในป่าโกงกางที่แน่นทึบ เสียงของหล่นกระทบพื้นที่เป็นดินโคลนฉ่ำน้ำนั้นไม่ดังนักแต่ก็ทำให้น้ำในบริเวณนั้นกระจายออก
“เอ็งแน่ใจหรือวะว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ข้าจำได้ว่าแถวนี้มีกระชังปลาของชาวบ้านอยู่นา ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเข้าออกที่นี่”
“กระชังมันร้างไปแล้ว เจ้าของแม่ ....ง มันไม่มาหรอก มันไปแสวงบุญที่เมกกะยังไม่กลับ หรือไม่ป่านนี้มันก็ตายห่าไปแล้ว เห็นข่าวไหม ที่มีอาคารถล่มทับผู้แสวงบุญที่เมกกะ”
“แสดงว่าเอ็งรู้จักเจ้าของกระชังละซิ”
“ไม่รู้หรอก ได้ยินคนเขาพูดกัน เฮ้ย อย่ามัวแต่ถามอยู่เลยวะ รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวมีใครมาเห็นละซวยกันพอดี”
คนทั้งสองกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นนานหลายนาทีแล้ว แต่เวทย์ยังคงนิ่งขึ้งตัดสินใจไม่ถูกว่าเขาควรจะทำอย่างไร ส่วนหนึ่งโล่งอกที่พวกนั้นไม่ได้มาตามล่าเขา แต่เขาควรจะนอนต่อหรือออกไปดูว่าสิ่งที่ถูกนำมาทิ้งนั่นคืออะไร ของผิดกฎหมายหรือยาบ้า ยาเสพติด ไม่ใช่แน่ ของพวกนี้มีค่าเกินกว่าจะนำมาทิ้ง
รึว่า สารเคมีอันตราย แต่ถ้าเป็นสารเคมี ต้องมาเป็นถังๆ ไม่ใช่หรือ
เวทย์ล้มตัวลงนอน แต่จนแล้วจนรอดใจที่อยากรู้คำตอบก็ทำให้เขาต้องผุดลุกผุดนั่ง แล้วความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นมาในสมองแล้วทำให้เขาเย็นวาบไป
ทั้งสันหลัง รึว่าจะเป็นศพ !
ไมได้นะ ! เขารีบปฏิเสธ ถ้าเอาศพมาทิ้งแถวนี้ มันต้องขึ้นอืดแล้วเหม็นตลบอบอวลไปทั้งบาง และกลิ่นนี้จะนำพาให้คนแห่กันมาที่นี่ รวมถึงตำรวจ
เวทย์รีบลุกขึ้น เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามันคืออะไร เขาหันไปคว้าไฟฉายมาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือกำมีดพร้า สูดลมหายใจลึกทำใจให้เข้มแข็งเพื่อเผชิญกับสิ่งตรงหน้าแล้วเปิดประตูเดินดุ่มๆ ออกไปตามคันดินจนมาหยุดลงใกล้กับบริเวณที่ของนั้นถูกนำมาทิ้ง เขาสาดแสงไฟฉายไปยังม้วนเสื่อหลวมๆ นั่น
สิ่งที่เวทย์เห็นทำเอาเขาสะดุ้งมือไม้อ่อนจนไฟฉายแทบจะหลุดจากมือ เมื่อเห็นถนัดว่าสิ่งที่โผล่ออกมาพ้นขอบเสื่อที่ห่อไว้นั้น มัน...ผมคนนี่ เส้นผมสีดำสยายยาว
มันคือศพ ! ศพผู้หญิง !
เวทย์รู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลังด้วยความสยดสยอง เท้าก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้สึกตัว เขาอยากจะวิ่งหนี ไม่อยากรับรู้ว่ามีศพถูกนำมาทิ้งไว้ที่ใกล้ๆ บ้านเขา
นี่เขาจะทำอย่างไร จะปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้หรือ
ทั้งสับสน ทั้งกลัว ไม่รู้จะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด หากเขาเป็นประชาชนทั่วไปไม่ใช่คนหนีภัยมืดจากตำรวจอย่างเขา คงไปแจ้งความกับตำรวจแล้ว
แล้วจะปล่อยศพทิ้งไว้แบบนี้หรือ ไม่ได้แน่นอน เขาต้องหาทางกำจัดให้พ้นๆ ไปจากบริเวณนี้ให้ได้ เวทย์พยายามคิดหาทางแก้ปัญหา เขามองไปรอบตัว คลองนี่ไง น้ำในคลองแห่งนี้ไหลออกไปสู่ทะเล ถ้าเขาเอาศพนี้ไปทิ้งในคลอง ร่างก็จะลอยออกทะเลไป ห่างพ้นไปจากเขา
มันเป็นทางออกง่ายๆ ที่เวทย์คิดได้ในตอนนี้
ชายหนุ่มตัดสินใจดังนั้นแล้วก็รวบรวมความกล้า ก้าวลงไปในป่าโกงกางที่ช่วงนี้น้ำกำลังลง ระดับน้ำสูงเพียงข้อเท้า ม้วนเสื่อที่ถูกโยนอย่างส่งเดชนั้น เอียงแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง เวทย์วางมีดและไฟฉายบนคันดินแล้วเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปดึงม้วนเสื่อที่พันไว้หลวมๆ เขากลั้นใจแล้วเปิดมันออกดู
แม้จะทำใจแข็งกับสิ่งที่กำลังจะเห็น แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้
ร่างขาวกระจ่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวปรากฏขึ้นตรงหน้า แสงสว่างจากไฟฉายส่องให้เห็นริ้วรอยบอบช้ำไปทั่วตัวโดยเฉพาะรอยแดงคล้ำที่รอบคอ เมื่อเขาเหลือบตาลงต่ำ อวัยวะเพศบวมเป่งและมีคราบเลือดนั้น ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่า หญิงผู้นี้ถูกข่มขืนแล้วนำศพมาทิ้งที่นี่ ข้อมือทั้งสองของศพถูกมัดด้วยเสื้อชั้นใน และปากถูกอุดด้วยกางเกงใน
ช่างเป็นภาพที่น่าสมเพชเวทนาเสียเหลือเกิน
เวทย์รู้สึกตื้อตันจุกอยู่ที่คอหอยด้วยความสงสาร นี่เป็นลูกหลานใครกัน ถึงได้เคราะห์ร้ายขนาดนี้ แล้วไอ้ผู้ชายสองคนนั่น ทำไมมันช่างโฉดชั่วถึงเพียงนี้
คิดอีกที มันคงดีสำหรับหล่อนแล้วที่หมดลมหายใจ ลาจากโลกนี้ไป ไม่ต้องมาอยู่ทนทุกข์ทรมานกับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่ถึงเวทย์จะสงสารอย่างไร สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำตอนนี้ คือกำจัดร่างร่างนี้ จะให้เขาขุดหลุมฝังคงทำได้ยากเพราะไม่มีพื้นดินตรงไหนที่เขาจะสามารถขุดหลุมได้เลย มีแต่ป่าโกงกางที่พื้นเป็นโคลนเลนและมีรากต้นไม้แน่นทึบไปหมดเช่นนี้
คงไม่มีวิธีอื่นนอกจากนำร่างไปทิ้งลงคลอง แล้วให้น้ำพัดพาศพไปให้ไกลๆ จากเขา
เขานี่ช่างโหดร้าย ไม่ต่างจากไอ้คนชั่วทั้งสองนั่น ในใจก่นด่าตัวเอง แต่จะทำอย่างไรได้เขาต้องเอาตัวรอด เวทย์ได้แต่ยกมือขึ้นพนมขอขมาศพพร้อมทั้งกล่าวว่า
“ขอโทษนะ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ”
เวทย์ก้าวเข้าไปช้อนร่างบอบช้ำนั่นขึ้น ร่างยังคงอ่อนปวกเปียก ไม่แข็ง แสดงว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน
“อือ” เสียงครางแผ่วลอดออกมาจากลำคอที่มีรอยแดงคล้ำ เวทย์ตกใจแทบสิ้นสติ มือปล่อยร่างนั้นร่วงลงกับพื้นโคลน เขาเองก็สะดุดล้มหงายหลังกระแทกเข้ากับคันดินสูงด้านหลัง
“เฮ้ย ! ผีหลอก” เขาหลุดเสียงตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
หนีพ้น ? เรื่องสั้น โดย ดรัสวันต์
กระต๊อบแคบๆ ของคนเฝ้ากระชังปลาที่เขาได้มาอาศัยหลบภัยจากผู้มีอิทธิพลที่โดนเขาเปิดโปงเรื่องฉ้อโกงนั้น แม้จะไม่สุขสบาย แต่มันทำให้เวทย์มั่นใจว่าจะไม่มีใครตามหาเขาเจอ
เวทย์เคยเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำการค้าด้วยการหลอกลวงประชาชนตาดำๆ ให้มาร่วมลงทุน เขาทนเห็นความอยุติธรรม ทนเห็นชาวบ้านที่หวังจะรวยทางลัดนำเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนแล้วหมดเนื้อหมดตัวแบบนี้ไม่ไหว เขาจึงไปแจ้งตำรวจและพยายามเปิดโปงความชั่วร้ายของบริษัทแห่งนี้เพื่อไม่ให้มีคนบริสุทธิ์มาถูกหลอกอีก แต่เป็นความโชคร้ายที่เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผู้ที่หนุนหลังบริษัทแห่งนี้เป็นนายตำรวจยศใหญ่
เรื่องราวทุจริตของบริษัทนี้จึงเงียบหายไป
และเขาถูกตามเก็บ
เสียงเครื่องยนต์ปลุกให้เวทย์ตื่นขึ้นมากลางดึก ระยะหลังมานี่ ชายหนุ่มนอนไวเสมอ คนที่มีชนักติดหลังอย่างเขา ขืนมัวแต่หลับอุตุ ก็คงถูกฆ่าตาย หรือไม่ก็เป็นเพราะความระแวงที่ทำให้เขาไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืน ฉะนั้นพอมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น เวทย์จึงพยายามเงี่ยหูฟังว่ามันคืออะไร จะเป็นเสียงเรือที่แล่นมาในคลองข้างๆ หรือเสียงรถยนต์กันแน่
เขาขยับลุกออกจากมุ้งไปแอบดูที่หน้าต่าง แสงไฟหรี่ของรถยนต์กำลังแล่นเข้ามาตามถนนที่เป็นทางตัน เวทย์หันไปคว้ามีดพร้าขนาดเหมาะมือที่เขาเก็บไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา หัวใจเต้นแรงและเหงื่อเริ่มซึม ถามตัวเองว่าคนพวกนี้เป็นใคร มันเข้ามาในถนนสายเปลี่ยวของป่าโกงกางนี้เพื่ออะไร โดยเฉพาะในเวลาวิกาลเช่นนี้ รึว่าพวกมันคือคนที่ตามล่าเอาชีวิตเขา
เวทย์จ้องมองแสงไฟรถยนต์ที่กำลังแล่นผ่านป่าโกงกางมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งมาจอดสนิทที่ปลายสุดถนนที่จบลงด้วยคลอง จากปลายถนนนั่นต้องเดินต่อมาตามคันดินถึงจะมาถึงกระต๊อบที่เขาแอบอยู่นี่ได้ ถ้าคนในรถต้องการมาเอาชีวิตเขาแล้วละก้อ มันคงไม่สามารถเข้ามาได้อย่างรวดเร็วนักเพราะกว่าจะเดินผ่านคันดินแคบๆ เข้ามาได้ เขาก็คงหนีไปได้ไกลยังจุดหลบภัยที่เขาเตรียมไว้ได้ก่อนที่พวกมันจะมาถึง
แต่ยังก่อน เขาจะรอดูทีท่าว่ารถกระบะคันนี้เข้ามาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
มีผู้ชายสองคนเดินลงมารถ เวทย์กำมีดในมือแน่น ตาจ้องเขม็งไปข้างหน้า แสงไฟจากรถแม้จะเป็นไฟหรี่ แต่ก็สว่างพอให้เขามองเห็นว่าพวกมันเดินไปที่ท้ายกระบะ เปิดออกแล้วช่วยกันลากของบางอย่างออกมา ดูคล้ายว่าจะเป็นม้วนเสื่อที่หนักพอสมควรที่ผู้ชายสองคนต้องช่วยกันหามหัวท้าย
“ทิ้งแถวนี้หรือวะ” เสียงคนหนึ่งแว่วมาให้เขาได้ยิน
“ทิ้งในป่าโกงกางนี่ล่ะ แถวนี้ไม่มีใครผ่านเข้ามาอยู่แล้วเพราะเป็นทางตัน เดี๋ยวกุ้ง หอย ปู ปลา มันก็มาช่วยทำลายหลักฐานเอง” สำเนียงภาษาใต้ที่แม้จะรัวเร็ว แต่ครั้งหนึ่งที่เวทย์เคยมาเรียนหนังสือที่จังหวัดสงขลาถึงสี่ปี ทำให้เขาคุ้นชินกับสำเนียงนี้ และฟังออกว่าทั้งสองกำลังพูดอะไรกัน
ตอนนี้เวทย์แน่ใจแล้วว่าคนพวกนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะมาทำร้ายเขา แต่พวกมันกำลังนำบางสิ่งบางอย่างมาทิ้ง ซึ่งอาจเป็นของผิดกฎหมายก็เป็นได้ เขาเห็นผู้ชายทั้งสองนั่นโยนของที่ถูกห่ออยู่ในเสื่อนั้นเข้าไปในป่าโกงกางที่แน่นทึบ เสียงของหล่นกระทบพื้นที่เป็นดินโคลนฉ่ำน้ำนั้นไม่ดังนักแต่ก็ทำให้น้ำในบริเวณนั้นกระจายออก
“เอ็งแน่ใจหรือวะว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ข้าจำได้ว่าแถวนี้มีกระชังปลาของชาวบ้านอยู่นา ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเข้าออกที่นี่”
“กระชังมันร้างไปแล้ว เจ้าของแม่ ....ง มันไม่มาหรอก มันไปแสวงบุญที่เมกกะยังไม่กลับ หรือไม่ป่านนี้มันก็ตายห่าไปแล้ว เห็นข่าวไหม ที่มีอาคารถล่มทับผู้แสวงบุญที่เมกกะ”
“แสดงว่าเอ็งรู้จักเจ้าของกระชังละซิ”
“ไม่รู้หรอก ได้ยินคนเขาพูดกัน เฮ้ย อย่ามัวแต่ถามอยู่เลยวะ รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวมีใครมาเห็นละซวยกันพอดี”
คนทั้งสองกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นนานหลายนาทีแล้ว แต่เวทย์ยังคงนิ่งขึ้งตัดสินใจไม่ถูกว่าเขาควรจะทำอย่างไร ส่วนหนึ่งโล่งอกที่พวกนั้นไม่ได้มาตามล่าเขา แต่เขาควรจะนอนต่อหรือออกไปดูว่าสิ่งที่ถูกนำมาทิ้งนั่นคืออะไร ของผิดกฎหมายหรือยาบ้า ยาเสพติด ไม่ใช่แน่ ของพวกนี้มีค่าเกินกว่าจะนำมาทิ้ง
รึว่า สารเคมีอันตราย แต่ถ้าเป็นสารเคมี ต้องมาเป็นถังๆ ไม่ใช่หรือ
เวทย์ล้มตัวลงนอน แต่จนแล้วจนรอดใจที่อยากรู้คำตอบก็ทำให้เขาต้องผุดลุกผุดนั่ง แล้วความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นมาในสมองแล้วทำให้เขาเย็นวาบไป
ทั้งสันหลัง รึว่าจะเป็นศพ !
ไมได้นะ ! เขารีบปฏิเสธ ถ้าเอาศพมาทิ้งแถวนี้ มันต้องขึ้นอืดแล้วเหม็นตลบอบอวลไปทั้งบาง และกลิ่นนี้จะนำพาให้คนแห่กันมาที่นี่ รวมถึงตำรวจ
เวทย์รีบลุกขึ้น เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามันคืออะไร เขาหันไปคว้าไฟฉายมาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือกำมีดพร้า สูดลมหายใจลึกทำใจให้เข้มแข็งเพื่อเผชิญกับสิ่งตรงหน้าแล้วเปิดประตูเดินดุ่มๆ ออกไปตามคันดินจนมาหยุดลงใกล้กับบริเวณที่ของนั้นถูกนำมาทิ้ง เขาสาดแสงไฟฉายไปยังม้วนเสื่อหลวมๆ นั่น
สิ่งที่เวทย์เห็นทำเอาเขาสะดุ้งมือไม้อ่อนจนไฟฉายแทบจะหลุดจากมือ เมื่อเห็นถนัดว่าสิ่งที่โผล่ออกมาพ้นขอบเสื่อที่ห่อไว้นั้น มัน...ผมคนนี่ เส้นผมสีดำสยายยาว
มันคือศพ ! ศพผู้หญิง !
เวทย์รู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลังด้วยความสยดสยอง เท้าก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้สึกตัว เขาอยากจะวิ่งหนี ไม่อยากรับรู้ว่ามีศพถูกนำมาทิ้งไว้ที่ใกล้ๆ บ้านเขา
นี่เขาจะทำอย่างไร จะปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้หรือ
ทั้งสับสน ทั้งกลัว ไม่รู้จะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด หากเขาเป็นประชาชนทั่วไปไม่ใช่คนหนีภัยมืดจากตำรวจอย่างเขา คงไปแจ้งความกับตำรวจแล้ว
แล้วจะปล่อยศพทิ้งไว้แบบนี้หรือ ไม่ได้แน่นอน เขาต้องหาทางกำจัดให้พ้นๆ ไปจากบริเวณนี้ให้ได้ เวทย์พยายามคิดหาทางแก้ปัญหา เขามองไปรอบตัว คลองนี่ไง น้ำในคลองแห่งนี้ไหลออกไปสู่ทะเล ถ้าเขาเอาศพนี้ไปทิ้งในคลอง ร่างก็จะลอยออกทะเลไป ห่างพ้นไปจากเขา
มันเป็นทางออกง่ายๆ ที่เวทย์คิดได้ในตอนนี้
ชายหนุ่มตัดสินใจดังนั้นแล้วก็รวบรวมความกล้า ก้าวลงไปในป่าโกงกางที่ช่วงนี้น้ำกำลังลง ระดับน้ำสูงเพียงข้อเท้า ม้วนเสื่อที่ถูกโยนอย่างส่งเดชนั้น เอียงแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง เวทย์วางมีดและไฟฉายบนคันดินแล้วเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปดึงม้วนเสื่อที่พันไว้หลวมๆ เขากลั้นใจแล้วเปิดมันออกดู
แม้จะทำใจแข็งกับสิ่งที่กำลังจะเห็น แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้
ร่างขาวกระจ่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวปรากฏขึ้นตรงหน้า แสงสว่างจากไฟฉายส่องให้เห็นริ้วรอยบอบช้ำไปทั่วตัวโดยเฉพาะรอยแดงคล้ำที่รอบคอ เมื่อเขาเหลือบตาลงต่ำ อวัยวะเพศบวมเป่งและมีคราบเลือดนั้น ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่า หญิงผู้นี้ถูกข่มขืนแล้วนำศพมาทิ้งที่นี่ ข้อมือทั้งสองของศพถูกมัดด้วยเสื้อชั้นใน และปากถูกอุดด้วยกางเกงใน
ช่างเป็นภาพที่น่าสมเพชเวทนาเสียเหลือเกิน
เวทย์รู้สึกตื้อตันจุกอยู่ที่คอหอยด้วยความสงสาร นี่เป็นลูกหลานใครกัน ถึงได้เคราะห์ร้ายขนาดนี้ แล้วไอ้ผู้ชายสองคนนั่น ทำไมมันช่างโฉดชั่วถึงเพียงนี้
คิดอีกที มันคงดีสำหรับหล่อนแล้วที่หมดลมหายใจ ลาจากโลกนี้ไป ไม่ต้องมาอยู่ทนทุกข์ทรมานกับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่ถึงเวทย์จะสงสารอย่างไร สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำตอนนี้ คือกำจัดร่างร่างนี้ จะให้เขาขุดหลุมฝังคงทำได้ยากเพราะไม่มีพื้นดินตรงไหนที่เขาจะสามารถขุดหลุมได้เลย มีแต่ป่าโกงกางที่พื้นเป็นโคลนเลนและมีรากต้นไม้แน่นทึบไปหมดเช่นนี้
คงไม่มีวิธีอื่นนอกจากนำร่างไปทิ้งลงคลอง แล้วให้น้ำพัดพาศพไปให้ไกลๆ จากเขา
เขานี่ช่างโหดร้าย ไม่ต่างจากไอ้คนชั่วทั้งสองนั่น ในใจก่นด่าตัวเอง แต่จะทำอย่างไรได้เขาต้องเอาตัวรอด เวทย์ได้แต่ยกมือขึ้นพนมขอขมาศพพร้อมทั้งกล่าวว่า
“ขอโทษนะ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ”
เวทย์ก้าวเข้าไปช้อนร่างบอบช้ำนั่นขึ้น ร่างยังคงอ่อนปวกเปียก ไม่แข็ง แสดงว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน
“อือ” เสียงครางแผ่วลอดออกมาจากลำคอที่มีรอยแดงคล้ำ เวทย์ตกใจแทบสิ้นสติ มือปล่อยร่างนั้นร่วงลงกับพื้นโคลน เขาเองก็สะดุดล้มหงายหลังกระแทกเข้ากับคันดินสูงด้านหลัง
“เฮ้ย ! ผีหลอก” เขาหลุดเสียงตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีด