เด็กชายใต้สะพาน

กระทู้สนทนา
เด็กชายใต้สะพาน

            “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรจ๊ะ...”

            ในอ้อมกอดอันแสนจะอบอุ่นปลอดภัยของพ่อและแม่ ท่ามกลางแววตาสดใสอ่อนโยนและรอยยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู คำถามทำนองนี้ซึ่งเด็กส่วนใหญ่คงเคยได้ยิน อย่างน้อย ๆ ก็สักหนึ่งครั้งในชีวิต ถูกเอ่ยถามออกมาจากท่านทั้งสอง

            อีกห้าปีสิบปีข้างหน้า แก้วตาดวงใจดวงนี้จะเป็นอย่างไร เขาจะเติบใหญ่เป็นคนดีต่อสังคม เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพไหม เส้นทางชีวิตจะก้าวหน้าประสบความสำเร็จสักเพียงใด และ...เขาจะยังเป็นลูกที่น่ารักอย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม

            มันเป็นคำถามเรียบง่าย ที่มากไปด้วยความหมายและความคาดหวังภายในใจ เป็นคำพูดจากปัจจุบันอันเปี่ยมล้นไปด้วยเรื่องราวแห่งอนาคต เป็นความปรารถนาดีที่ช่วยส่งเสริมผลักดัน ให้ลูกตัวน้อยในอ้อมกอด ได้ก้าวต่อไปบนเส้นทางเริ่มแรกแห่งฝันของพวกเขาเอง

            หากเพียงแต่ว่า...สำหรับคนบางคนแล้ว เรื่องดี ๆ อันธรรมดาสามัญ ที่สามารถมีได้ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้ กลับไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาสักครั้ง ปราศจากแม้เพียงผู้ใดไถ่ถาม และจะไม่มีทางมีวันนั้นได้ แม้จะแค่ในความคิดก็ตามที
 

            ค่ำคืนหนึ่งซึ่งในยามปกติท้องน้ำอันเย็นเยียบชวนวังเวง จะสะท้อนเพียงความดำมืดว้าเหว่ของยามราตรี และแสงริบหรี่จากหลอดไฟฟ้าตามถนนหนทาง รวมถึงบ้านเรือนเพียงแค่ไม่กี่หลังให้ได้เห็น

            ตรงเงามืดอันสลัวเลือนใต้สะพานข้ามคลองที่ร้างผู้คน ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บแห่งฤดูกาล เด็กชายคนหนึ่งนอนขดกอดตัวเองจนแน่น เพื่อป้องกันความทารุณโหดร้ายจากความเย็นยะเยือกแสนสาหัส ที่สายลมได้พัดพาเอามันมาด้วย

            ผิวกายเกรียมไหม้จากฤทธิ์แดดแผดเผา มอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกและคราบแห่งความลำบากตรากตรำ เส้นผมสากใหญ่ขมวดม้วนเกาะตัวกันเป็นก้อนเหนียว เสื้อผ้าชุดเก่งชุดเดียวที่ซอมซ่อและขาดวิ่น จนแทบจะปกปิดห่มคลุม ช่วยให้ร่างเล็กอันบอบบางผอมแห้ง อบอุ่นขึ้นไม่ได้เลยสักนิด

            เด็กชายชื่อ ‘บุญทิ้ง’ ชื่อที่เขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ตั้งให้ ได้ยินได้รับรู้เพียงแค่ว่าในวันที่มีผู้เก็บเขามาจากข้างถนนเมื่อครั้งที่ยังเป็นทารก เศษกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งซึ่งถูกซุกแนบมาด้วย เขียนคำ ๆ นี้เอาไว้ มันก็เลยกลายเป็นชื่อของเขานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

            เรื่องราวชีวิตของบุญทิ้งเริ่มต้นขึ้นในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนจำความได้เขาอยู่ที่นั่น กินร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ นอนรวมกับเด็กคนอื่น ๆ เล่นด้วยกันกับเด็กคนอื่น ๆ ใช้ชีวิตแต่ละวันไปตามกิจกรรมที่ถูกจัดสรรให้ ในกรอบของเวลาและกฏเกณฑ์ซึ่งถูกกำหนด

            ถึงจะฟังดูเหมือนไม่ได้รับอิสระ ไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก แต่สำหรับเด็กที่ถูกทอดทิ้ง และปราศจากร่มโพธิ์ร่มไทรของชีวิต มาคอยปกป้องคุ้มภัยแล้ว เพียงแค่มีที่ป้องกันแดดและลมฝน มีที่นอนอุ่น ๆ ไว้ซุกหัวนอน ได้กินอาหารครบสามมื้อ นั่นก็ดีมากจนเกินพอแล้ว

            ได้หัวเราะไปด้วยกัน ได้เล่นอย่างสนุกสนานเฮฮาไปด้วยกันกับเพื่อน ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างที่เด็กควรได้รับ ใช้ชีวิตไปกับความสุขที่พึงมีพึงได้ ดำเนินเรื่องราวในแต่ละวันไปอย่างพอใจในแบบที่ควรจะเป็น

            ทั้ง ๆ ที่รู้สึกแบบนั้น แต่แล้ววันหนึ่ง ช่องว่างดำมืดเล็ก ๆ ก็กลับปรากฏขึ้นมาที่ตรงกึ่งกลางใจของเขา เป็นช่องว่างที่ไม่ว่าจะสะกดข่มขนาดไหน พยายามหักห้ามไม่ให้คิดถึงสักเพียงใด แต่มันก็ยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้เลย

            ยิ่งนานวันความกลวงโบ๋ก็ยิ่งหยั่งรากลึกลงไปเรื่อย ๆ ความว่างเปล่าอันลึกล้ำในอารมณ์ก็กลับยิ่งเพิ่มความทุกข์ทรมานให้แก่เขา เด็กชายไม่อาจยิ้มและหัวเราะได้อย่างร่าเริงจริงใจอย่างเก่า โลกใบเล็กที่ชื่อว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใบนี้ เริ่มไม่อาจที่จะเติมเต็มความปรารถนา ไม่อาจที่จะทำให้เขาได้พบความสุขอันแท้จริงในใจได้อีกต่อไป

            บางครั้งบางคราวที่เด็กชายดูโทรทัศน์ เขานึกอยากมีชีวิตโลดแล่นผาดโผน มีเรื่องราวผจญภัยของตัวเองเหมือนอย่างใครในนั้น หลายต่อหลายครั้งในหน้าจอสี่เหลี่ยมฉายภาพครอบครัวแสนสุขสันต์ อันประกอบไปด้วยพ่อ  แม่ และลูกให้ได้เห็น ในนาทีเหล่านั้น บางสิ่งบางอย่างก็บาดลึกให้รู้สึกเจ็บแปลบอยู่ข้างใน

            “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรคะ คนดีของแม่”

            แม่เอ่ยถามลูกสาวตัวน้อย ๆ ที่กำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้มละไม ส่วนผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน ก็คอยลูบหัวลูบตัวลูกรักอย่างทะนุถนอมเอ็นดู

            “หนูจะเป็นหมอค่ะ จะได้คอยดูแล รักษาคุณพ่อกับคุณแม่เวลาไม่สบายได้ไงคะ”

            คำตอบเสียงดังฟังชัดทำเอาบุพการีถึงกับฉีกยิ้มอย่างพองโต ก่อนที่ทั้งสามจะกอดกันกลม มอบไออุ่นแห่งรักให้แก่กันและกัน อย่างที่ใครได้เห็นได้ดูต่างก็ต้องมีรอยยิ้ม

            ทว่าสำหรับเด็กชาย มันกลับกลายเป็นความเหงา คือความโดดเดี่ยวว้าเหว่อันแสนสาหัสที่ทำให้จู่ ๆ ก็รู้สึกใจหายขึ้นมา อย่างที่ตัวของเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้

            เขาอยากเป็นเหมือนอย่างเด็กในหน้าจอนั้น ลึก ๆ แล้ว เขาอยากถูกถาม อยากให้มีใครสักคนถามคำถามแบบนั้นกับเขาบ้าง เขาอยากแบ่งปันความฝันแสนงดงามของตนเอง อยากบอกเล่าเรื่องราวในอนาคตที่อยากเป็นให้ใครได้ฟัง

            โดยเฉพาะ...ถ้าใครคนนั้นจะเป็นพ่อและแม่ของเขาเอง

            ด้วยความรู้สึกอันผสมปนเปไปด้วยความหลากหลายทางอารมณ์ นั่นจึงทำให้บ่อยครั้งเมื่อยามที่ราตรีกาลมาเยือน ในช่วงเวลาที่เด็กชายเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาจะฝันถึงครอบครัวอันแสนอบอุ่นของเขา แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่เด็กชายบุญทิ้งที่อิงซบอยู่ในอ้อมกอดของพ่อและแม่ในความฝันนั้น ก็มีใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เป็นครอบครัวอันสมบูรณ์พร้อมตามความรู้สึก ในแบบที่เขาอยากมีและอยากให้เป็น

            ภาพเรื่องราวแห่งการผจญภัย และฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ยังคงดำเนินต่อไปคืนแล้วคืนเล่า ชีวิตหลังการดิ้นรนต่อสู้ในความฝัน มักจบลงตรงเขาตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงจนพบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

            ช่างไม่ต่างอะไรไปจากละครหลังข่าว ที่ได้ดูได้เห็นอยู่แทบทุกคืนทางหน้าจอโทรทัศน์

            ทว่าทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาฝันก็พลันสลาย ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ความจริงแท้สำหรับเขายังคงมีเพียงความว่างเปล่า ที่ปราศจากสิ่งใดให้ห่วงหายึดเหนี่ยว นอกจากร่องรอยของคราบน้ำตาแห่งความสุขที่ยังหลงเหลืออยู่ และความเหงาที่ยังคงเกาะกินลึกลงไปภายในใจ

            วันเวลาของเด็กชายล่วงผ่านไปอย่างนั้น เขาค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้น พร้อม ๆ กับเสียงร่ำร้องที่ยังคงคอยตามรบเร้าหลอกหลอนทั้งในยามหลับและยามตื่น มันไม่เคยจางหายหรือลดน้อยถอยลงไปเลยสักนิด แต่กลับกันที่เสียงนั้นมีแต่จะยิ่งดังขึ้น ยิ่งทวีความโหยหารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน...และทุกวัน

            ใจดวงน้อยยังคงโหยหาความรักที่เขาเองไม่เคยได้รับ ร่างกายเล็ก ๆ ยังคงใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นที่เขาไม่อาจเข้าใจ

            จนเมื่อช่วงวัย ความกล้า จินตนาการ และขีดสุดของความอดทนต่อแรงกระตุ้น ได้เดินทางมาบรรจบกัน ด้วยหัวใจพองโตและความคิดที่มีแต่เพียงเรื่องดี ๆ ในอนาคต เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเคยอยู่มาตั้งแต่แบเบาะในวันนั้นนั่นเอง

            ในดวงตาเจิดจ้าเปล่งประกายไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่แรงกล้า ในรอยยิ้มสดใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างเหลือล้น หากชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นเหมือนอย่างที่ฝัน เขาก็จะไขว่คว้ามันมาด้วยตัวของเขาเอง

            ต่อจากนี้เขาจะมีชีวิตแสนสุข เป็นชีวิตเหมือนอย่างที่เคยได้แต่มองและเคยหวังไว้มาตลอด เขาจะทำ และจะทำได้อย่างแน่นอน...นี่คือความคิดของเด็กชาย เป็นความคิดสวยหรูที่ไม่ได้เผื่อใจสำหรับเรื่องอื่นใดไว้เลยสักนิด

            ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริง...มันช่างแตกต่างและโหดร้ายกว่านั้นมากนัก

            สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายออกมาจากเกราะป้องกันภยันตรายเลยสักครั้งแล้ว ความฝันก็ยังคงเป็นได้แค่เพียงความฝันอยู่วันยังค่ำ นั่นเพราะในชีวิตจริง เรื่องราวบังเอิญราวปาฏิหาริย์ที่แสนประจวบเหมาะ จนเกิดแต่สิ่งดี ๆ ไปเสียทุกอย่างอย่างในละครจอตู้นั้น แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยในชีวิตจริง

            และในเวลานี้เด็กชายได้พบแล้วว่า ภายนอกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งไร้แม้กระทั่งคนคอยปกป้องพูดคุยด้วยนั้นเป็นเช่นไร เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าถึงโลกใบนี้จะกว้างใหญ่ แม้มหานครแห่งนี้จะมีพื้นที่เหลือเฟือขนาดไหน แต่มันก็ไม่มีที่เหลือพอให้เขาได้ยืนเลยสักนิด

            ทุกอย่างเร่งรีบและสับสนวุ่นวาย ต่างคนต่างก็มองตรงไปแค่เพียงเบื้องหน้าของตนเอง ไม่มีใครเหลือเวลาไว้เหลียวมองใคร และแน่นอนว่า ไม่มีใครสนใจแม้แต่จะชำเลืองมอง เด็กชายจรจัดเนื้อตัวมอมแมมที่ปราศจากความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเขา

            นานวันเข้า...รอยยิ้มสดใสเมื่อแรกออกเดินทางก็เริ่มเหือดหาย ดวงตาซึ่งเคยเปล่งประกายก็ค่อย ๆ มัวหมอง จนไม่อาจจับจ้องอะไรได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

            ความหิวและอดอยากนั้นช่างโหดร้ายกับสิ่งมีชีวิตเสมอ เช่นนั้นแล้ว ในวันที่ไม่มีแม้แต่ของกินที่ธรรมดาสามัญที่สุดมาประทังชีวิต เศษอาหารและน้ำเหลือ ๆ จากก้นขวดที่ถูกทิ้งตามถังขยะ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นและช่วยต่ออายุ ยืดชีวิตกันไปแบบวันต่อวัน

            เมื่อไร้สถานที่พักพิง ใต้สะพานลอยแห่งแล้วแห่งเล่าที่เดินผ่าน จึงถูกใช้สำหรับเป็นที่ซุกหัวนอน หลับตาพักผ่อน สานต่อภาพความฝันอันแสนงดงามจากคืนก่อน ๆ พาตัวเองให้หลีกหนี หลุดพ้นออกจากโลกแห่งความจริงยามที่ยังลืมตาตื่น

            ร่างเล็ก ๆ ที่แต่เดิมผ่ายผอมอยู่แล้ว ก็กลับยิ่งซูบเซียวมากขึ้น ผิวสองสีกลับกลายเป็นคล้ำดำสกปรกมอมแมม แก้มตอบจนเห็นโครงกระดูกบนใบหน้า ดวงตาลึกโหลราวคนอดนอนมาหลายคืน

            ทุกอย่างในตัวของเด็กชายดูเหมือนจะย่ำแย่และเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ ทว่า...ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีกลับยังไม่หายไปไหน แม้จะริบหรี่ลงไปบ้าง แต่ส่วนลึกในใจของเขายังมีความหวังซุกซ่อน ภายใต้ดวงตาหมองหม่นไร้แววยังมีความเชื่อมั่นในอะไรบางอย่างเสมอ

            สักวันเขาจะได้พบพ่อแม่ ครอบครัวของเขาจะได้พร้อมหน้าพร้อมตา และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

            เป็นแค่เพียงฝัน...แต่ก็เป็นความฝันงดงามหนึ่งเดียว ที่ยังคงหล่อเลี้ยงจิตใจ และประคองร่างกายผอมแห้งนี้ ให้ยังคงยืดหยัดและก้าวต่อไปได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่