- ส่วนตัวผมชอบมาก สนุก บันเทิง ครบรส เหมือนเข้าไปเล่นสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นให้เล่นมากมายที่มอบทั้งความสนุก , ความระทึกขวัญและแถมโรคไบโพล่าร์เป็น Package เสริมไปพร้อมกัน ถึงแม้ว่าผมจะชื่นชอบ Hereditary (2018) กับ Midsommar (2019) ในความชัดเจนของ Genre ที่ตรงตัวมากกว่า แต่เรื่องนี้มันเล่นใหญ่กว่า ทะเยอทะยานกว่า แถมดูยากที่สุดไปกับการปล่อยของผู้กำกับ Ari Aster ที่ไม่รู้ไปเสพถูกตัวไหนมาถึงมี Energy ในการกล้ายำใหญ่สารพัดความบ้าบอที่จะสรรหาได้จากไอเดียความติสท์แตกมาปู๊ยี้แล้วใส่ Genre เป็นส่วนประกอบเสริมในการปรุงแต่งนานา ไม่ว่าทั้ง Action , Adventure , Comedy , Horror หรือ Thriller รุมเข้ามาจนเกิดความเพี้ยนของบทที่แปลกใหม่จนต้องทิ้งตรรกะและเหตุผลที่จะพยายามหาไปทันทีแล้วปล่อยให้หนังทำงานของมันไป เพราะตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 59 นาที ( ตีว่า 3 ชั่วโมง) ที่ดูว่านานแต่เหมือนผ่านไปเร็วมาก ซึ่งผมอินกับเรื่องถึงกับกลั้นฉี่เอาไว้ก่อน เพราะ ความน่าสนใจอยู่ที่เราคาดเดาเหตุการณ์ต่อไปไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้นไปด้วย ถ้าจะนั่งจับผิดหาเหตุผลทีละ Shot คงนั่งปวดหัวมากกว่าเดิมพอดี แถมแต่ละฉากมันพุ่งมาแบบไม่ทันตั้งตัวมาแบบไม่ปี่เป็นขลุ่ยมาเสร็จแล้วตัดข้ามไปอีกฉากหนึ่งดื้อ ๆ จากฉากหนึ่งที่กำลังตลกเฮฮาเมากาวอยู่ ๆ ตัดมาเป็นดราม่าสลดเศร้าสร้อยให้พักหายเหนื่อยบ้าง แล้วก็ไปฉากหลอน ๆ ขนลุกแล้วต่อด้วยฉากระเบิดตูมตามทันที ปล่อยให้ผมสตั๊นท์ไปชั่วขณะไม่ใยดี คือไม่ใช่ว่าตกใจกับจังหวะ Jump Scared อะไร แต่ตกใจกับความเร็วของ Mood อารมณ์ที่เหวี่ยงตามใจฉันสุด ๆ กว่าจะปรับอารมณ์ให้เข้าที่ได้ก็ต้องใช้เวลากันสักพักอยู่
- แม้บางช่วงที่พักเบรกจากการหักโหมของมหกรรมปาร์ตี้จนหาวออกมาทีละนิดบ้าง แต่ยังดีที่มีเสียง Score และเพลงประกอบชื่อดังช่วยบิวท์บรรยากาศให้มีความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างถูกเวลาดี แต่สิ่งหนึ่งของผมรู้สึกชอบและสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่นอกจากความกลัวก็คือประเด็นความสัมพันธ์ของตัวละครระหว่างตัวโบกับแม่ของโบ รับบทโดย Patti LuPone จาก Witness (1984) ที่นอกจากจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันแล้วยังทำให้เราซื้อใจไปกับสาระที่สื่อออกไปซ่อนอยู่ภายใต้ฉากกาว ๆ เพี้ยน ๆ ได้อย่างรวดเร็วเหมือนในผลงานที่ผ่านมาของแกที่เล่าตรงส่วนนี้ได้ดีงามไม่แพ้กัน แม้รายละเอียดระหว่างทางช่างตีความยากซะเหลือเกิน พอจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างบางอย่าง รวมถึงมันทำให้เรามองย้อนกลับไปดูตนเองแล้วทบทวนความหมายของคำว่า แม่ ที่ไม่ได้มองแค่ที่ผู้มีพระคุณหรือเป็นพระประจำบ้านแค่นั้น แต่พาไปสำรวจในแง่มุมอื่นที่เจาะไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่มีความคล้ายกับไทยอยู่ในบริบทสังคมที่ยังยึดถือระบบบุญคุณชักนำเป็นหลักทำให้ตอนดูผมรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนและข่มขื่นในสายตาของคนเป็นลูกจนเกิดความกดดันสะสมและบ่มเพาะความเกรงกลัวในเวลาต่อมาเพราะการมอบความรักและหน้าที่ของคนเป็นแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการอยากให้เป็นหรือทำเพื่อรักษาอำนาจของตนเองกันแน่ ด้วยความที่ผมดูหนังประเภทนี้มาเยอะรวมถึงก่อนหน้านี้ผมได้ดูเรื่อง Lost Highway (1997) ของผู้กำกับ David Lynch เจ้าพ่อแห่งการทำหนังตามใจฉันที่สร้างความอึ้ง ทึ่ง เหวอ และ เฮี้ยนให้แก่ผมจนปวดหัวได้สำเร็จมาแล้ว แต่พอมาเจอกับเรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะรับแรงกระแทกได้อยู่ อีกส่วนหนึ่งก็ติดตามของผู้กำกับคนนี้อยู่แล้วเลยทราบกิตติมาศัพท์ว่าโทนหนังจะมาในทางไหน
- ด้านการแสดงของเฮีย Joaquin Phoenix จาก Joker (2019) ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อใจได้แน่นอน เพราะแต่ละเรื่องที่แกแสดง ผมไม่ติดภาพลักษณ์ว่าแกต้องเป็นตัวละครคนนั้นแม้แต่เรื่องเดียว เล่นเรื่องไหนก็แสดงเป็นคนนั้นจนเราอินไปกับบทได้ง่าย รวมถึงเรื่องนี้ก็เช่นกัน แม้กระทั่งตัววัยเด็กก็คิดว่าแกแสดงเองด้วยแล้วใช้เทคโนโลยี AI ช่วยย้อนวัยลงแต่ที่จริงแล้วเป็นนักแสดงอีกคนอย่างน้อง Armen Nahapetian ที่ดันเหมือนเฮียอย่างกะเป็นคนเดียวกัน แต่พิเศษกว่าคือแกสามารถแสดงเป็นคนที่ตกอยู่ในสภาวะ Toxic ของความกลัวขั้นรุนแรงจนเกิดเรื่องวุ่นวายสารพัดได้ยอดเยี่ยมสุด ๆ แถมได้ปล่อยของปล่อยอะไรที่ไม่เคยเห็นแกก็จัดมาให้หมดจนล้างภาพจำ โจ๊กเกอร์ และเรื่องอื่นทันที จนผมถามกับตนเองว่า โบเอ๊ย แค่เอ็งจะเดินทางไปหาแม่ เอ็งไปเจอเรื่องอลวนนรกแตกอะไรขนาดนั้นวะ
- ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยฉากกาว ๆ เพี้ยน ๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อน ผมชอบฉากที่โบนั่งดูการแสดงของคณะละครเวทีแล้วใจตนเองล่องลอยไปกับเรื่องราวขณะนั้นไปด้วยที่สุด เพราะรู้สึกว่าเป็นช่วงที่ดูจะผ่อนคลายที่สุด แม้จะไม่ไว้ใจสถานการณ์รอบข้างอยู่ก็ตาม อารมณ์เหมือนนั่งดูเอนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลี่ที่พาเราด่ำดิ่งไปกับนิยายเทพปรัมปรา งานสร้างที่ทรงคุณค่า ภาพวาดที่มีจิตใจ และ จินตนาการของความมายาทั้งหลายจนแทบทำให้ผมปลดปล่อยมวลสารแห่งความหนักหน่วงจากการพบเจอแต่ฉากมั่วซั่วข้าวยำที่ผู้กำกับใส่สีตีไข่เข้ามาไม่ยั้งมือ แม้จะในชั่วพริบตาหนึ่งก็ยังดี ในขณะเดียวกันแกก็ไม่ทิ้งลายเซ็นต์ของจังหวะ Jump Scared ที่เดาทางไม่ได้แต่ถูกจังหวะตอนทีเผลอได้ดีอีกเช่นเคย เช่น ช่วงองค์แรกที่โบอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์แล้วข้างนอกเต็มไปด้วยความโกลาหลของโลกดิสโทเปีย บรรยากาศของความสิ้นหวัง โลกแตกเข้าไปทุกที และ ในช่วงองค์ 2 ตอนที่โบพักฟื้นอยู่ที่บ้านครอบครัวหมอ ผมนึกถึงผลงานกลิ่นอายของความอึดอัดและความน่ากลัวของตัวละครจาก 2 เรื่องที่ผ่านมาของแก และ Get Out ของผู้กำกับ Jordan Peele ผสมอยู่ไม่น้อย
- สรุป ถึงแม้จะไม่ได้ชอบที่สุดในผลงานกำกับของ Ari Aster แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้โดนใจผมจนติด 1 ใน List ของหนังที่ชื่นชอบประจำปีนี้ไปอีกเรื่อง เพราะ ความสุดอะไรหลายอย่างที่คาเดาไม่ได้ กล้านำเสนอในแนวทางที่แตกต่างมายัดรวมกันแต่ลงตัวอย่างงง ๆ ไม่รู้สึกว่ารกรุงรังเกินความจำเป็น แม้ความสมเหตุสมผลของบทที่เหลือเชือเกินจะค้นหาความจริงไปหลายขุม เพราะถูกแต่งเติมเสริมองค์จากไอเดียทั้งหลายของผู้กำกับผสมลงไปเยอะจนบดบังความเป็นมนุษย์ลงไปจนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนแต่ง ในทางกลับกันความไร้แก่นสารเหล่านี้ดันทำให้บทที่ซื่อตรงเพียงอึ่งเดียวอย่างประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวกลับสามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เก็บงำมากมายที่นอกเหนือจากความรักร่ายพรรณนาไหลยาวไปอีกหลายกิโลเมตรโดยไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่เชื่อว่าปลายทางบทสรุปจะเป็นอย่างไร (เพราะดูไม่รู้เรื่องแล้ว) จึงเลือกปล่อยให้หนังทำงานของมันไปแล้วโฟกัสไปที่ระหว่างทางที่เดินผ่านมาแทนว่าเราพบเจอได้หยิบบางสิ่งบางอย่างที่ตกข้างทางติดไม้ติดมือพอที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการคิดค้นเพื่อนำไปรังสรรค์อาหารให้น่ารับประทานตามสไตล์ของตนเองแค่ไหน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.36 Beau is Afraid : ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ล้วนถูกซ่อนอยู่ในความคลั่งที่บ้ายิ่งกว่า
- ส่วนตัวผมชอบมาก สนุก บันเทิง ครบรส เหมือนเข้าไปเล่นสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นให้เล่นมากมายที่มอบทั้งความสนุก , ความระทึกขวัญและแถมโรคไบโพล่าร์เป็น Package เสริมไปพร้อมกัน ถึงแม้ว่าผมจะชื่นชอบ Hereditary (2018) กับ Midsommar (2019) ในความชัดเจนของ Genre ที่ตรงตัวมากกว่า แต่เรื่องนี้มันเล่นใหญ่กว่า ทะเยอทะยานกว่า แถมดูยากที่สุดไปกับการปล่อยของผู้กำกับ Ari Aster ที่ไม่รู้ไปเสพถูกตัวไหนมาถึงมี Energy ในการกล้ายำใหญ่สารพัดความบ้าบอที่จะสรรหาได้จากไอเดียความติสท์แตกมาปู๊ยี้แล้วใส่ Genre เป็นส่วนประกอบเสริมในการปรุงแต่งนานา ไม่ว่าทั้ง Action , Adventure , Comedy , Horror หรือ Thriller รุมเข้ามาจนเกิดความเพี้ยนของบทที่แปลกใหม่จนต้องทิ้งตรรกะและเหตุผลที่จะพยายามหาไปทันทีแล้วปล่อยให้หนังทำงานของมันไป เพราะตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 59 นาที ( ตีว่า 3 ชั่วโมง) ที่ดูว่านานแต่เหมือนผ่านไปเร็วมาก ซึ่งผมอินกับเรื่องถึงกับกลั้นฉี่เอาไว้ก่อน เพราะ ความน่าสนใจอยู่ที่เราคาดเดาเหตุการณ์ต่อไปไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้นไปด้วย ถ้าจะนั่งจับผิดหาเหตุผลทีละ Shot คงนั่งปวดหัวมากกว่าเดิมพอดี แถมแต่ละฉากมันพุ่งมาแบบไม่ทันตั้งตัวมาแบบไม่ปี่เป็นขลุ่ยมาเสร็จแล้วตัดข้ามไปอีกฉากหนึ่งดื้อ ๆ จากฉากหนึ่งที่กำลังตลกเฮฮาเมากาวอยู่ ๆ ตัดมาเป็นดราม่าสลดเศร้าสร้อยให้พักหายเหนื่อยบ้าง แล้วก็ไปฉากหลอน ๆ ขนลุกแล้วต่อด้วยฉากระเบิดตูมตามทันที ปล่อยให้ผมสตั๊นท์ไปชั่วขณะไม่ใยดี คือไม่ใช่ว่าตกใจกับจังหวะ Jump Scared อะไร แต่ตกใจกับความเร็วของ Mood อารมณ์ที่เหวี่ยงตามใจฉันสุด ๆ กว่าจะปรับอารมณ์ให้เข้าที่ได้ก็ต้องใช้เวลากันสักพักอยู่
- แม้บางช่วงที่พักเบรกจากการหักโหมของมหกรรมปาร์ตี้จนหาวออกมาทีละนิดบ้าง แต่ยังดีที่มีเสียง Score และเพลงประกอบชื่อดังช่วยบิวท์บรรยากาศให้มีความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างถูกเวลาดี แต่สิ่งหนึ่งของผมรู้สึกชอบและสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่นอกจากความกลัวก็คือประเด็นความสัมพันธ์ของตัวละครระหว่างตัวโบกับแม่ของโบ รับบทโดย Patti LuPone จาก Witness (1984) ที่นอกจากจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันแล้วยังทำให้เราซื้อใจไปกับสาระที่สื่อออกไปซ่อนอยู่ภายใต้ฉากกาว ๆ เพี้ยน ๆ ได้อย่างรวดเร็วเหมือนในผลงานที่ผ่านมาของแกที่เล่าตรงส่วนนี้ได้ดีงามไม่แพ้กัน แม้รายละเอียดระหว่างทางช่างตีความยากซะเหลือเกิน พอจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างบางอย่าง รวมถึงมันทำให้เรามองย้อนกลับไปดูตนเองแล้วทบทวนความหมายของคำว่า แม่ ที่ไม่ได้มองแค่ที่ผู้มีพระคุณหรือเป็นพระประจำบ้านแค่นั้น แต่พาไปสำรวจในแง่มุมอื่นที่เจาะไปถึงโครงสร้างทางสังคมที่มีความคล้ายกับไทยอยู่ในบริบทสังคมที่ยังยึดถือระบบบุญคุณชักนำเป็นหลักทำให้ตอนดูผมรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนและข่มขื่นในสายตาของคนเป็นลูกจนเกิดความกดดันสะสมและบ่มเพาะความเกรงกลัวในเวลาต่อมาเพราะการมอบความรักและหน้าที่ของคนเป็นแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการอยากให้เป็นหรือทำเพื่อรักษาอำนาจของตนเองกันแน่ ด้วยความที่ผมดูหนังประเภทนี้มาเยอะรวมถึงก่อนหน้านี้ผมได้ดูเรื่อง Lost Highway (1997) ของผู้กำกับ David Lynch เจ้าพ่อแห่งการทำหนังตามใจฉันที่สร้างความอึ้ง ทึ่ง เหวอ และ เฮี้ยนให้แก่ผมจนปวดหัวได้สำเร็จมาแล้ว แต่พอมาเจอกับเรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะรับแรงกระแทกได้อยู่ อีกส่วนหนึ่งก็ติดตามของผู้กำกับคนนี้อยู่แล้วเลยทราบกิตติมาศัพท์ว่าโทนหนังจะมาในทางไหน
- ด้านการแสดงของเฮีย Joaquin Phoenix จาก Joker (2019) ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อใจได้แน่นอน เพราะแต่ละเรื่องที่แกแสดง ผมไม่ติดภาพลักษณ์ว่าแกต้องเป็นตัวละครคนนั้นแม้แต่เรื่องเดียว เล่นเรื่องไหนก็แสดงเป็นคนนั้นจนเราอินไปกับบทได้ง่าย รวมถึงเรื่องนี้ก็เช่นกัน แม้กระทั่งตัววัยเด็กก็คิดว่าแกแสดงเองด้วยแล้วใช้เทคโนโลยี AI ช่วยย้อนวัยลงแต่ที่จริงแล้วเป็นนักแสดงอีกคนอย่างน้อง Armen Nahapetian ที่ดันเหมือนเฮียอย่างกะเป็นคนเดียวกัน แต่พิเศษกว่าคือแกสามารถแสดงเป็นคนที่ตกอยู่ในสภาวะ Toxic ของความกลัวขั้นรุนแรงจนเกิดเรื่องวุ่นวายสารพัดได้ยอดเยี่ยมสุด ๆ แถมได้ปล่อยของปล่อยอะไรที่ไม่เคยเห็นแกก็จัดมาให้หมดจนล้างภาพจำ โจ๊กเกอร์ และเรื่องอื่นทันที จนผมถามกับตนเองว่า โบเอ๊ย แค่เอ็งจะเดินทางไปหาแม่ เอ็งไปเจอเรื่องอลวนนรกแตกอะไรขนาดนั้นวะ
- ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยฉากกาว ๆ เพี้ยน ๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อน ผมชอบฉากที่โบนั่งดูการแสดงของคณะละครเวทีแล้วใจตนเองล่องลอยไปกับเรื่องราวขณะนั้นไปด้วยที่สุด เพราะรู้สึกว่าเป็นช่วงที่ดูจะผ่อนคลายที่สุด แม้จะไม่ไว้ใจสถานการณ์รอบข้างอยู่ก็ตาม อารมณ์เหมือนนั่งดูเอนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลี่ที่พาเราด่ำดิ่งไปกับนิยายเทพปรัมปรา งานสร้างที่ทรงคุณค่า ภาพวาดที่มีจิตใจ และ จินตนาการของความมายาทั้งหลายจนแทบทำให้ผมปลดปล่อยมวลสารแห่งความหนักหน่วงจากการพบเจอแต่ฉากมั่วซั่วข้าวยำที่ผู้กำกับใส่สีตีไข่เข้ามาไม่ยั้งมือ แม้จะในชั่วพริบตาหนึ่งก็ยังดี ในขณะเดียวกันแกก็ไม่ทิ้งลายเซ็นต์ของจังหวะ Jump Scared ที่เดาทางไม่ได้แต่ถูกจังหวะตอนทีเผลอได้ดีอีกเช่นเคย เช่น ช่วงองค์แรกที่โบอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์แล้วข้างนอกเต็มไปด้วยความโกลาหลของโลกดิสโทเปีย บรรยากาศของความสิ้นหวัง โลกแตกเข้าไปทุกที และ ในช่วงองค์ 2 ตอนที่โบพักฟื้นอยู่ที่บ้านครอบครัวหมอ ผมนึกถึงผลงานกลิ่นอายของความอึดอัดและความน่ากลัวของตัวละครจาก 2 เรื่องที่ผ่านมาของแก และ Get Out ของผู้กำกับ Jordan Peele ผสมอยู่ไม่น้อย
- สรุป ถึงแม้จะไม่ได้ชอบที่สุดในผลงานกำกับของ Ari Aster แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้โดนใจผมจนติด 1 ใน List ของหนังที่ชื่นชอบประจำปีนี้ไปอีกเรื่อง เพราะ ความสุดอะไรหลายอย่างที่คาเดาไม่ได้ กล้านำเสนอในแนวทางที่แตกต่างมายัดรวมกันแต่ลงตัวอย่างงง ๆ ไม่รู้สึกว่ารกรุงรังเกินความจำเป็น แม้ความสมเหตุสมผลของบทที่เหลือเชือเกินจะค้นหาความจริงไปหลายขุม เพราะถูกแต่งเติมเสริมองค์จากไอเดียทั้งหลายของผู้กำกับผสมลงไปเยอะจนบดบังความเป็นมนุษย์ลงไปจนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนแต่ง ในทางกลับกันความไร้แก่นสารเหล่านี้ดันทำให้บทที่ซื่อตรงเพียงอึ่งเดียวอย่างประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวกลับสามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เก็บงำมากมายที่นอกเหนือจากความรักร่ายพรรณนาไหลยาวไปอีกหลายกิโลเมตรโดยไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่เชื่อว่าปลายทางบทสรุปจะเป็นอย่างไร (เพราะดูไม่รู้เรื่องแล้ว) จึงเลือกปล่อยให้หนังทำงานของมันไปแล้วโฟกัสไปที่ระหว่างทางที่เดินผ่านมาแทนว่าเราพบเจอได้หยิบบางสิ่งบางอย่างที่ตกข้างทางติดไม้ติดมือพอที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการคิดค้นเพื่อนำไปรังสรรค์อาหารให้น่ารับประทานตามสไตล์ของตนเองแค่ไหน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้