จากกระแส วิมานหนามที่กลับมาอีกรอบช่วงนี้ เพราะพึ่งลง netflix
ทำให้ผมกลับมาคิดถึงภาพรวมของวงการหนังไทย
มี 4 เรื่องที่ถูกไฮท์ไลท์ โดดเด่นกว่าเรื่องอื่น
สัปเหร่อ ธี่หยด หลานม่า วิมานหนาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้ดูทั้ง 4 เรื่องเลย
(แต่ก่อนผมติดตามวงการหนัง พอมีงานเยอะเลยไม่ได้ตามมากเท่าเดิม)
และ 2ปีที่ผ่านมา มีหนังที่น่าสนใจอีกหลายเรื่อง แต่ผม ยก 4 เรื่องนี้มา
เพราะเป็นหนังที่เป็นกระแส ทำเงินดี และแฟนหนัง/แฟนคลับเอามาเทียบกัน
ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะ มีองค์ประกอบบางอย่างเหมือนกัน
เช่น หนังแนวผีที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน(สัปเหร่อ-ธี่หยด)
หรือ หนังที่นักแสดงนำที่มีการสร้างฐานแฟนคลับจากด้อมวาย( บิวกิ้น:หลานม่า เจฟ-อิงฟ้า:วิมานหนาม)
และด้อมนางงาม(อิงฟ้า:วิมานหนาม)
ย้อนไป ปี 2566 มีกระแส เรื่อง สัปเหร่อ vs ธี่หยด ที่กระแสแรง และทำเงินดีทั้งคู่
สัปเหร่อ สร้างฐานแฟนคลับจาก ไทบ้าน เดอะซีรีส์
จุดขายของไทบ้านคือวิถีอีสาน โดยคนอีสาน
( เพื่อคนอีสานมั้ย ไม่รู้ แต่บิซิเนสโมเดลป่าล้อมเมือง +DUBอีสานSUB ไทยกลาง)
ในขณะที่ ธี่หยด เอาเรื่องผีที่ไวรัลมาขาย พร้อมนักแสดงแม่เหล็ก
(ในยุคที่พลังดาราก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จของหนังได้อีกต่อไป เพราะบางเรื่อง ดาราดัง หนังก็เจ๊งได้)
ถ้าสัปเหร่อเป็นตัวแทนของความเป็นภูธร ทั้งนักแสดง ทีมงาน ผู้กำกับ เนื้อหา โลเคชั่น เส้นทางมาเก็ตติ้ง(ที่เริ่มจากฐานแฟนต่างจังหวัดก่อน)
ธี่หยดก็เป็นตัวแทนของความคนกรุง
แม้เนื้อหาโลเคชั่นไม่เมือง แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของ วัฒนธรรมcreepypasta ของคนรุ่นใหม่ (การเล่าเรื่องธี่หยด จากกระทู้ ไปสู่ podcast)
และนักแสดงก็โตจากส่วนกลางของอุตสาหกรรมหนัง
ผู้กำกับไทย มีฝีมือหลายคน
แต่การทำให้หนังประสบความสำเร็จด้านรายได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบที่มากกว่า ฝีมือผู้กำกับ
ซึ่งถ้าให้มองจาก 2 เรื่อง ก็คือ "เรื่องผี"
(ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด ถ้า Genre หนังที่ทำเงินในบ้านเรามักจะเป็นเรื่องผี
แต่ถ้ามีGenreอื่นทำรายได้ดี บ่อยๆด้วย วงการหนังบ้านเราก็จะเข้มแข็งขึ้น)
พอมาถึงปี 2567
หนังไทยก็มีความคึกคัก ด้วยกระแสหลานม่า และวิมานหนาม
หลานม่า มีจุดขายในเรื่อง ครอบครัวไทยเชื้อสายจีน
มีความแซะ เด็กเจนZ และความดราม่าที่มีรากฐานจากจีนขงจื้อ
กระแสหลานม่า น่าสนใจตรงที่ เมื่อนำไปฉายต่างประเทศ
ก็ได้ผู้ชมที่มีประสบการณ์ร่วมจากประเทศอื่นๆในอาเซียน (ด้วยความเป็นจีนพ้นทะเลเหมือนกัน)
และถึงแม้ผู้ชมจะไม่ได้เป็นคนเชื้อสายจีน หรือเป็นจีนโพ้นทะเลที่เจนหลังๆแล้ว
แต่ก็สามารถอินกับเรื่องราวของครอบครัวได้เหมือนกัน
ในช่วงครึ่งหลังของปี 67
วิมานหนามก็ออกมา พร้อมกับช่วงที่กม.สมรสเท่าเทียมกำลังอยู่ในกระบวนการประกาศใช้
ในขณะที่หลานม่าก็มี นักแสดงที่เติบโตมาจากคอมมูนิตี้ซีรีส์วาย
วิมานหมานก็มีนักแสดงทั้งชาย-หญิง ที่เติบโตมาจากคอมมูนิตี้ซีรีส์วาย เช่นกัน
ซึ่งสำหรับผมมองว่า วิมานหนามพึ่งพาพลังแม่เหล็กจากนักแสดงในการเรียกแขกในช่วงต้น
มากกว่าหลานม่า เพราะด้วยลักษณะธีมของเรื่อง (ดราม่าหนักกว่า เล่าเรื่องคนชายขอบ)
ผมไม่ได้ดูหนัง ทั้ง2เรื่อง แต่อ่านเรื่องย่อและคอมเม้นท์ของแฟนๆในโซเชียล
(คือคิดว่าคงไม่ได้ดูหนังเร็วๆนี้แน่ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากนั่งดูหนัง โดยเฉพาะหนังที่มีประเด็นเครียดๆ )
ผมค่อนข้างพอใจกับ คุณภาพ/ประเด็นที่หนังทั้ง2เรื่องมอบในแก่คนดู
ผมขอพูดแค่วิมานหนาม เพราะอ่านคอมเม้นท์คนในโซเชียลแล้วเกิดความคิดหลายอย่าง
แม้จะยังไม่ได้ดู เลยไม่รู้จังหวะการเล่าเรื่องของผู้กำกับ
แต่ในเรื่องของissueในหนังที่สะท้อนออกมาในคอมเม้นท์คนในโซเชีนล
ผมมองว่า วิมานหนาม คือ
ภาชนะบรรจุ Thainess ในแบบที่ผมชอบ
(ผมขอใช้คำว่า ภาชนะบรรจุ เพราะผมไม่ได้ดูหนัง แต่รู้จากคนอื่นว่าในหนังมีเนื้อหาอะไร)
กระแสวิมานหนามอาจจะไม่หวือหวาเท่าหลานม่า แต่ ความเรือธง ของวงการหนังไทยไม่ด้อยไปกว่ากัน
วิมานหนาม บรรจุอะไรบ้าง?
1. LGBTQ in real life
เรื่องนี้ไปไกลกว่าที่คิดในประเด็น ทางเพศ ที่ไม่ใช่แค่ ชายรักกับชาย
แต่ยังอธิบายถึงเรื่องราวคู่ชีวิต ที่ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่
มีครอบครัวต้องดูแล มีภาระหนี้สินต้องจัดการ ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
(ซึ่งหลังจากกฎหมายเท่าเทียมออกมาแล้ว ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าจะมีพลวัตอะไรต่อสังคม ให้ต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป )
2.ผลผลิต จากวายคอมมูนิตี้ (+ด้อมนางงาม)
ถ้าซีรีย์วายไทย คือการโอบอุ้มวงการบันเทิงไทย แต่ถูกปรามาสว่ายังขาดความลุ่มลึกเชิงเนื้อหา
และฝีมือการแสดงของดาราวายไทยยังโดยเฉลี่ย ยังไม่ได้รับการยอมรับ
วิมานหนาม เหมือนพื้นที่พิสูจน์ความสามารถของนักแสดงที่โตมาจากการโอบอุ้มวงการบันเทิงไทยของวายคอมมูนิตี้
3.ความชายขอบ และความเป็นมนุษย์
จากคอมเม้นท์ในโซเชียล
หนังสามารถทำให้คนดูเห็นใจในโชคชะตาตัวละคร
แต่ก็เกลียดการกระทำของตัวละครเดียวกันนี้ได้ในเวลาเดียวกัน
4. เปิดมุมมอง คนต่างจังหวัด-คนกรุง พลวัตแฟชั่น
(โดยส่วนตัว ที่อยู่ต่างจังหวัด ก็เห็นวัยรุ่นใส่เสื้อผ้าแบบแฟชั่นตามงานบุญบ้าง แต่หนังหน้ากับรูปร่างไม่ได้เท่าเจฟเท่านั้นเอง 55 )
5. วัฒนธรรมที่สวยงาม และ ความหมายแฝงของการกดข่ม (ปิตา-ข่มมาตา)
นอกจากจะนำเสนอปัญหาของเพศวิถี หนังยังนำเสนอการฟาดฟัน กดข่มกันระหว่างเพศสภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพศชาย
บวชได้-แม่เสกยังต้องกราบ
เอาเมียเป็นคนใช้
เพศหญิง
เอาความเป็นแม่ข่ม ทวงบุญคุณกับคนรักของลูก
6. อาร์ทไดเร็คชั่น
อิงฟ้าไม่ห่วงสวย ส่วนเจฟเพราะเป็นลูกครึ่ง(หลายชาติ?) แต่ทรงหน้าก็ไม่ฉีกจากการเล่าเรื่อง ตจว.มากจนขัดใจ ได้อยู่
โล ในเรื่องคือแม่ฮ่องสอน แต่ที่ถ่ายทำคือตราด ได้บรรยากาศเมืองเหนือ ในฐานะเด็กที่โตภาคเหนือ นี่ไม่รู้เลยว่าเขาใช้จังหวัดภาคอื่น
4 เรื่อง ที่กล่าวไว้ข้างต้น คือความพึ่งพอใจของผมต่อหนังไทยใน ช่วง1-2ปีนี้
จริงๆ มีเรื่องอื่นที่ทีมงานก็ใช้ความพยายามไม่แพ้กัน แต่อาจจะไม่ได้ยกมาพูด
รวมถึงฝ่ายซีรีย์ ที่มีเรื่องย้อนยุคมากขึ้น ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
เอาใจช่วยให้วงการหนังไทย-ซีรีย์ไทย แข็งแรง และ Healthy ทุกภาคส่วน
ไม่ต้องหวือหวา แต่ถ้าทำดี มันก็จะทำให้คนในชาติอิ่มใจ-ภูมิใจในความสามารถของคนไทย
แบบที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้
//ไว้อั้น list หนังที่อยากดูมากพอ จะจ่ายnetflixเข้าไปดูให้เต็มที่
จากสัปเหร่อ ถึง วิมานหนาม ทิศทางที่น่าพึ่งพอใจและคาดหวังให้แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ผมกลับมาคิดถึงภาพรวมของวงการหนังไทย
มี 4 เรื่องที่ถูกไฮท์ไลท์ โดดเด่นกว่าเรื่องอื่น สัปเหร่อ ธี่หยด หลานม่า วิมานหนาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ย้อนไป ปี 2566 มีกระแส เรื่อง สัปเหร่อ vs ธี่หยด ที่กระแสแรง และทำเงินดีทั้งคู่
สัปเหร่อ สร้างฐานแฟนคลับจาก ไทบ้าน เดอะซีรีส์
จุดขายของไทบ้านคือวิถีอีสาน โดยคนอีสาน
( เพื่อคนอีสานมั้ย ไม่รู้ แต่บิซิเนสโมเดลป่าล้อมเมือง +DUBอีสานSUB ไทยกลาง)
ในขณะที่ ธี่หยด เอาเรื่องผีที่ไวรัลมาขาย พร้อมนักแสดงแม่เหล็ก
(ในยุคที่พลังดาราก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จของหนังได้อีกต่อไป เพราะบางเรื่อง ดาราดัง หนังก็เจ๊งได้)
ถ้าสัปเหร่อเป็นตัวแทนของความเป็นภูธร ทั้งนักแสดง ทีมงาน ผู้กำกับ เนื้อหา โลเคชั่น เส้นทางมาเก็ตติ้ง(ที่เริ่มจากฐานแฟนต่างจังหวัดก่อน)
ธี่หยดก็เป็นตัวแทนของความคนกรุง
แม้เนื้อหาโลเคชั่นไม่เมือง แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของ วัฒนธรรมcreepypasta ของคนรุ่นใหม่ (การเล่าเรื่องธี่หยด จากกระทู้ ไปสู่ podcast)
และนักแสดงก็โตจากส่วนกลางของอุตสาหกรรมหนัง
ผู้กำกับไทย มีฝีมือหลายคน
แต่การทำให้หนังประสบความสำเร็จด้านรายได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบที่มากกว่า ฝีมือผู้กำกับ
ซึ่งถ้าให้มองจาก 2 เรื่อง ก็คือ "เรื่องผี"
(ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด ถ้า Genre หนังที่ทำเงินในบ้านเรามักจะเป็นเรื่องผี
แต่ถ้ามีGenreอื่นทำรายได้ดี บ่อยๆด้วย วงการหนังบ้านเราก็จะเข้มแข็งขึ้น)
พอมาถึงปี 2567
หนังไทยก็มีความคึกคัก ด้วยกระแสหลานม่า และวิมานหนาม
หลานม่า มีจุดขายในเรื่อง ครอบครัวไทยเชื้อสายจีน
มีความแซะ เด็กเจนZ และความดราม่าที่มีรากฐานจากจีนขงจื้อ
กระแสหลานม่า น่าสนใจตรงที่ เมื่อนำไปฉายต่างประเทศ
ก็ได้ผู้ชมที่มีประสบการณ์ร่วมจากประเทศอื่นๆในอาเซียน (ด้วยความเป็นจีนพ้นทะเลเหมือนกัน)
และถึงแม้ผู้ชมจะไม่ได้เป็นคนเชื้อสายจีน หรือเป็นจีนโพ้นทะเลที่เจนหลังๆแล้ว
แต่ก็สามารถอินกับเรื่องราวของครอบครัวได้เหมือนกัน
ในช่วงครึ่งหลังของปี 67
วิมานหนามก็ออกมา พร้อมกับช่วงที่กม.สมรสเท่าเทียมกำลังอยู่ในกระบวนการประกาศใช้
ในขณะที่หลานม่าก็มี นักแสดงที่เติบโตมาจากคอมมูนิตี้ซีรีส์วาย
วิมานหมานก็มีนักแสดงทั้งชาย-หญิง ที่เติบโตมาจากคอมมูนิตี้ซีรีส์วาย เช่นกัน
ซึ่งสำหรับผมมองว่า วิมานหนามพึ่งพาพลังแม่เหล็กจากนักแสดงในการเรียกแขกในช่วงต้น
มากกว่าหลานม่า เพราะด้วยลักษณะธีมของเรื่อง (ดราม่าหนักกว่า เล่าเรื่องคนชายขอบ)
ผมไม่ได้ดูหนัง ทั้ง2เรื่อง แต่อ่านเรื่องย่อและคอมเม้นท์ของแฟนๆในโซเชียล
(คือคิดว่าคงไม่ได้ดูหนังเร็วๆนี้แน่ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากนั่งดูหนัง โดยเฉพาะหนังที่มีประเด็นเครียดๆ )
ผมค่อนข้างพอใจกับ คุณภาพ/ประเด็นที่หนังทั้ง2เรื่องมอบในแก่คนดู
ผมขอพูดแค่วิมานหนาม เพราะอ่านคอมเม้นท์คนในโซเชียลแล้วเกิดความคิดหลายอย่าง
แม้จะยังไม่ได้ดู เลยไม่รู้จังหวะการเล่าเรื่องของผู้กำกับ
แต่ในเรื่องของissueในหนังที่สะท้อนออกมาในคอมเม้นท์คนในโซเชีนล
ผมมองว่า วิมานหนาม คือ ภาชนะบรรจุ Thainess ในแบบที่ผมชอบ
(ผมขอใช้คำว่า ภาชนะบรรจุ เพราะผมไม่ได้ดูหนัง แต่รู้จากคนอื่นว่าในหนังมีเนื้อหาอะไร)
กระแสวิมานหนามอาจจะไม่หวือหวาเท่าหลานม่า แต่ ความเรือธง ของวงการหนังไทยไม่ด้อยไปกว่ากัน
วิมานหนาม บรรจุอะไรบ้าง?
1. LGBTQ in real life
เรื่องนี้ไปไกลกว่าที่คิดในประเด็น ทางเพศ ที่ไม่ใช่แค่ ชายรักกับชาย
แต่ยังอธิบายถึงเรื่องราวคู่ชีวิต ที่ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่
มีครอบครัวต้องดูแล มีภาระหนี้สินต้องจัดการ ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
(ซึ่งหลังจากกฎหมายเท่าเทียมออกมาแล้ว ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าจะมีพลวัตอะไรต่อสังคม ให้ต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป )
2.ผลผลิต จากวายคอมมูนิตี้ (+ด้อมนางงาม)
ถ้าซีรีย์วายไทย คือการโอบอุ้มวงการบันเทิงไทย แต่ถูกปรามาสว่ายังขาดความลุ่มลึกเชิงเนื้อหา
และฝีมือการแสดงของดาราวายไทยยังโดยเฉลี่ย ยังไม่ได้รับการยอมรับ
วิมานหนาม เหมือนพื้นที่พิสูจน์ความสามารถของนักแสดงที่โตมาจากการโอบอุ้มวงการบันเทิงไทยของวายคอมมูนิตี้
3.ความชายขอบ และความเป็นมนุษย์
จากคอมเม้นท์ในโซเชียล
หนังสามารถทำให้คนดูเห็นใจในโชคชะตาตัวละคร
แต่ก็เกลียดการกระทำของตัวละครเดียวกันนี้ได้ในเวลาเดียวกัน
4. เปิดมุมมอง คนต่างจังหวัด-คนกรุง พลวัตแฟชั่น
(โดยส่วนตัว ที่อยู่ต่างจังหวัด ก็เห็นวัยรุ่นใส่เสื้อผ้าแบบแฟชั่นตามงานบุญบ้าง แต่หนังหน้ากับรูปร่างไม่ได้เท่าเจฟเท่านั้นเอง 55 )
5. วัฒนธรรมที่สวยงาม และ ความหมายแฝงของการกดข่ม (ปิตา-ข่มมาตา)
นอกจากจะนำเสนอปัญหาของเพศวิถี หนังยังนำเสนอการฟาดฟัน กดข่มกันระหว่างเพศสภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
6. อาร์ทไดเร็คชั่น
อิงฟ้าไม่ห่วงสวย ส่วนเจฟเพราะเป็นลูกครึ่ง(หลายชาติ?) แต่ทรงหน้าก็ไม่ฉีกจากการเล่าเรื่อง ตจว.มากจนขัดใจ ได้อยู่
โล ในเรื่องคือแม่ฮ่องสอน แต่ที่ถ่ายทำคือตราด ได้บรรยากาศเมืองเหนือ ในฐานะเด็กที่โตภาคเหนือ นี่ไม่รู้เลยว่าเขาใช้จังหวัดภาคอื่น
4 เรื่อง ที่กล่าวไว้ข้างต้น คือความพึ่งพอใจของผมต่อหนังไทยใน ช่วง1-2ปีนี้
จริงๆ มีเรื่องอื่นที่ทีมงานก็ใช้ความพยายามไม่แพ้กัน แต่อาจจะไม่ได้ยกมาพูด
รวมถึงฝ่ายซีรีย์ ที่มีเรื่องย้อนยุคมากขึ้น ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
เอาใจช่วยให้วงการหนังไทย-ซีรีย์ไทย แข็งแรง และ Healthy ทุกภาคส่วน
ไม่ต้องหวือหวา แต่ถ้าทำดี มันก็จะทำให้คนในชาติอิ่มใจ-ภูมิใจในความสามารถของคนไทย
แบบที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้
//ไว้อั้น list หนังที่อยากดูมากพอ จะจ่ายnetflixเข้าไปดูให้เต็มที่