“อลงกรณ์” วิเคราะห์กรณีหุ้นไอทีวี
“พิธา” ถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดก.
ไม่ใช่ในนามส่วนตัว
เชื่อ เรื่องจบในชั้น กกต.
เพราะไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151
แม้เป็นคู่แข่งการเมือง
แต่ต้องช่วยผดุงความยุติธรรม
เมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรม
วันที่ 12 มิถุนายน 2566 นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นคดีหุ้นไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98 (3)
ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยระบุว่า
ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
ดังนั้น กฎหมายลูก คือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566
จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)
นายอลงกรณ์ ระบุต่อไปว่า
กรณี นายพิธา ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี
จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่ เรื่องนี้มีหลายมุมมอง
แต่สำหรับตนมีความเห็นว่า
1. ประเด็นหุ้นไอทีวี ไม่มีอะไรซับซ้อน
เพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์
คือ หุ้นไอทีวีเป็นของ นายพิธา
หรือเป็นของกองมรดกที่ นายพิธา เป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด
2. การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวีของ นายพิธา คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก
3. จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่าย ได้ความว่า
นายพิธา ถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดก
ไม่ใช่ถือในนามส่วนตัว
และในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้ว
ซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี 2550
4. เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
จึงสรุปได้ว่า
นายพิธา ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151
5. ดังนั้น ประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวีจะปิดสำนวน
ในชั้น กกต. ภายใน 30 วัน หรือ 45 วัน
“การพิจารณาประเด็นหุ้นไอทีวี
ต้องยึดหลักความยุติธรรมโปร่งใส
เป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย
อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง
ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแข่งขันกับ นายพิธา และพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรม
เมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น
กับใครก็ตาม แม้แต่คู่แข่งทางการเมือง
เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง
การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย
ในวันนี้และวันข้างหน้า”
ที่มา :
https://www.thairath.co.th/news/politic/2701295
“อลงกรณ์” มอง “พิธา” ถือหุ้น itv ในนามผู้จัดการมรดก เชื่อ เรื่องจบในชั้น กกต
เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98 (3)
ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยระบุว่า
ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
ดังนั้น กฎหมายลูก คือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566
จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)
นายอลงกรณ์ ระบุต่อไปว่า
กรณี นายพิธา ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี
จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่ เรื่องนี้มีหลายมุมมอง
แต่สำหรับตนมีความเห็นว่า
1. ประเด็นหุ้นไอทีวี ไม่มีอะไรซับซ้อน
เพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์
คือ หุ้นไอทีวีเป็นของ นายพิธา
หรือเป็นของกองมรดกที่ นายพิธา เป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด
2. การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวีของ นายพิธา คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก
3. จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่าย ได้ความว่า
นายพิธา ถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดก
ไม่ใช่ถือในนามส่วนตัว
และในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้ว
ซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี 2550
4. เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
จึงสรุปได้ว่า
นายพิธา ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151
5. ดังนั้น ประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวีจะปิดสำนวน
ในชั้น กกต. ภายใน 30 วัน หรือ 45 วัน
“การพิจารณาประเด็นหุ้นไอทีวี
ต้องยึดหลักความยุติธรรมโปร่งใส
เป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย
อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง
ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแข่งขันกับ นายพิธา และพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรม
เมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น
กับใครก็ตาม แม้แต่คู่แข่งทางการเมือง
เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง
การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย
ในวันนี้และวันข้างหน้า”
ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/politic/2701295