หญิงสาวใต้สำนึก
“ฉันว่าฉันบอกเธอไปตั้งหลายครั้งแล้วนะ ว่างานเลี้ยงสังสรรค์หลังเลิกงานน่ะ เพลาได้ก็ให้เพลาลงบ้าง ไหนจะเหล้า ไหนจะบุหรี่ ถามจริง ๆ เถอะ ว่าของพวกนี้มันมีอะไรดี สนุกแค่แป๊บเดียว แต่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพ สติสตังก็หายหมด แถมพอเลิกกิน...ตื่นนอนแล้ว ก็ต้องมามึน ๆ มาทนปวดหัวแบบนี้อีก”
หลังจากที่ ‘จินต์’ ทำเมินไม่สนใจ และแกล้งทำให้อีกฝ่ายเห็นว่า ตนเองยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงมาพักใหญ่ ๆ แต่เมื่อเสียงพร่ำบ่นไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงสักที ทนหงุดหงิดรำคาญต่อไปอีกไม่ไหว จนในที่สุดเขาก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา
เพราะอาการปวดหัวแทบระเบิด จากการดื่มกินกันมาอย่างหนัก กับเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ทำให้ชายหนุ่มนอนหลับไม่สนิท พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างไม่เป็นสุขเลยสักนิด
และก็ด้วยเหตุนั้น อาการพะอืดพะอมไม่ปกติต่าง ๆ จึงยิ่งรุนแรงเป็นทบทวี และมันก็ทำให้เช้าวันนี้สำหรับเขา กลายเป็นเช้าที่ไม่สดใสเลยสักนิด
สองมือช่วยกันยันกายให้ลุกขึ้นจากที่นอนนุ่มแสนสบาย อย่างไม่สู้จะสบอารมณ์เท่าใดนัก ดวงตาฉ่ำแดงเหลือบมองผ่านออกไปทางช่องหน้าต่าง ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนบางเบาสะบัดชายเล็กน้อย สภาพแสงแรงกล้าที่ส่องเข้ามา บอกให้รู้ว่าขณะนี้คงจะสายมากแล้ว
สะบัดศีรษะไปมาสองสามครั้ง พร้อมกับใช้นิ้วมือนวดคลึงบริเวณขมับเบา ๆ โดยหวังว่าจะช่วยทุเลาอาการอันชวนทรมานที่เป็นอยู่ลงได้ เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว จึงค่อยหันกลับมาให้ความสนใจ กับผู้ที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงอีกครั้งหนึ่ง
ที่ตรงนั้น หญิงสาวคนหนึ่งคนนี้ เธอที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี กำลังนั่งกอดอกอยู่ด้วยสีหน้าถทึงอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ทั้งอย่างนั้น ดวงตาที่จ้องเขม็งปานจะกินเลือดกินเนื้อของเธอ ก็กลับฉาบฉายเอาไว้ด้วยแววห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
มองลึกเข้าไปในดวงตา...ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ ที่เขาได้เห็นตาคู่งามคู่นี้ของหญิงสาวตรงหน้าเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดหนัก จำได้แค่เพียงว่า ในเวลานั้นทั้งเขาและเธอ ต่างก็ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น
แล้วจินตนาการของจิตน์ก็เริ่มทำงาน ความทรงจำในหัวค่อย ๆ พาเขา ให้ถอยย้อนกลับไปสู่คืนวันแห่งอดีต ในวันแรกแห่งการพบพานวันนั้น...
“นี่...ทำไมเธอถึงเลือกปืนเป็นของขวัญวันเกิดกันล่ะ เธออยากได้เจ้านี้จริง ๆ น่ะหรือ มันไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย ดูอันตรายด้วย เอามาเล่นก็ได้แค่ยิงให้มีเสียงดังหนวกหู ไม่เห็นจะน่าสนุกอะไรเลยสักนิด”
เด็กชายจินต์ ซึ่งกำลังนั่งแกะซองพลาสติกที่ห่อปืนของเล่นออก อยู่เพียงลำพังในบ้านของตนเองอย่างขะมักเขม้น เงยหน้าขึ้นมองอย่างมีสีหน้าแปลกใจ ที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเล็กใสของใครคนหนึ่ง มายืนพูดเจื้อยแจ้วอยู่ในระยะประชิดโดยไม่รู้ตัว
เธอเป็นเด็กหญิงวัยเดียวกัน หรือไม่ก็ไล่เลี่ยกันกับเขา ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ไม่เคยเห็นและรับรู้ว่าเคยมีเพื่อนคนนี้มาก่อน น่าแปลก...แทนที่จะรู้สึกระแวงหรือกลัว ว่าเหตุใดเด็กหญิงผู้นี้ถึงเข้ามาอยู่ในบ้านได้ ความคุ้นเคยกลับกลายเป็นสิ่งที่ผุดและฉาบฉายอยู่ในใจ
“ที่สำคัญน่ะนะ ถ้าเธอชอบปืน มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนใจร้ายได้นะ”
เพื่อน ๆ ของเขาแต่ละคนก็มีปืนกันหมด พวกนั้นต่างก็วิ่งเล่น ยิงปืนกันอย่างสนุกสนานทั้งวัน เพราะอย่างเข้ากลุ่มกับคนอื่น ๆ บ้าง วันเกิดปีนี้เด็กชายก็เลยของให้แม่ซื้อปืนให้กับตัวเอง เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด
มีปืนก็มีเพื่อน มีเพื่อนก็ได้วิ่งเล่น นั่นต้องเป็นเรื่องดี ต้องมีความสุขสิ แล้วทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงได้บอกว่ามันเป็นเรื่องไมดีกันล่ะ...ปราศจากการเจรจาตอบโต้ใด ๆ เด็กชายทำเมินผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขากระชับด้ามปืนของเล่นในมือ และวิ่งออกจากบ้านไปยังสนามเด็กเล่น
เด็กหญิงปริศนาหยุดพูด สีหน้าเรียบเฉยขึ้นทันใด เธอไม่ได้ขยับตัวหรือเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ทำเพียงเหลียวมองตาม จนกระทั่งร่างเล็กของเด็กชายจินต์หายลับตาไป
“โอ๊ย แง...”
เมื่อเสียงโหวกเหวกร้องไห้ของเด็กชายคนหนึ่งดังแผดขึ้นมา ความสงบเงียบยามนั่งรอเพื่อเปลี่ยนคาบเรียนตามปกติภายในห้องเรียนชั้นประถม จึงถูกทำลายลงและแทนที่ด้วยความปั่นป่วนโกลาหลแทบจะในทันที
“นี่ ๆ พวกเธอ นั่งรอเงียบ ๆ กันไม่เป็นหรือไง ไหน เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร ว๊าย นายเอก ทำไมปากแตกอย่างนี้” ครูเจ้าของคาบเรียนที่เพิ่งเดินมาถึง ตะเบ็งเสียงแข็งอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะรีบเข้าไปดูบาดแผลของผู้เสียหาย
“จินต์เขาชกเอกค่ะ ครู” หนึ่งในนักเรียนหญิงที่นั่งใกล้ ๆ ซึ่งเห็นเหตุการณ์ร้องบอก
“นายจินต์ เธอไปชกเพื่อนทำไม มานี่เลย มานี่” ครูทำเสียงเข้มดุ พร้อมดึงแขนของเด็กชายผู้ก่อเหตุให้ลุกขึ้นยืน
“เขาเอาดินสอของผมไปซ่อน เขาแกล้งผมก่อนนะครับครู” เด็กชายจินต์อธิบายสาเหตุ
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ถึงเพื่อนจะเอาดินสอของเธอไปซ่อน เธอก็ชกเข้าไม่ได้ เข้าใจไหม”
ครูนำตัวของเด็กชายเอกไปส่งยังห้องพยาบาลเพื่อทำแผล ทำโทษเด็กชายจินต์โดยการให้ยืนสำนึกผิดอยู่หน้าห้องเรียนเป็นเวลาหนึ่งคาบ ก่อนจะกลับมาจัดการเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าเด็กภายในห้อง ให้คืนสู่ความเป็นระเบียบอีกครั้ง เพื่อที่จะได้เริ่มเรียนกันได้เสียที
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นฝ่ายถูกแกล้งก่อน เขาก็แค่ตอบโต้ออกไป เพื่อที่จะทำให้ได้ดินสอของตัวเองคืนมาเท่านั้น แล้วทำไมเขาถึงกลับกลายเป็นฝ่ายผิด มีเพียงเขาผู้เดียวที่ต้องถูกทำโทษแบบนี้...
เด็กชายจินต์คิดวกไปวนมาแบบนี้อยู่ในหัว ด้วยอารมณ์ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาถูกทำโทษ แต่เป็นเพราะว่าเขากำลังต่อต้าน ไม่ยอมรับ และคิดว่านี่มันไม่ยุติธรรมสักนิดสำหรับเขา
“ก็อย่างที่ครูบอกนั่นละ การใช้กำลังน่ะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด มันก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น เธอแก้แค้นได้ ทำให้เพื่อนเจ็บได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ถูกแก้หรอกนะ การกระทำของเธอมันมีแต่สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเท่านั้น แล้วสุดท้ายเธอก็ต้องถูกลงโทษอย่างที่เป็นอยู่นี่ไง”
เด็กชายละสายตาออกจากพื้นปูนตรงหน้า เหลียวมองไปมองทางต้นเสียงเล็กใสที่ได้ยิน ที่ตรงนั้น เด็กหญิงผมสั้นในชุดนักเรียนประถมคนหนึ่ง กำลังยืนตัวตรงราวกับเคารพธงชาติอยู่ไม่ไกลออกไปจากเขา
“หากเธอยังจะทำอย่างนี้ เอาแต่ใช้กำลังต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็จะกลายเป็นอันธพาลที่มีแต่คนเกลียด ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ สุดท้ายแล้ว เธอก็จะไม่มีใคร ไม่เหลือใครที่พอจะมองเห็นตัวจริง มองเห็นความงามที่แท้จริงจากภายในของเธอ”
หลบสายตาลงต่ำ จ้องมองมือขวาที่กำลังกำแน่นของตัวเอง มือที่เพิ่งออกแรงชกเพื่อนของตัวเองไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มันมีรอยช้ำและยังเจ็บอยู่
“ลองใจเย็น ๆ ก่อนดีไหม แล้วถามตัวเองอีกครั้งสิว่า เธออยากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”
เขาคลายกำปั้นออก เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ได้ยิน เป็นเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร ปล่อยให้เด็กหญิงที่กำลังยืนอยู่ด้วยกันกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไร้ตัวตนไปในสายตา และในความรู้สึกของตนเอง
แล้วสีหน้าของเธอก็กลับปรากฏแววหม่นหมอง ก่อนที่จะค่อย ๆ ยืนนิ่งและเงียบเสียงลงไปในที่สุด
“เฮ้ย เวรละ ลูกฟุตบอลพุ่งเข้าแปลงดอกไม้ไปโน่นแล้ว เตะเอาแรงเข้าว่า แต่ไร้เรดาร์ตลอดเลยนะเอ็ง รีบไปเก็บมาอย่างด่วนเลย เดี๋ยวพวกผู้หญิงมาเจอก่อนแล้วเอาไปฟ้องอาจารย์แม่ ถูกสั่งห้ามเล่นขึ้นมา ซวยกันหมดพอดี”
เวลาพักเที่ยง...หลังจากที่เติมพลังจนอิ่มท้องกับเรียบร้อยแล้ว เด็กผู้หญิงอาจจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับการนั่งคุย เอารูปถ่ายหรือของน่ารัก ๆ มาอวดกัน แต่สำหรับเด็กผู้ชาย สิ่งที่มักได้รับความสนใจเสมอนั้นคือการแบ่งฝั่งเตะฟุตบอลหรือเล่นกีฬากัน
ตั้งแต่เริ่มเติบใหญ่ขึ้นมา เด็กชายจินต์ค้นพบว่า ตัวของเขาเองนั้นค่อนข้างมีความสามารถทางด้านกีฬาอย่างจำกัด กีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน กรีฑา ว่ายน้ำ เขาเคยลองมาทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะประเภทใดก็ทำได้ไม่ดีเลยสักอย่าง
อันที่จริง ถ้าจะพูดให้ชัดไปกว่านั้น นอกจากทำได้ไม่ดีแล้ว เขาไม่สนุกที่ได้เล่น ไม่รู้สึกชอบเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมารวมกลุ่มเล่นกับเพื่อน ๆ ด้วยเพราะแค่เพียงไม่อยากให้ตัวเองต้องรู้สึกแปลกแยกออกจากคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง
เด็กชายในชุดนักเรียนมัธยมต้น เดินอย่างเอื่อยเฉื่อยออกจากสนามหญ้า ไปตามทิศทางที่ลูกฟุตบอลลอยไป กวาดสายตามองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง แปลงดอกไม้มีร่องรอยของความเสียหายให้ได้เห็น กิ่งก้านของบางต้นบางดอกฉีกหักอย่างน่าสงสาร ลูกฟุตบอลที่เขาเตะมาคงจะกลิ้งเข้าไปในพงหญ้า ด้านหลังแปลงดอกไม้ตรงนั้น
ก้าวเท้าจะเดินลัดเข้าไปเก็บ แต่คิดแล้วก็เปลี่ยนใจชะงักเท้าไว้ ก่อนจะเดินอ้อมแปลงแสนสวยเหล่านั้น เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางแทน
“น่าสงสารนะ ดอกไม้สวย ๆ น่ารัก ๆ พวกนี้ ที่เหล่าเพื่อนผู้หญิงอุตส่าห์เฝ้าดูแลทะนุถนอมมาตั้งนาน ต้องมาเสียหายเพราะเรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบนี้”
เสียงเล็กใสดังขึ้นทางด้านหลัง ในขณะที่เด็กชายกำลังแหวกฝ่าพงหญ้าเข้าไป
“แน่นอนว่าการเล่นกีฬาเป็นสิ่งที่ดี แต่กีฬาบางประเภทก็ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคนหรอกนะ อย่างฟุตบอลเนี่ย ต้องวิ่งต้องเบียดกันจนเจ็บตัวบ้าง ได้แผลบ้าง แถมเหงื่อก็ออกเยอะแยะ ต้องทนนั่งเหนียวตัว เหม็นเหงื่อ ตอนเรียนช่วงบ่ายอีก คิดดูสิ ว่ามันควรจะเล่น มันเหมาะกับเธอหรือ”
คว้าลูกฟุตบอลที่กลิ้งไปแอบแนบชิดอยู่กับกำแพงรั้วมาไว้ในมือ สำรวจร่องรอยสกปรกบนลูกกลมและตามเสื้อผ้าเนื้อตัวของตัวเองอย่างพินิจพิจารณา
“แล้วดูสิ สนามแคบ ๆ แบบนี้ พอเธอเตะแรงหน่อย ลูกฟุตบอลมันก็ลอยออกมาไกลขนาดนี้ ดอกไม้ที่น่าสงสาร เพื่อน ๆ ที่ทุ่มเทและตั้งใจเองก็น่าสงสารเหมือนกัน”
เห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเด็กหญิงในชุดนักเรียนมัธยมต้นตรงหน้าแล้ว ภายในใจก็ครุ่นคิดอะไรหน่อยหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น เขาก็อุ้มลูกฟุตบอลเดินผ่านเธอ เพื่อกลับไปรวมกลุ่มกันกับเพื่อน ๆ ที่สนามบอล
และทิ้งให้เธอต้องยืนอยู่ลำพังเพียงคนเดียวอีกครั้ง
หญิงสาวใต้สำนึก
“ฉันว่าฉันบอกเธอไปตั้งหลายครั้งแล้วนะ ว่างานเลี้ยงสังสรรค์หลังเลิกงานน่ะ เพลาได้ก็ให้เพลาลงบ้าง ไหนจะเหล้า ไหนจะบุหรี่ ถามจริง ๆ เถอะ ว่าของพวกนี้มันมีอะไรดี สนุกแค่แป๊บเดียว แต่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพ สติสตังก็หายหมด แถมพอเลิกกิน...ตื่นนอนแล้ว ก็ต้องมามึน ๆ มาทนปวดหัวแบบนี้อีก”
หลังจากที่ ‘จินต์’ ทำเมินไม่สนใจ และแกล้งทำให้อีกฝ่ายเห็นว่า ตนเองยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงมาพักใหญ่ ๆ แต่เมื่อเสียงพร่ำบ่นไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงสักที ทนหงุดหงิดรำคาญต่อไปอีกไม่ไหว จนในที่สุดเขาก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา
เพราะอาการปวดหัวแทบระเบิด จากการดื่มกินกันมาอย่างหนัก กับเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ทำให้ชายหนุ่มนอนหลับไม่สนิท พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างไม่เป็นสุขเลยสักนิด
และก็ด้วยเหตุนั้น อาการพะอืดพะอมไม่ปกติต่าง ๆ จึงยิ่งรุนแรงเป็นทบทวี และมันก็ทำให้เช้าวันนี้สำหรับเขา กลายเป็นเช้าที่ไม่สดใสเลยสักนิด
สองมือช่วยกันยันกายให้ลุกขึ้นจากที่นอนนุ่มแสนสบาย อย่างไม่สู้จะสบอารมณ์เท่าใดนัก ดวงตาฉ่ำแดงเหลือบมองผ่านออกไปทางช่องหน้าต่าง ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนบางเบาสะบัดชายเล็กน้อย สภาพแสงแรงกล้าที่ส่องเข้ามา บอกให้รู้ว่าขณะนี้คงจะสายมากแล้ว
สะบัดศีรษะไปมาสองสามครั้ง พร้อมกับใช้นิ้วมือนวดคลึงบริเวณขมับเบา ๆ โดยหวังว่าจะช่วยทุเลาอาการอันชวนทรมานที่เป็นอยู่ลงได้ เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว จึงค่อยหันกลับมาให้ความสนใจ กับผู้ที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงอีกครั้งหนึ่ง
ที่ตรงนั้น หญิงสาวคนหนึ่งคนนี้ เธอที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี กำลังนั่งกอดอกอยู่ด้วยสีหน้าถทึงอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ทั้งอย่างนั้น ดวงตาที่จ้องเขม็งปานจะกินเลือดกินเนื้อของเธอ ก็กลับฉาบฉายเอาไว้ด้วยแววห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
มองลึกเข้าไปในดวงตา...ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ ที่เขาได้เห็นตาคู่งามคู่นี้ของหญิงสาวตรงหน้าเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดหนัก จำได้แค่เพียงว่า ในเวลานั้นทั้งเขาและเธอ ต่างก็ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น
แล้วจินตนาการของจิตน์ก็เริ่มทำงาน ความทรงจำในหัวค่อย ๆ พาเขา ให้ถอยย้อนกลับไปสู่คืนวันแห่งอดีต ในวันแรกแห่งการพบพานวันนั้น...
“นี่...ทำไมเธอถึงเลือกปืนเป็นของขวัญวันเกิดกันล่ะ เธออยากได้เจ้านี้จริง ๆ น่ะหรือ มันไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย ดูอันตรายด้วย เอามาเล่นก็ได้แค่ยิงให้มีเสียงดังหนวกหู ไม่เห็นจะน่าสนุกอะไรเลยสักนิด”
เด็กชายจินต์ ซึ่งกำลังนั่งแกะซองพลาสติกที่ห่อปืนของเล่นออก อยู่เพียงลำพังในบ้านของตนเองอย่างขะมักเขม้น เงยหน้าขึ้นมองอย่างมีสีหน้าแปลกใจ ที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเล็กใสของใครคนหนึ่ง มายืนพูดเจื้อยแจ้วอยู่ในระยะประชิดโดยไม่รู้ตัว
เธอเป็นเด็กหญิงวัยเดียวกัน หรือไม่ก็ไล่เลี่ยกันกับเขา ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ไม่เคยเห็นและรับรู้ว่าเคยมีเพื่อนคนนี้มาก่อน น่าแปลก...แทนที่จะรู้สึกระแวงหรือกลัว ว่าเหตุใดเด็กหญิงผู้นี้ถึงเข้ามาอยู่ในบ้านได้ ความคุ้นเคยกลับกลายเป็นสิ่งที่ผุดและฉาบฉายอยู่ในใจ
“ที่สำคัญน่ะนะ ถ้าเธอชอบปืน มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนใจร้ายได้นะ”
เพื่อน ๆ ของเขาแต่ละคนก็มีปืนกันหมด พวกนั้นต่างก็วิ่งเล่น ยิงปืนกันอย่างสนุกสนานทั้งวัน เพราะอย่างเข้ากลุ่มกับคนอื่น ๆ บ้าง วันเกิดปีนี้เด็กชายก็เลยของให้แม่ซื้อปืนให้กับตัวเอง เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด
มีปืนก็มีเพื่อน มีเพื่อนก็ได้วิ่งเล่น นั่นต้องเป็นเรื่องดี ต้องมีความสุขสิ แล้วทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงได้บอกว่ามันเป็นเรื่องไมดีกันล่ะ...ปราศจากการเจรจาตอบโต้ใด ๆ เด็กชายทำเมินผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขากระชับด้ามปืนของเล่นในมือ และวิ่งออกจากบ้านไปยังสนามเด็กเล่น
เด็กหญิงปริศนาหยุดพูด สีหน้าเรียบเฉยขึ้นทันใด เธอไม่ได้ขยับตัวหรือเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ทำเพียงเหลียวมองตาม จนกระทั่งร่างเล็กของเด็กชายจินต์หายลับตาไป
“โอ๊ย แง...”
เมื่อเสียงโหวกเหวกร้องไห้ของเด็กชายคนหนึ่งดังแผดขึ้นมา ความสงบเงียบยามนั่งรอเพื่อเปลี่ยนคาบเรียนตามปกติภายในห้องเรียนชั้นประถม จึงถูกทำลายลงและแทนที่ด้วยความปั่นป่วนโกลาหลแทบจะในทันที
“นี่ ๆ พวกเธอ นั่งรอเงียบ ๆ กันไม่เป็นหรือไง ไหน เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไร ว๊าย นายเอก ทำไมปากแตกอย่างนี้” ครูเจ้าของคาบเรียนที่เพิ่งเดินมาถึง ตะเบ็งเสียงแข็งอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะรีบเข้าไปดูบาดแผลของผู้เสียหาย
“จินต์เขาชกเอกค่ะ ครู” หนึ่งในนักเรียนหญิงที่นั่งใกล้ ๆ ซึ่งเห็นเหตุการณ์ร้องบอก
“นายจินต์ เธอไปชกเพื่อนทำไม มานี่เลย มานี่” ครูทำเสียงเข้มดุ พร้อมดึงแขนของเด็กชายผู้ก่อเหตุให้ลุกขึ้นยืน
“เขาเอาดินสอของผมไปซ่อน เขาแกล้งผมก่อนนะครับครู” เด็กชายจินต์อธิบายสาเหตุ
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ถึงเพื่อนจะเอาดินสอของเธอไปซ่อน เธอก็ชกเข้าไม่ได้ เข้าใจไหม”
ครูนำตัวของเด็กชายเอกไปส่งยังห้องพยาบาลเพื่อทำแผล ทำโทษเด็กชายจินต์โดยการให้ยืนสำนึกผิดอยู่หน้าห้องเรียนเป็นเวลาหนึ่งคาบ ก่อนจะกลับมาจัดการเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าเด็กภายในห้อง ให้คืนสู่ความเป็นระเบียบอีกครั้ง เพื่อที่จะได้เริ่มเรียนกันได้เสียที
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นฝ่ายถูกแกล้งก่อน เขาก็แค่ตอบโต้ออกไป เพื่อที่จะทำให้ได้ดินสอของตัวเองคืนมาเท่านั้น แล้วทำไมเขาถึงกลับกลายเป็นฝ่ายผิด มีเพียงเขาผู้เดียวที่ต้องถูกทำโทษแบบนี้...
เด็กชายจินต์คิดวกไปวนมาแบบนี้อยู่ในหัว ด้วยอารมณ์ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาถูกทำโทษ แต่เป็นเพราะว่าเขากำลังต่อต้าน ไม่ยอมรับ และคิดว่านี่มันไม่ยุติธรรมสักนิดสำหรับเขา
“ก็อย่างที่ครูบอกนั่นละ การใช้กำลังน่ะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด มันก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น เธอแก้แค้นได้ ทำให้เพื่อนเจ็บได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ถูกแก้หรอกนะ การกระทำของเธอมันมีแต่สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเท่านั้น แล้วสุดท้ายเธอก็ต้องถูกลงโทษอย่างที่เป็นอยู่นี่ไง”
เด็กชายละสายตาออกจากพื้นปูนตรงหน้า เหลียวมองไปมองทางต้นเสียงเล็กใสที่ได้ยิน ที่ตรงนั้น เด็กหญิงผมสั้นในชุดนักเรียนประถมคนหนึ่ง กำลังยืนตัวตรงราวกับเคารพธงชาติอยู่ไม่ไกลออกไปจากเขา
“หากเธอยังจะทำอย่างนี้ เอาแต่ใช้กำลังต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็จะกลายเป็นอันธพาลที่มีแต่คนเกลียด ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ สุดท้ายแล้ว เธอก็จะไม่มีใคร ไม่เหลือใครที่พอจะมองเห็นตัวจริง มองเห็นความงามที่แท้จริงจากภายในของเธอ”
หลบสายตาลงต่ำ จ้องมองมือขวาที่กำลังกำแน่นของตัวเอง มือที่เพิ่งออกแรงชกเพื่อนของตัวเองไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มันมีรอยช้ำและยังเจ็บอยู่
“ลองใจเย็น ๆ ก่อนดีไหม แล้วถามตัวเองอีกครั้งสิว่า เธออยากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ”
เขาคลายกำปั้นออก เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ได้ยิน เป็นเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร ปล่อยให้เด็กหญิงที่กำลังยืนอยู่ด้วยกันกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไร้ตัวตนไปในสายตา และในความรู้สึกของตนเอง
แล้วสีหน้าของเธอก็กลับปรากฏแววหม่นหมอง ก่อนที่จะค่อย ๆ ยืนนิ่งและเงียบเสียงลงไปในที่สุด
“เฮ้ย เวรละ ลูกฟุตบอลพุ่งเข้าแปลงดอกไม้ไปโน่นแล้ว เตะเอาแรงเข้าว่า แต่ไร้เรดาร์ตลอดเลยนะเอ็ง รีบไปเก็บมาอย่างด่วนเลย เดี๋ยวพวกผู้หญิงมาเจอก่อนแล้วเอาไปฟ้องอาจารย์แม่ ถูกสั่งห้ามเล่นขึ้นมา ซวยกันหมดพอดี”
เวลาพักเที่ยง...หลังจากที่เติมพลังจนอิ่มท้องกับเรียบร้อยแล้ว เด็กผู้หญิงอาจจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับการนั่งคุย เอารูปถ่ายหรือของน่ารัก ๆ มาอวดกัน แต่สำหรับเด็กผู้ชาย สิ่งที่มักได้รับความสนใจเสมอนั้นคือการแบ่งฝั่งเตะฟุตบอลหรือเล่นกีฬากัน
ตั้งแต่เริ่มเติบใหญ่ขึ้นมา เด็กชายจินต์ค้นพบว่า ตัวของเขาเองนั้นค่อนข้างมีความสามารถทางด้านกีฬาอย่างจำกัด กีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน กรีฑา ว่ายน้ำ เขาเคยลองมาทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะประเภทใดก็ทำได้ไม่ดีเลยสักอย่าง
อันที่จริง ถ้าจะพูดให้ชัดไปกว่านั้น นอกจากทำได้ไม่ดีแล้ว เขาไม่สนุกที่ได้เล่น ไม่รู้สึกชอบเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมารวมกลุ่มเล่นกับเพื่อน ๆ ด้วยเพราะแค่เพียงไม่อยากให้ตัวเองต้องรู้สึกแปลกแยกออกจากคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง
เด็กชายในชุดนักเรียนมัธยมต้น เดินอย่างเอื่อยเฉื่อยออกจากสนามหญ้า ไปตามทิศทางที่ลูกฟุตบอลลอยไป กวาดสายตามองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง แปลงดอกไม้มีร่องรอยของความเสียหายให้ได้เห็น กิ่งก้านของบางต้นบางดอกฉีกหักอย่างน่าสงสาร ลูกฟุตบอลที่เขาเตะมาคงจะกลิ้งเข้าไปในพงหญ้า ด้านหลังแปลงดอกไม้ตรงนั้น
ก้าวเท้าจะเดินลัดเข้าไปเก็บ แต่คิดแล้วก็เปลี่ยนใจชะงักเท้าไว้ ก่อนจะเดินอ้อมแปลงแสนสวยเหล่านั้น เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางแทน
“น่าสงสารนะ ดอกไม้สวย ๆ น่ารัก ๆ พวกนี้ ที่เหล่าเพื่อนผู้หญิงอุตส่าห์เฝ้าดูแลทะนุถนอมมาตั้งนาน ต้องมาเสียหายเพราะเรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบนี้”
เสียงเล็กใสดังขึ้นทางด้านหลัง ในขณะที่เด็กชายกำลังแหวกฝ่าพงหญ้าเข้าไป
“แน่นอนว่าการเล่นกีฬาเป็นสิ่งที่ดี แต่กีฬาบางประเภทก็ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคนหรอกนะ อย่างฟุตบอลเนี่ย ต้องวิ่งต้องเบียดกันจนเจ็บตัวบ้าง ได้แผลบ้าง แถมเหงื่อก็ออกเยอะแยะ ต้องทนนั่งเหนียวตัว เหม็นเหงื่อ ตอนเรียนช่วงบ่ายอีก คิดดูสิ ว่ามันควรจะเล่น มันเหมาะกับเธอหรือ”
คว้าลูกฟุตบอลที่กลิ้งไปแอบแนบชิดอยู่กับกำแพงรั้วมาไว้ในมือ สำรวจร่องรอยสกปรกบนลูกกลมและตามเสื้อผ้าเนื้อตัวของตัวเองอย่างพินิจพิจารณา
“แล้วดูสิ สนามแคบ ๆ แบบนี้ พอเธอเตะแรงหน่อย ลูกฟุตบอลมันก็ลอยออกมาไกลขนาดนี้ ดอกไม้ที่น่าสงสาร เพื่อน ๆ ที่ทุ่มเทและตั้งใจเองก็น่าสงสารเหมือนกัน”
เห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเด็กหญิงในชุดนักเรียนมัธยมต้นตรงหน้าแล้ว ภายในใจก็ครุ่นคิดอะไรหน่อยหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น เขาก็อุ้มลูกฟุตบอลเดินผ่านเธอ เพื่อกลับไปรวมกลุ่มกันกับเพื่อน ๆ ที่สนามบอล
และทิ้งให้เธอต้องยืนอยู่ลำพังเพียงคนเดียวอีกครั้ง