"วิญญาณดึกดำบรรพ์เดินทางผ่านต้นไม้
สิงสถิตย์อยู่ในหุบเขา
ลอยแผ่วเบาผ่านลำธาร
และดำรงอยู่นิรันดร์ในป่าโบราณ"
บันทึกการเดินทางไปญี่ปุ่นของผมครั้งนี้ จะแบ่งเป็น 4 องก์ ดังนี้
ตอน 1 : นิกโกะ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ
ตอน 2 : เริงระบำบนเจแปนเอลป์
ตอน 3 : ชิราคาวาโกะ มนต์เสน่ห์แห่งเมืองโบราณ
ตอน 4 : ทาคายาม่าในเงาแห่งกาลเวลา
ตอน 5 : อาราชิยามะ ป่าไผ่และวัดเซนศักดิ์สิทธิ์
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมเดินทางไปญี่ปุ่น ตลุยตั้งแต่โตเกียว เที่ยวนิกโกะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ นั่งรถไฟยาวไกลครึ่งประเทศไปเริงระบำบนเจแปนเอลป์ ต่อเนื่องไปสู่ทาคายาม่าและชิราคาวาโกะเพื่อสัมผัสตราตรึงกับมนต์เสน่ห์แห่งเมืองโบราณ สุดทางที่เกียวโตเมืองซึ่งมิเคยสิ้นมนต์ขลัง ในการเดินทางไปญี่ปุ่นของผมครั้งนี้ ถ้าตัดเรื่องความสนุกสนานแบบปรกติ ความวุ่นวายสับสนอลหม่านในการแก้ปัญหาเล็ก ๆ ระหว่างการเดินทางออกไปแล้ว ก็จะมีสิ่งพิเศษอย่างหนึ่งให้พูดถึง สิ่งพิเศษอันนี้ผมเพิ่งจะได้พบเจอในการเดินทางครั้งหลัง ๆ แต่ทว่ากลับโดดเด่นชัดเจนเจิดจ้าในห้วงมโนสำนึกอย่างมากมาย โดยเฉพาะในการเดินทางครั้งล่าสุดที่ญี่ปุ่นนี้ ซึ่งก็เป็นเพราะว่าความคิดเติบโตมากขึ้น ศึกษามากขึ้น มีความเข้าใจในเรื่องทางจิตวิญญาณมากขึ้น เข้าใจวัฏจักร โลก ชีวิต ความเชื่อมต่อของสรรพสิ่ง และเข้าใจสัญลักษณ์ที่คนตายทำไว้เชื่อมต่อกับคนเป็นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง วัด ศาลเจ้า สัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ นิทานปรัมปรา เรื่องเล่าตำนานต่าง ๆ
ถ้าจะพูดให้เข้าใจมากที่สุด ก็พอจะเรียกสิ่งนี้ได้ว่า
“การเชื่อมต่อกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณผ่านการเดินทางไปพบ” ซึ่งมันคืออะไร ผมจะฉายภาพนิยามสิ่งนี้จากการเดินทางของผมได้ดังนี้
1. มนุษย์เราเวลาเกิดมานั้น นอกจากเราจะมีอัตลักษณ์ที่มีความเป็นปัจเจกส่วนบุคคล อัตลักษณ์อันนี้เป็นคุณสมบัติส่วนตน ไม่มีใครเหมือน และมีหนึ่งเดียวในระบบจักรวาล แต่เรายังมีสิ่งที่ทำให้เรามีลักษณะร่วมกับเผ่าพันธุ์ของเราอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ
Public Collective Unconscious หรือ
“ภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่บรรพกาลผ่านบรรบุรุษ” สิ่งนี้จะถ่ายทอดผ่านระบบวัฏจักรอันหนึ่งมาจากบรรพบุรุษของเราสู่เรา สิ่งนี้เป็นกฎแห่งจักรวาล เป็นสิ่งที่ทำให้ระบบวิวัฒนาการของมนุษย์เกิดเป็นสายยาวต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
ขอบคุณภาพจาก
https://uregina.ca/~lawlorda/jung/jung.htm
2.
“ภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่บรรพกาลผ่านบรรพบุรุษ” นั้น นอกจากจะถ่ายทอดอัตโนมัติผ่านการเกิดแล้ว บรรพบุรุษของเรายังทิ้งร่องรอยเหล่านี้ไว้ให้เรา ผ่านสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- สัญลักษณ์โบราณ
- นิทาน เรื่องเล่าปรัมปรา ตำนาน
- วัตถุศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ทางศาสนา เช่น วัด ศาลเจ้า
- ร่องรอยแห่งอายธรรมในเมืองโบราณ ภาพเขียน ตัวอักษรโบราณ
ทั้งหมดนี้เป็นร่องรอยที่บรรพบุรุษของเราทิ้งเอาไว้ เพื่อจะเตือนเรา ว่าเรามาจากอะไร เพราะบรรพชนของเราตระหนักดีว่า คนเราถ้าไม่เข้าใจถึงรากตัวเอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ไร้ราก ไม่แข็งแรง ขาดการยึดเหนี่ยวกับชีวิตในโลกใหม่
3. เมื่อภูมิปัญญาโบราณเหล่านี้อยู่ในสิ่งต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาเหล่านั้น ซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก และมีความแตกต่างกันในแต่ละสถานที่ด้วยระบบความเชื่อและศาสนาที่ต่างกันของแต่ละท้องถิ่น แต่ทั้งหมดก็เพื่อสื่อสารจากมนุษย์ในอดีตถึงมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งบางแห่งก็ยังสมบูรณ์เจิดจรัส บางแห่งถึงแม้จะเหลือแค่ซากปรักหักพัง ก็ยังควรค่าแก่การไปศึกษา ดังนั้นการจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ หรือการจะเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณโบราณ การจะเข้าไปถึงตัวตนที่อยู่ด้านในแท้จริง ๆ ของเรา หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการทำความเข้าใจระบบแห่งโลกและจักรวาล การเชื่อมต่อกับสิ่งที่เราจากมานานแสนนาน เพื่อจะทำให้เรารู้สึก
Existing ว่าเราเกิดมาเป็นอะไร ทำหน้าที่อะไร มาจากอะไร ก็ไม่มีอะไรจะดีไปว่าการเดินทางไปพบเจอสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง ย้ำว่าต้องเดินทางไปพบจริง ๆ ด้วยตาเนื้อ ด้วยโสตประสาทจริง ๆ เพราะธรรมชาติสร้างโลกให้เรา สร้างระบบอารยธรรมอันเก่าแก่ให้เรา สร้างพัฒนาการทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผ่านรุ่นสู่รุ่น ก็เพื่อจะให้เราเดินทางไปทำความเข้าใจ
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไม พระสงฆ์ หรือผู้ออกบวชในศาสนาลัทธินิกายต่าง ๆ จึงต้องเดินทางธุดงค์ เดินทางไปยังสถานที่ไกล ๆ เข้าไปยังป่าลึก สัญจรไปตามเมืองอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของผู้คน จารีต ประเพณี ลัทธิความเชื่อ ศาสนา ที่แตกต่างออกไป ทำไมคนที่อยากค้นหาความหมายของชีวิต ถึงต้องออกเดินทาง ก็เพราะเขาต้องการทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้
ในการไปญี่ปุ่นคราวนี้ ผมได้พบเจอกับสถานที่ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่หลายที่ ที่ควรจะนำมากล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้
1.
คันมังงาฟูจิ สุดยอดสถานที่ทางจิตวิญญาณ แห่งเมืองนิกโกะ ทางเดินลึกลับริมธารน้ำ เมื่อเราเดินเข้าไป จะพบรูปปั้นริมธารน้ำ ซึ่งก็คือรูปปั้นหิน Jizo ที่เรียงแถวอยู่ประมาณ 70 องค์ รูปปั้นหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ ข้ามฝั่งแม่น้ำไปจะเป็นสวนพฤษศาสตร์นิกโกะ สุดยอดส่วนผสมแห่งความงดงามของวัตถุทางความเชื่อและจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติที่ลงตัว เหมือนดังนักบวชหรือหมอผีโบราณที่ได้มาตั้งจัดวางไว้ อย่างกับจะให้สิ่งเหล่านี้สื่อสารถึงผู้มาเยือนได้ด้วยตัวของมันเอง เหมือนกับจะบอกว่าให้มนุษย์แลเห็นธรรมชาติอย่างที่มันควรเป็นไปชั่วนิรันดร์ และเมื่อเราได้เข้ามาแล้วเหมือนดังจะเชื่อมต่อตัวตนของเรากับจิตแห่งอดีตอันไกลโพ้น ทำให้ตัวของเรากลับเข้าสู่สายธารแห่งธรรมชาติ
2.
สวนญี่ปุ่นที่วัดรินโนจิแห่งเมืองนิกโกะ เป็นสุดยอดแห่งการจัดสวนแบบเซ็น ที่งดงาม เข้มขลัง เต็มไปด้วยสุนทรียภาพ เป็นศิลปะที่มีชีวิต เป็นภาพวาดแห่งจิตวิญญาณที่เคลื่อนไหวได้ เพียงแค่ได้สัมผัสเห็น จิตใจจะเกิดความรู้สึกสงบอย่างประหลาด เหมือนโลกทั้งโลกหยุด และมาเคลื่อนไหวอยู่ภายในสวนเท่านั้น ความรู้สึกตราตรึงที่เห็นอยู่ตรงหน้าเสมือนจิตใจเรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสวน ไม่ถูกแบ่งแยกไปไหนเลย และดังจิตวิญญาณเราจะกลับไปสู่รากโคนที่เราจากมานานแสนนาน เสมือนเราเชื่อมต่อได้กับอดีตกาลอันไกลโพ้น ที่เราเคยเป็น เป็นอยู่ และกำลังจะเป็น สวนจะตรึงเราอยู่ตรงนั้นไม่ให้จากไป จนอยากเฝ้ามองดูมันอยู่นานแสนนาน จากเช้าจดเย็น จากยามตาวันขึ้น จนสุริยาลาลับ ไม่อยากจากสวนไปไหนเลย
การจัดสวนเซ็น ที่วัดริวเท็นจิแห่งนิกโกะนั้น เกิดจากสุดยอดฝีมือการจัดสวนญี่ปุ่นระดับปรมมาจารย์ ที่หายากยิ่งที่ใครจะทำได้เสมอเหมือน
3.
ปริมณฑลแห่งจิตวิญญาณของเมืองนิกโกะ อันประกอบด้วย วัดพุทธมหายาน ศาลเจ้าแห่งลัทธิชินโต เป็นปริมณฑลแห่งความเชื่อและศาสนา หรืออุทยานประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะโบราณที่หาได้ยาก ไม่แพ้สถานที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ ของโลก เช่น เมืองลาซา กาฎมาณฑุและภักตะปูร์แห่งเนปาล หรือจตุรัสและโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ในยุโรป
4.
วัดเทนริวจิและสวนภายในวัด แห่งอาราชิยามะ เมืองเกียวโต เป็นวัดนิกายเซนที่สงบเยือกเย็น เข้าไปแล้วเหมือนโลกและเวลาจะหยุดหมุนอยุ่ภายในวัด สถาปัตยกรรมของวัดที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ สวนเซนที่เยือกเย็นสงบงาม
5. อื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้ไป สะพานโบราณแห่งนิกโกะ ความสวยงามของภูมิประเทศของอาราชิยาม่า ตรอกโบราณของเกียวโต เมืองเก่าทาคายามะ บ้านโบราณแห่งชิราคาวาโกะ ป่าไผ่อาราชิยามะ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความประทับใจ และอารมณ์พิเศษบางอย่างให้แก่ผู้มาเยือน
ดังนั้นการเดินทางไปสถานที่ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายเหล่านี้ ล้วนแต่สร้างคุณค่าและประสบการณ์อันน่าติดตราตรึงใจให้แก่ชีวิต เป็นสิ่งช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณและหัวใจเราให้สงบงาม ให้มองเห็นโลกในด้านที่แท้จริง สามารถเชื่อมต่อภูมิปัญญาโบราณกับตัวตนของเราที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้ ทำให้เราไม่ขาดจากอดีต และสามารถขับเคลื่อนปัจจุบันได้อย่างภาคภูมิใจ
“ข้าพเจ้าเป็นภูผา
อาบดาวต่างเมฆ
วันวานมิมีย้อนกลับ
ดุจสายน้ำไหล
ใบไม้เป็นสีทองก่อนฤดูใบไม้ร่วง
วันคืนเบ่งบาน
ก่อนกาลหลับใหลในฤดูหนาว”
[CR] ตอน 1 : นิกโกะ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ (Japan 2023)
สิงสถิตย์อยู่ในหุบเขา
ลอยแผ่วเบาผ่านลำธาร
และดำรงอยู่นิรันดร์ในป่าโบราณ"
บันทึกการเดินทางไปญี่ปุ่นของผมครั้งนี้ จะแบ่งเป็น 4 องก์ ดังนี้
ตอน 1 : นิกโกะ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ
ตอน 2 : เริงระบำบนเจแปนเอลป์
ตอน 3 : ชิราคาวาโกะ มนต์เสน่ห์แห่งเมืองโบราณ
ตอน 4 : ทาคายาม่าในเงาแห่งกาลเวลา
ตอน 5 : อาราชิยามะ ป่าไผ่และวัดเซนศักดิ์สิทธิ์
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมเดินทางไปญี่ปุ่น ตลุยตั้งแต่โตเกียว เที่ยวนิกโกะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ นั่งรถไฟยาวไกลครึ่งประเทศไปเริงระบำบนเจแปนเอลป์ ต่อเนื่องไปสู่ทาคายาม่าและชิราคาวาโกะเพื่อสัมผัสตราตรึงกับมนต์เสน่ห์แห่งเมืองโบราณ สุดทางที่เกียวโตเมืองซึ่งมิเคยสิ้นมนต์ขลัง ในการเดินทางไปญี่ปุ่นของผมครั้งนี้ ถ้าตัดเรื่องความสนุกสนานแบบปรกติ ความวุ่นวายสับสนอลหม่านในการแก้ปัญหาเล็ก ๆ ระหว่างการเดินทางออกไปแล้ว ก็จะมีสิ่งพิเศษอย่างหนึ่งให้พูดถึง สิ่งพิเศษอันนี้ผมเพิ่งจะได้พบเจอในการเดินทางครั้งหลัง ๆ แต่ทว่ากลับโดดเด่นชัดเจนเจิดจ้าในห้วงมโนสำนึกอย่างมากมาย โดยเฉพาะในการเดินทางครั้งล่าสุดที่ญี่ปุ่นนี้ ซึ่งก็เป็นเพราะว่าความคิดเติบโตมากขึ้น ศึกษามากขึ้น มีความเข้าใจในเรื่องทางจิตวิญญาณมากขึ้น เข้าใจวัฏจักร โลก ชีวิต ความเชื่อมต่อของสรรพสิ่ง และเข้าใจสัญลักษณ์ที่คนตายทำไว้เชื่อมต่อกับคนเป็นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง วัด ศาลเจ้า สัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ นิทานปรัมปรา เรื่องเล่าตำนานต่าง ๆ
ถ้าจะพูดให้เข้าใจมากที่สุด ก็พอจะเรียกสิ่งนี้ได้ว่า “การเชื่อมต่อกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณผ่านการเดินทางไปพบ” ซึ่งมันคืออะไร ผมจะฉายภาพนิยามสิ่งนี้จากการเดินทางของผมได้ดังนี้
1. มนุษย์เราเวลาเกิดมานั้น นอกจากเราจะมีอัตลักษณ์ที่มีความเป็นปัจเจกส่วนบุคคล อัตลักษณ์อันนี้เป็นคุณสมบัติส่วนตน ไม่มีใครเหมือน และมีหนึ่งเดียวในระบบจักรวาล แต่เรายังมีสิ่งที่ทำให้เรามีลักษณะร่วมกับเผ่าพันธุ์ของเราอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ Public Collective Unconscious หรือ “ภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่บรรพกาลผ่านบรรบุรุษ” สิ่งนี้จะถ่ายทอดผ่านระบบวัฏจักรอันหนึ่งมาจากบรรพบุรุษของเราสู่เรา สิ่งนี้เป็นกฎแห่งจักรวาล เป็นสิ่งที่ทำให้ระบบวิวัฒนาการของมนุษย์เกิดเป็นสายยาวต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
ขอบคุณภาพจาก https://uregina.ca/~lawlorda/jung/jung.htm
2. “ภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่บรรพกาลผ่านบรรพบุรุษ” นั้น นอกจากจะถ่ายทอดอัตโนมัติผ่านการเกิดแล้ว บรรพบุรุษของเรายังทิ้งร่องรอยเหล่านี้ไว้ให้เรา ผ่านสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- สัญลักษณ์โบราณ
- นิทาน เรื่องเล่าปรัมปรา ตำนาน
- วัตถุศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ทางศาสนา เช่น วัด ศาลเจ้า
- ร่องรอยแห่งอายธรรมในเมืองโบราณ ภาพเขียน ตัวอักษรโบราณ
ทั้งหมดนี้เป็นร่องรอยที่บรรพบุรุษของเราทิ้งเอาไว้ เพื่อจะเตือนเรา ว่าเรามาจากอะไร เพราะบรรพชนของเราตระหนักดีว่า คนเราถ้าไม่เข้าใจถึงรากตัวเอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ไร้ราก ไม่แข็งแรง ขาดการยึดเหนี่ยวกับชีวิตในโลกใหม่
3. เมื่อภูมิปัญญาโบราณเหล่านี้อยู่ในสิ่งต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาเหล่านั้น ซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก และมีความแตกต่างกันในแต่ละสถานที่ด้วยระบบความเชื่อและศาสนาที่ต่างกันของแต่ละท้องถิ่น แต่ทั้งหมดก็เพื่อสื่อสารจากมนุษย์ในอดีตถึงมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งบางแห่งก็ยังสมบูรณ์เจิดจรัส บางแห่งถึงแม้จะเหลือแค่ซากปรักหักพัง ก็ยังควรค่าแก่การไปศึกษา ดังนั้นการจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ หรือการจะเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณโบราณ การจะเข้าไปถึงตัวตนที่อยู่ด้านในแท้จริง ๆ ของเรา หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการทำความเข้าใจระบบแห่งโลกและจักรวาล การเชื่อมต่อกับสิ่งที่เราจากมานานแสนนาน เพื่อจะทำให้เรารู้สึก Existing ว่าเราเกิดมาเป็นอะไร ทำหน้าที่อะไร มาจากอะไร ก็ไม่มีอะไรจะดีไปว่าการเดินทางไปพบเจอสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง ย้ำว่าต้องเดินทางไปพบจริง ๆ ด้วยตาเนื้อ ด้วยโสตประสาทจริง ๆ เพราะธรรมชาติสร้างโลกให้เรา สร้างระบบอารยธรรมอันเก่าแก่ให้เรา สร้างพัฒนาการทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผ่านรุ่นสู่รุ่น ก็เพื่อจะให้เราเดินทางไปทำความเข้าใจ
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไม พระสงฆ์ หรือผู้ออกบวชในศาสนาลัทธินิกายต่าง ๆ จึงต้องเดินทางธุดงค์ เดินทางไปยังสถานที่ไกล ๆ เข้าไปยังป่าลึก สัญจรไปตามเมืองอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของผู้คน จารีต ประเพณี ลัทธิความเชื่อ ศาสนา ที่แตกต่างออกไป ทำไมคนที่อยากค้นหาความหมายของชีวิต ถึงต้องออกเดินทาง ก็เพราะเขาต้องการทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้
ในการไปญี่ปุ่นคราวนี้ ผมได้พบเจอกับสถานที่ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่หลายที่ ที่ควรจะนำมากล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้
1. คันมังงาฟูจิ สุดยอดสถานที่ทางจิตวิญญาณ แห่งเมืองนิกโกะ ทางเดินลึกลับริมธารน้ำ เมื่อเราเดินเข้าไป จะพบรูปปั้นริมธารน้ำ ซึ่งก็คือรูปปั้นหิน Jizo ที่เรียงแถวอยู่ประมาณ 70 องค์ รูปปั้นหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ ข้ามฝั่งแม่น้ำไปจะเป็นสวนพฤษศาสตร์นิกโกะ สุดยอดส่วนผสมแห่งความงดงามของวัตถุทางความเชื่อและจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติที่ลงตัว เหมือนดังนักบวชหรือหมอผีโบราณที่ได้มาตั้งจัดวางไว้ อย่างกับจะให้สิ่งเหล่านี้สื่อสารถึงผู้มาเยือนได้ด้วยตัวของมันเอง เหมือนกับจะบอกว่าให้มนุษย์แลเห็นธรรมชาติอย่างที่มันควรเป็นไปชั่วนิรันดร์ และเมื่อเราได้เข้ามาแล้วเหมือนดังจะเชื่อมต่อตัวตนของเรากับจิตแห่งอดีตอันไกลโพ้น ทำให้ตัวของเรากลับเข้าสู่สายธารแห่งธรรมชาติ
2. สวนญี่ปุ่นที่วัดรินโนจิแห่งเมืองนิกโกะ เป็นสุดยอดแห่งการจัดสวนแบบเซ็น ที่งดงาม เข้มขลัง เต็มไปด้วยสุนทรียภาพ เป็นศิลปะที่มีชีวิต เป็นภาพวาดแห่งจิตวิญญาณที่เคลื่อนไหวได้ เพียงแค่ได้สัมผัสเห็น จิตใจจะเกิดความรู้สึกสงบอย่างประหลาด เหมือนโลกทั้งโลกหยุด และมาเคลื่อนไหวอยู่ภายในสวนเท่านั้น ความรู้สึกตราตรึงที่เห็นอยู่ตรงหน้าเสมือนจิตใจเรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสวน ไม่ถูกแบ่งแยกไปไหนเลย และดังจิตวิญญาณเราจะกลับไปสู่รากโคนที่เราจากมานานแสนนาน เสมือนเราเชื่อมต่อได้กับอดีตกาลอันไกลโพ้น ที่เราเคยเป็น เป็นอยู่ และกำลังจะเป็น สวนจะตรึงเราอยู่ตรงนั้นไม่ให้จากไป จนอยากเฝ้ามองดูมันอยู่นานแสนนาน จากเช้าจดเย็น จากยามตาวันขึ้น จนสุริยาลาลับ ไม่อยากจากสวนไปไหนเลย
การจัดสวนเซ็น ที่วัดริวเท็นจิแห่งนิกโกะนั้น เกิดจากสุดยอดฝีมือการจัดสวนญี่ปุ่นระดับปรมมาจารย์ ที่หายากยิ่งที่ใครจะทำได้เสมอเหมือน
3. ปริมณฑลแห่งจิตวิญญาณของเมืองนิกโกะ อันประกอบด้วย วัดพุทธมหายาน ศาลเจ้าแห่งลัทธิชินโต เป็นปริมณฑลแห่งความเชื่อและศาสนา หรืออุทยานประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะโบราณที่หาได้ยาก ไม่แพ้สถานที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ ของโลก เช่น เมืองลาซา กาฎมาณฑุและภักตะปูร์แห่งเนปาล หรือจตุรัสและโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ในยุโรป
4. วัดเทนริวจิและสวนภายในวัด แห่งอาราชิยามะ เมืองเกียวโต เป็นวัดนิกายเซนที่สงบเยือกเย็น เข้าไปแล้วเหมือนโลกและเวลาจะหยุดหมุนอยุ่ภายในวัด สถาปัตยกรรมของวัดที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ สวนเซนที่เยือกเย็นสงบงาม
5. อื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้ไป สะพานโบราณแห่งนิกโกะ ความสวยงามของภูมิประเทศของอาราชิยาม่า ตรอกโบราณของเกียวโต เมืองเก่าทาคายามะ บ้านโบราณแห่งชิราคาวาโกะ ป่าไผ่อาราชิยามะ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความประทับใจ และอารมณ์พิเศษบางอย่างให้แก่ผู้มาเยือน
ดังนั้นการเดินทางไปสถานที่ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายเหล่านี้ ล้วนแต่สร้างคุณค่าและประสบการณ์อันน่าติดตราตรึงใจให้แก่ชีวิต เป็นสิ่งช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณและหัวใจเราให้สงบงาม ให้มองเห็นโลกในด้านที่แท้จริง สามารถเชื่อมต่อภูมิปัญญาโบราณกับตัวตนของเราที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้ ทำให้เราไม่ขาดจากอดีต และสามารถขับเคลื่อนปัจจุบันได้อย่างภาคภูมิใจ
“ข้าพเจ้าเป็นภูผา
อาบดาวต่างเมฆ
วันวานมิมีย้อนกลับ
ดุจสายน้ำไหล
ใบไม้เป็นสีทองก่อนฤดูใบไม้ร่วง
วันคืนเบ่งบาน
ก่อนกาลหลับใหลในฤดูหนาว”
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้