จากเหตุการณ์ที่ทางผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลกดดันให้พรรคยุติดีลพรรคชาติพัฒนากล้าในการเข้าร่วมรัฐบาล แม้ว่าพรรคชาติพัฒนากล้าจะมีเพียงแค่ 2 เสียง แต่มันเป็นสัญญาณให้พรรคก้าวไกลเจอความยากลำบากมากขึ้นอย่างยิ่งในการรวมเสียงโหวตให้พิธาเป็นนายก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่สร้างเงื่อนไขมากที่สุดในทุกพรรคการเมือง เพราะเป็นพรรคที่ต้องการการเมืองใหม่ที่ขาวสะอาด มีความชัดเจนตรงไปตรงมา ทำลายความเหลื่อมล้ำของสังคม อย่างไรก็ตามทีมงานพรรคก้าวไกลก็อยู่กับความเป็นจริงที่ว่า การแก้ปัญหาต่างๆต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป การผูกมัดตัวเองด้วยเงื่อนไขมากเกินไป จะทำให้ความฝันของคนทั้งประเทศไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ จึงต้องลำดับความสำคัญในการสร้างเงื่อนไขก่อนหลังให้อยู่ในระดับที่เกิดขึ้นจริงได้ ไม่เป็นอุดมคติสวยงามทางวิชาการจนเกินไปแต่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
ยกตัวอย่างกรณีมาตรา 112 แน่นอนว่าในอนาคตประชาชนมีแนวโน้มอยากให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 แต่ด้วยความที่เป็นประเด็นหลักที่หลายพรรคไม่เห็นด้วย ไม่เฉพาะแต่พรรคขั้วตรงข้ามแต่พรรคขั้วเดียวกันก็ยังมีความเห็นที่หลากหลาย อีกทั้งหลายประเทศทั่วโลกก็มีกฎหมายนี้เพื่อปกป้องผู้นำไว้ให้ต่างจากกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป ทางพรรคจึงปรับจูนให้เป็นการแก้ไขมาตรา 112 เฉพาะเรื่องลดโทษที่รุนแรงเกินไปให้ลงมาเหมาะสมเหมือนประเทศอื่น และจำกัดผู้ฟ้องร้องให้แคบลงไม่ใช่ให้ใครฟ้องก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้น้องๆเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจาก 112 ก็ยอมรับได้ในความค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้จริง
(ขอบคุณภาพประกอบจาก มติชน)
ก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลได้กำหนดเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลไว้แน่นกว่าพรรคอื่น คือ
1. มีลุงไม่มีเรา ไม่เอารวมไทยสร้างชาติ ไม่เอาพลังประชารัฐ
2. จะร่วมกับภูมิใจไทยได้ ก็ต่อเมื่อไม่กลับมาคุมกระทรวงคมนาคมและสาธารณสุข
แค่ 2 เงื่อนไขนี้ก็ถูกมองจากนักวิชาการทางการเมืองจำนวนมากว่า ข้อดีคือแสดงความชัดเจนโดนใจได้ใจประชาชน แต่ก็มีข้อเสียคือเป็นเงื่อนไขที่แน่นเกินไป ทำให้การร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจริงได้ยาก
จะเห็นว่าทางพรรคก้าวไกลไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่ร่วมกับคนที่เคยยกมือโหวตให้พลเอกประยุทธ (อย่างเช่นคุณท็อปพรรคชาติไทยพัฒนา) และก็ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่ร่วมกับพรรคที่มีคนเคยอยู่ในกลุ่ม กปปส (อย่างเช่นคุณกรณ์ พรรคชาติพัฒนากล้า) ทั้งนี้ก็เพราะพรรคก้าวไกลประเมินในความเป็นจริงแล้วว่าเงื่อนไขในเชิงอุดมการณ์ทั้งหมดที่จะไม่เอาคนที่ช่วยกันสืบทอดอำนาจลุงเลย มันมากเกินไปจนเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล จึงตั้งเงื่อนไขในสิ่งที่สำคัญคือไม่เอาลุงไว้เป็นหลัก เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นได้จริงก่อนแล้วจึงค่อยมาแก้ปัญหาลงรายละเอียดในภายหลัง
(ขอบคุณภาพประกอบจาก The Standard)
หลังการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของประเทศอย่างพลิกความคาดหมาย ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือการรวม 376 เสียงเพื่อเอาชนะด่าน สว. ด้วยจำนวนเสียงส่วนต่างที่เหลือจำนวนมาก ทำให้พรรคต้องการคะแนนเพิ่มเติมจากสองกลุ่ม คือ เชิญชวน สว. และ สส. ขั้วตรงข้าม มาช่วยกันโหวตเพื่อพาพิธาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการจะให้ สส.ขั้วตรงข้ามมายกมือโหวตให้โดยที่ไม่ชวนมาร่วมรัฐบาลเป็นไปได้ยากมาก ประกอบกับจำนวน สว. ที่มีท่าทีโหวตให้มีจำนวนน้อยกว่าที่คิด พรรคจึงมีท่าทีต้องการเสียงจาก สส. ขั้วตรงข้ามมากขึ้น ซึ่งพรรคที่มีศักยภาพมากพอ นอกจากพรรคภูมิใจไทย(70)ที่มีนโยบายหลายข้อไม่สอดคล้องกับพรรคก้าวไกลแล้ว ก็จะมีพรรคประชาธิปัตย์(24) และพรรคชาติไทยพัฒนา(10) ที่มีเสียงจำนวนพอสมควร
การที่พรรคก้าวไกลเลือกที่จะดีลกับพรรคชาติพัฒนากล้า(2) ก่อนพรรคอื่น เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะตอนนี้จำนวนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล 313 เสียงกำลังเป็นเลขที่สวยงามในแง่ความสมดุล จึงอยากเพิ่มจำนวนเสียงเล็กๆเข้ามาให้มากที่สุดก่อนในระหว่างที่กำลังประสานขอเสียงจาก สว. อีกทั้งที่ผ่านมาพรรคชาติพัฒนากล้าก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์ขัดแย้งกับพรรคก้าวไกล และด้วยความที่มีแค่ 2 เสียง จึงมั่นใจว่าสามารถเจรจาต่อรองให้ยังคงทิศทางการทำงานของพรรคก้าวไกลเป็นหลักสำคัญได้ แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดคือกลายเป็นว่าแฟนๆของพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีไม่โอเคกับการเจรจาลักษณะนี้ ออกมากดดันไม่เอาพรรคชาติพัฒนากล้าด้วยสาเหตุที่ว่าหัวหน้าพรรคอย่างคุณกรณ์เคยอยู่ในกลุ่ม กปปส และเคยยกมือให้พลเอกประยุทธ ทั้งๆที่ 2 เสียงที่จะเข้ามาก็ไม่ได้มีชื่อคุณกรณ์แต่อย่างใด และการตัดสินใจของพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ขัดกับเงื่อนไขที่พรรคก้าวไกลตั้งไว้แต่ก่อนเลือกตั้งคือไม่เอาแค่ 2 ลุง เท่ากับว่าอยู่ๆประชาชนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลก็มาเพิ่มเงื่อนไขให้พรรคทำงานได้อย่างยากลำบากมากขึ้นเอาตอนนี้ โดยประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์ของทีมงานพรรคมาก่อน
(ขอบคุณภาพประกอบจาก TPBS)
การกดดันจากผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลครั้งนี้ ยังมีผลถึงการดีลกับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ในลำดับต่อไปจะถูกปิดประตูไปด้วย ทั้งๆที่เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่จะเปิดประตูให้พรรคก้าวไกลไปสู่การเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจริง แก้ปัญหาทลายทุนผูกขาด ปฏิรูปกองทัพ สร้างรัฐสวัสดิการ แก้ไข 112 สมรสเท่าเทียม สุราเสรี อย่างที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลให้ความหวังเอาไว้ ต้องมาเจอทางตันเพราะความ Strict มากเกินไปของแฟนๆพรรคก้าวไกล เกินเลยจากเงื่อนไขที่พรรคก้าวไกลได้ตีกรอบเอาไว้แต่แรก
ขณะนี้ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลบางส่วนกำลังพาก้าวไกลไปสู่ทางตันด้วยการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าจะไม่เอาคนที่เคยสนับสนุนลุงมาทั้งหมด ยิ่งทำให้โอกาสในการรวมเสียงจาก สว. และ สส.ขั้วตรงข้าม เกิดขึ้นได้ยาก เป็นเงื่อนไขของความสวยงามทางการเมืองแบบอุดมคติ ทั้งๆที่ความหวังของประเทศนั้นกำลังจะมีโอกาสเริ่มต้นได้แล้ว และโอกาสอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆอาจจะต้องรอคอยอีกนานกว่าจะกลับมาอีกครั้ง
จึงอยากให้แฟนๆผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ได้ไว้วางใจและให้โอกาสพรรคของท่าน ให้พรรคมีความคล่องตัวมากขึ้นในการประสานงานต่อรอง ซึ่งถึงปัจจุบันพรรคก็ยังคงยึดมั่นในเงื่อนไขที่ตั้งไว้ คือมีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา ส่วนประเด็นอื่นๆอะไรที่ต่อรองกันได้ก็ได้โปรดไว้วางใจให้ทางพรรคดำเนินการไปด้วยวิจารณญาณ ที่ทางพรรคย่อมต้องประเมินแล้วว่า "เสียน้อยเพื่อได้มาก" เพื่อเป้าหมายของการเข้าถึงอำนาจในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ตามที่ประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามาอยากให้เกิดขึ้นจริง
แฟนๆพรรคก้าวไกลอาจจะกำลังบีบให้พรรคก้าวไกลไปถึงทางตัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่สร้างเงื่อนไขมากที่สุดในทุกพรรคการเมือง เพราะเป็นพรรคที่ต้องการการเมืองใหม่ที่ขาวสะอาด มีความชัดเจนตรงไปตรงมา ทำลายความเหลื่อมล้ำของสังคม อย่างไรก็ตามทีมงานพรรคก้าวไกลก็อยู่กับความเป็นจริงที่ว่า การแก้ปัญหาต่างๆต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป การผูกมัดตัวเองด้วยเงื่อนไขมากเกินไป จะทำให้ความฝันของคนทั้งประเทศไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ จึงต้องลำดับความสำคัญในการสร้างเงื่อนไขก่อนหลังให้อยู่ในระดับที่เกิดขึ้นจริงได้ ไม่เป็นอุดมคติสวยงามทางวิชาการจนเกินไปแต่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
ยกตัวอย่างกรณีมาตรา 112 แน่นอนว่าในอนาคตประชาชนมีแนวโน้มอยากให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 แต่ด้วยความที่เป็นประเด็นหลักที่หลายพรรคไม่เห็นด้วย ไม่เฉพาะแต่พรรคขั้วตรงข้ามแต่พรรคขั้วเดียวกันก็ยังมีความเห็นที่หลากหลาย อีกทั้งหลายประเทศทั่วโลกก็มีกฎหมายนี้เพื่อปกป้องผู้นำไว้ให้ต่างจากกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป ทางพรรคจึงปรับจูนให้เป็นการแก้ไขมาตรา 112 เฉพาะเรื่องลดโทษที่รุนแรงเกินไปให้ลงมาเหมาะสมเหมือนประเทศอื่น และจำกัดผู้ฟ้องร้องให้แคบลงไม่ใช่ให้ใครฟ้องก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้น้องๆเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจาก 112 ก็ยอมรับได้ในความค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้จริง
(ขอบคุณภาพประกอบจาก มติชน)
ก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลได้กำหนดเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลไว้แน่นกว่าพรรคอื่น คือ
1. มีลุงไม่มีเรา ไม่เอารวมไทยสร้างชาติ ไม่เอาพลังประชารัฐ
2. จะร่วมกับภูมิใจไทยได้ ก็ต่อเมื่อไม่กลับมาคุมกระทรวงคมนาคมและสาธารณสุข
แค่ 2 เงื่อนไขนี้ก็ถูกมองจากนักวิชาการทางการเมืองจำนวนมากว่า ข้อดีคือแสดงความชัดเจนโดนใจได้ใจประชาชน แต่ก็มีข้อเสียคือเป็นเงื่อนไขที่แน่นเกินไป ทำให้การร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจริงได้ยาก
จะเห็นว่าทางพรรคก้าวไกลไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่ร่วมกับคนที่เคยยกมือโหวตให้พลเอกประยุทธ (อย่างเช่นคุณท็อปพรรคชาติไทยพัฒนา) และก็ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าจะไม่ร่วมกับพรรคที่มีคนเคยอยู่ในกลุ่ม กปปส (อย่างเช่นคุณกรณ์ พรรคชาติพัฒนากล้า) ทั้งนี้ก็เพราะพรรคก้าวไกลประเมินในความเป็นจริงแล้วว่าเงื่อนไขในเชิงอุดมการณ์ทั้งหมดที่จะไม่เอาคนที่ช่วยกันสืบทอดอำนาจลุงเลย มันมากเกินไปจนเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล จึงตั้งเงื่อนไขในสิ่งที่สำคัญคือไม่เอาลุงไว้เป็นหลัก เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นได้จริงก่อนแล้วจึงค่อยมาแก้ปัญหาลงรายละเอียดในภายหลัง
(ขอบคุณภาพประกอบจาก The Standard)
หลังการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของประเทศอย่างพลิกความคาดหมาย ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือการรวม 376 เสียงเพื่อเอาชนะด่าน สว. ด้วยจำนวนเสียงส่วนต่างที่เหลือจำนวนมาก ทำให้พรรคต้องการคะแนนเพิ่มเติมจากสองกลุ่ม คือ เชิญชวน สว. และ สส. ขั้วตรงข้าม มาช่วยกันโหวตเพื่อพาพิธาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการจะให้ สส.ขั้วตรงข้ามมายกมือโหวตให้โดยที่ไม่ชวนมาร่วมรัฐบาลเป็นไปได้ยากมาก ประกอบกับจำนวน สว. ที่มีท่าทีโหวตให้มีจำนวนน้อยกว่าที่คิด พรรคจึงมีท่าทีต้องการเสียงจาก สส. ขั้วตรงข้ามมากขึ้น ซึ่งพรรคที่มีศักยภาพมากพอ นอกจากพรรคภูมิใจไทย(70)ที่มีนโยบายหลายข้อไม่สอดคล้องกับพรรคก้าวไกลแล้ว ก็จะมีพรรคประชาธิปัตย์(24) และพรรคชาติไทยพัฒนา(10) ที่มีเสียงจำนวนพอสมควร
การที่พรรคก้าวไกลเลือกที่จะดีลกับพรรคชาติพัฒนากล้า(2) ก่อนพรรคอื่น เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะตอนนี้จำนวนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล 313 เสียงกำลังเป็นเลขที่สวยงามในแง่ความสมดุล จึงอยากเพิ่มจำนวนเสียงเล็กๆเข้ามาให้มากที่สุดก่อนในระหว่างที่กำลังประสานขอเสียงจาก สว. อีกทั้งที่ผ่านมาพรรคชาติพัฒนากล้าก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์ขัดแย้งกับพรรคก้าวไกล และด้วยความที่มีแค่ 2 เสียง จึงมั่นใจว่าสามารถเจรจาต่อรองให้ยังคงทิศทางการทำงานของพรรคก้าวไกลเป็นหลักสำคัญได้ แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดคือกลายเป็นว่าแฟนๆของพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีไม่โอเคกับการเจรจาลักษณะนี้ ออกมากดดันไม่เอาพรรคชาติพัฒนากล้าด้วยสาเหตุที่ว่าหัวหน้าพรรคอย่างคุณกรณ์เคยอยู่ในกลุ่ม กปปส และเคยยกมือให้พลเอกประยุทธ ทั้งๆที่ 2 เสียงที่จะเข้ามาก็ไม่ได้มีชื่อคุณกรณ์แต่อย่างใด และการตัดสินใจของพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ขัดกับเงื่อนไขที่พรรคก้าวไกลตั้งไว้แต่ก่อนเลือกตั้งคือไม่เอาแค่ 2 ลุง เท่ากับว่าอยู่ๆประชาชนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลก็มาเพิ่มเงื่อนไขให้พรรคทำงานได้อย่างยากลำบากมากขึ้นเอาตอนนี้ โดยประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์ของทีมงานพรรคมาก่อน
(ขอบคุณภาพประกอบจาก TPBS)
การกดดันจากผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลครั้งนี้ ยังมีผลถึงการดีลกับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ในลำดับต่อไปจะถูกปิดประตูไปด้วย ทั้งๆที่เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่จะเปิดประตูให้พรรคก้าวไกลไปสู่การเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจริง แก้ปัญหาทลายทุนผูกขาด ปฏิรูปกองทัพ สร้างรัฐสวัสดิการ แก้ไข 112 สมรสเท่าเทียม สุราเสรี อย่างที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลให้ความหวังเอาไว้ ต้องมาเจอทางตันเพราะความ Strict มากเกินไปของแฟนๆพรรคก้าวไกล เกินเลยจากเงื่อนไขที่พรรคก้าวไกลได้ตีกรอบเอาไว้แต่แรก
ขณะนี้ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลบางส่วนกำลังพาก้าวไกลไปสู่ทางตันด้วยการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าจะไม่เอาคนที่เคยสนับสนุนลุงมาทั้งหมด ยิ่งทำให้โอกาสในการรวมเสียงจาก สว. และ สส.ขั้วตรงข้าม เกิดขึ้นได้ยาก เป็นเงื่อนไขของความสวยงามทางการเมืองแบบอุดมคติ ทั้งๆที่ความหวังของประเทศนั้นกำลังจะมีโอกาสเริ่มต้นได้แล้ว และโอกาสอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆอาจจะต้องรอคอยอีกนานกว่าจะกลับมาอีกครั้ง
จึงอยากให้แฟนๆผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ได้ไว้วางใจและให้โอกาสพรรคของท่าน ให้พรรคมีความคล่องตัวมากขึ้นในการประสานงานต่อรอง ซึ่งถึงปัจจุบันพรรคก็ยังคงยึดมั่นในเงื่อนไขที่ตั้งไว้ คือมีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา ส่วนประเด็นอื่นๆอะไรที่ต่อรองกันได้ก็ได้โปรดไว้วางใจให้ทางพรรคดำเนินการไปด้วยวิจารณญาณ ที่ทางพรรคย่อมต้องประเมินแล้วว่า "เสียน้อยเพื่อได้มาก" เพื่อเป้าหมายของการเข้าถึงอำนาจในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ตามที่ประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามาอยากให้เกิดขึ้นจริง