หลังจากอ่าน โคะโคะโระ ของนะทซึเมะ โซเซะคิ เสร็จมีความรู้สึกว้าวอย่างเหลือเชื่อ แทบไม่อยากเชื่อว่าเล่มนี้เป็นงานเขียนตั้งแต่ ค.ศ.1916 (109 ปีที่แล้ว) ความคลาสสิคที่เหนือกาลเวลาคือแกนของเหตุการณ์ในสังคมเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วแทบไม่ได้แตกต่างจากยุคปัจจุบันเลย ที่ต่างแค่ผู้คน…
“โคะโคะโระ” มีความหมายใกล้เคียงกับ หัวใจ หรือจิตใจ… จิตใจที่หลากหลายของมนุษย์ ยากแก่การที่เข้าใจ และยากแก่หยั่งถึง โซเซะคิพยายามเขียนสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ได้จากการพัฒนาสังคมแบบก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของประเทศญี่ปุ่นในสมัยเมจิ ก่อให้เกิดความเหินห่าง ความอ้างว้าง ความเดียวดาย ความไม่คุ้นเคย ความเย็นชา และความไม่ไว้วางใจ การอ้าแขนรับอารยธรรมของโลกเสรีอย่างหลับหูหลับตาที่สร้างผลต่อการชำรุดหรือเป็นง่อยทางด้านจิตใจอย่างแสนสาหัส…
เล่มนี้เป็นงานเขียนที่มีความละเอียดอ่อน ลึกซึ้งทางปรัชญา ในวรรณกรรมเล่มนี้โซเซะคิต้องการชี้ให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของการใช้ “อิสรภาพ” ของปัจเจกชน ซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่ใช่อิสรภาพที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ หรืออิสรภาพที่เกิดขึ้นอย่างแท้จากจิตใจ…แต่เป็นเพียงแค่อิสรภาพจากการปรุงแต่ง
ผมถึงได้ตระหนักว่า เราอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่านกทุกตัวที่กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าคือความอิสรภาพ เพราะถ้าหากการบินของนกนั้นคือการโบยบินที่ปราศจากบ้าน บางทีมันเป็นแค่นกตัวหนึ่งที่กำลังหลงทาง หลงฝูงก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน…
ในฐานะที่เป็นมุสลิม ยิ่งตระหนักรู้อย่างชัดเจนว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงต้องละหมาดทุกวัน การละหมาดที่เป็นดั่งลมหายใจของมุสลิม เล่มนี้อาจชี้คำตอบให้ครับ
ปล.ต้องขอขอบคุณ ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์ และ กนก รุ่งกีรติกุลที่แปลวรรณกรรมคลาสสิกเล่มนี้ครับ
ริฎวาน ศอลิห์วงศ์สกุล
รีวิวโคะโคะโระ ของนะทซึเมะ โซเซะคิ
“โคะโคะโระ” มีความหมายใกล้เคียงกับ หัวใจ หรือจิตใจ… จิตใจที่หลากหลายของมนุษย์ ยากแก่การที่เข้าใจ และยากแก่หยั่งถึง โซเซะคิพยายามเขียนสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ได้จากการพัฒนาสังคมแบบก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของประเทศญี่ปุ่นในสมัยเมจิ ก่อให้เกิดความเหินห่าง ความอ้างว้าง ความเดียวดาย ความไม่คุ้นเคย ความเย็นชา และความไม่ไว้วางใจ การอ้าแขนรับอารยธรรมของโลกเสรีอย่างหลับหูหลับตาที่สร้างผลต่อการชำรุดหรือเป็นง่อยทางด้านจิตใจอย่างแสนสาหัส…
เล่มนี้เป็นงานเขียนที่มีความละเอียดอ่อน ลึกซึ้งทางปรัชญา ในวรรณกรรมเล่มนี้โซเซะคิต้องการชี้ให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของการใช้ “อิสรภาพ” ของปัจเจกชน ซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่ใช่อิสรภาพที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ หรืออิสรภาพที่เกิดขึ้นอย่างแท้จากจิตใจ…แต่เป็นเพียงแค่อิสรภาพจากการปรุงแต่ง
ผมถึงได้ตระหนักว่า เราอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่านกทุกตัวที่กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าคือความอิสรภาพ เพราะถ้าหากการบินของนกนั้นคือการโบยบินที่ปราศจากบ้าน บางทีมันเป็นแค่นกตัวหนึ่งที่กำลังหลงทาง หลงฝูงก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน…
ในฐานะที่เป็นมุสลิม ยิ่งตระหนักรู้อย่างชัดเจนว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงต้องละหมาดทุกวัน การละหมาดที่เป็นดั่งลมหายใจของมุสลิม เล่มนี้อาจชี้คำตอบให้ครับ
ปล.ต้องขอขอบคุณ ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์ และ กนก รุ่งกีรติกุลที่แปลวรรณกรรมคลาสสิกเล่มนี้ครับ
ริฎวาน ศอลิห์วงศ์สกุล