สามจังหวัดชายแดนใต้ (นราธิวาส,ปัตตานี,ยะลา) ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
จั่วหัวมาขนาดนี้ใช่ครับ วันนี้จะมารีวิวการเที่ยวสามจังหวัดชายแดนใต้ที่คนส่วนใหญ่มักจะเกรงๆกัน อาจเป็นเพราะข่าวสถานะการณ์ความไม่สงบต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้ ออกตัวก่อนว่าการไปครั้งนี้ไม่ได้แพลนล่วงหน้าอะไรใด คือทุกอย่างคือไปตายเอาดาบหน้า ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นสักทีเดียวก็มีการแพลนอยู่แต่ว่า ก่อนเดินทางเพียง 1 วัน !
การเดินทางครั้งนี้มีตัวตั้งตัวตีคือคุณน้าผมเองแกอยากไป ผมเลยอาสาไปเป็นเพื่อน เรามาเริ่มกันเลยครับ
เราเดินทางด้วยสายการบิน Thai air asia ราคาที่จองตอนน้ันเนื่องจากจองล่วงหน้าไม่ถึง 1 สัปดาห์ ค่าตั๋วอยู่ที่ประมาณ 2500 บาทต่อคน เส้นทาง ดอนเมือง - นราธิวาส ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ในขณะที่นั่งเครื่องผมก็ไม่ลืมที่จะสั่ง ชานมไข่มุก !! บอกเลยชานมของเขาเด็ดมาก
เราถึงสุไหงโกลก ประมาณบ่ายสอง เมื่อถึงสนามบินจะมีบริการรถตู้ จากตัวเมือง ไปสุไหงโกลก ตอนแรกคิดว่าใกล้ๆ ทีไหนได้เดินทางอีกประมาณ ชั่วโมงนึงครับ ค่าเดินทางตกคนละประมาณ 100 บาท รถตู้จะส่งเราถึง โรงแรมเลยครับแต่ต้องแจ้งเขา
ส่วนโรงแรมที่เราเลือกพักคือที่นี่ครับ
โรงแรมกรีนวิว บูทีค โฮเตล ราคาต่อคืน ห้องละ 900 บาท สภาพห้องเตียงห้องน้ำโอเคครับ รวมอาหารเช้าซึ่งรสชาติถือว่าใช้ได้ทีเดียวไม่ขี้เหร่ครับ
(อันนี้ขอยืมภาพจากเน็ตเพราะว่าลืมถ่าย) เราเลือกพักที่นี่สองคืน
แต่พอถึงโรงแรมปุ๊บ ฝนตกปั๊บ !!! โอ้พระเจ้า ต้องรอจนฝนหยุดตกก่อนกว่าจะได้ออกไปข้างนอกก็เย็น พอดี
วันที่ 1
จุดหมายแรกที่เราจะไปและอยู่ใกล้ โรงแรมที่สุดคือ ศาลเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ
ศาลเจ้าค่อนข้างใหญ่นะครับ มีมุมสวยๆ สถาปัตยกรรมจีนให้สายถ่ายรูปได้มาแชะภาพกัน เป็นที่สถิตของเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ และ ทวยเทพจีนอื่นๆ ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ แต่เดิมเป็นศาลเล็กๆ อยู่บนภูเขาสุคิริน ซึ่งแต่ก่อนสมัยก่อนสงครามโลกมีการทำเหมืองทอง ซึ่งหัวหน้าคนงานมีความเชื่อเรื่องทรงเจ้าคิดว่าคงมีเชื้อสายจีน จึงทำพิธีประทับทรงหม่าโจว พอประทับเจ้าแม่ก็จะชี้จุดที่ให้ขุดลงไป ปรากฏว่าชี้ตรงไหนขุดตรงนั้นก็จะมีทองทำให้เกิดความศรัทธาในหมู่คนงานขุดเหมืองมาก แต่ว่านายช่างที่วิศวกรชาวฝรั่งเศสก็ยังคงไม่เชื่อ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้ามาประทับแล้วบอกว่าตรงนี้ห้ามขุด แต่ด้วยความที่นายช่างฝรั่งไม่เชื่อจึงขุดต่อ ผลปรากฎว่าเหมืองถล่มคนงานตายเป็นร้อยคน ตั้งแต่นั้นชื่อเสียงเจ้าแม่จึงเป็นที่เลื่องลือของคนในพื้นที่ ชาวบ้านจึงเรียกเจ้าแม่ว่า "เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ" ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่สองการทำเหมืองจึงหยุดไปโดยปริยาย ต่อมามีผู้นำชาวบ้านที่มีศรัทธาคิดจะไปอัญเชิญเจ้ามาลงมาด้านล่างแต่ว่าองค์ท่านได้สูญหายไปเหลือแต่กระถางธูป จึงมีการไปอัญเชิญองค์เจ้าแม่มาใหม่จากประเทศจีนแล้วสร้างศาลเจ้าพร้อมมีพิธีสมโภชน์ทุกปี โดยเจ้าแม่ได้กลับมาประทับทรงแล้วสั่งว่าให้สมโภชน์ที่นี่ 5 ปีแล้วให้ย้ายศาลมาที่สุไหงโกลกโดยให้หันหน้าเข้าสู่สายน้ำ ลูกหลานจะได้มากราบขอพรและอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นั่นเป็นเหตุให้ศาลจากเดิมอยู๋ที่สุคิรินมาอยู่ที่ปัจจุบันแห่งนี้ครับ
จากนั้นเดินทางต่อไปไหนดี เพราะจะค่ำแล้ว เลยตัดสินใจไปที่ด่านพรมแดนเพื่อแฉะภาพกับ ป้ายใต้สุดแดนสยามสักหน่อยครับ
ต้องบอกก่อนนะครับ ที่นี่ไม่มีรถโดยสารหรือสองแถวตุ๊กๆอะไรใด มีแต่มอเตอร์ไซต์ ทางที่ดีถ้าจะมาแนะนำเช่ารถขับมาจากตัวเมืองนราจะสะดวกกว่า
หมดวันหิวละ ไปไหนดีละ เสิร์ชหาร้านกินสุดท้ายมาจบที่ร้าน 2019 ยอมรับจริงๆว่าลืมถ่ายรูปร้านกับเมนูที่สั่งมากเลยขอยืมภาพจากอินเตอร์เน็ตอีกภาพครับ
รายการอาหารของที่นี่ที่ชอบที่สุดคือเมนู ไก่เบตงครับ สำหรับผมนะ คืออร่อยมากๆ เนื้อไก่คือฟูนุ่ม น้ำจิ้มเปรี้ยวเค็มๆติดหวานปลายๆ คืออร่อย ใครแวะมากินร้านนี้แนะนำเมนูนี้เลยครับ
จบวันที่ 1
วันที่ 2
ตื่นเช้ามา สิ่งแรกที่ทำเลยคือ เสิร์ชหาของกินครับ เป้าหมายคือ พวกเราอยากกินติ่มซำ และมีอยู่ร้านนึงซึ่งเดินไปจากโรงแรมไม่กี่ล็อกไม่ไกลมากเราเลยเลือกที่นี่ หลิวๆติ่มซำ ลืมถ่ายภาพอีกแล้วเลยขอยืมรูปจากทางร้านมาโพสต์ลงก่อนนะครับ
ที่นี่จะเป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ราคาก็ไม่แรงครับตกเข่งละ 20 บาท รสชาติ ใช้ได้เลยทีเดียว
พอจวนเจียนจะกินเสร็จก็คิดต่อกันว่าจะไปไหนต่อดีนะ ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวอีกก็เลยใช้วิธีบ้านๆสุดๆคือ หันซ้ายหันขวาหันหน้าหันหลัง น้าผมเลยได้ไปสบตากับโต๊ะที่อยู่ด้านหลังเลยสอบถาม คุยไปคุยมาท่าไหนไม่รู้ พี่แกบอก เดี๋ยวแกพาเที่ยวเองเดี๋ยวจะให้สามีขับรถไปส่งให้ เราก็ ห๊ะ !!!!! อะไรนะครับพี่ ใจหนึ่งก็งง ใจหนึ่งตอนนั้นคิดเป็นพี่มิจฉาชีพจะมาหลอก นักท่องเที่ยวรึป่าวหว่า แต่ในที่สุดก็ตบปากรับคำไปโดยให้พี่แกคิดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ก็ตกลงแลกไลน์กัน จุดนัดพบคือ ที่โรงแรมที่เราพักขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวแป็บ ระหว่างนั้นก็คุยตกลงราคากันทางไลน์
พี่แกก็ไม่ยอมบอกราคาสักที จนในที่สุดแกบอกว่า งั้นคิด 300 ละกันถือว่าเป็นค่าน้ำมัน ทางผมเลยตกลง ดิว!!!! และแต่ไปนี้เราจะเรียกพี่เขาว่าพี่นงนะครับ เพราะแกชื่อนง จะเรียกชื่ออื่นไปไม่ได้ได้เอ๊ะยังไง ^^
และสถานที่ในวันนี้ที่เราจะไปคือ ที่นี่ครับ
ป่าพรุ สิรินธร หรือป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุแห่งเดียวในประเทศไทย คำว่าป่าพรุก็หมายถึง ป่าที่มีน้ำขังท่วมอยู่ตลอดทั้งปี
(เดี๋ยวมาต่อครับ)
[CR] รีวิวเที่ยวสามจังหวัดชายแดนใต้ (ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด) ฉบับไปเที่ยวเอง
จั่วหัวมาขนาดนี้ใช่ครับ วันนี้จะมารีวิวการเที่ยวสามจังหวัดชายแดนใต้ที่คนส่วนใหญ่มักจะเกรงๆกัน อาจเป็นเพราะข่าวสถานะการณ์ความไม่สงบต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้ ออกตัวก่อนว่าการไปครั้งนี้ไม่ได้แพลนล่วงหน้าอะไรใด คือทุกอย่างคือไปตายเอาดาบหน้า ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นสักทีเดียวก็มีการแพลนอยู่แต่ว่า ก่อนเดินทางเพียง 1 วัน !
การเดินทางครั้งนี้มีตัวตั้งตัวตีคือคุณน้าผมเองแกอยากไป ผมเลยอาสาไปเป็นเพื่อน เรามาเริ่มกันเลยครับ
เราเดินทางด้วยสายการบิน Thai air asia ราคาที่จองตอนน้ันเนื่องจากจองล่วงหน้าไม่ถึง 1 สัปดาห์ ค่าตั๋วอยู่ที่ประมาณ 2500 บาทต่อคน เส้นทาง ดอนเมือง - นราธิวาส ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ในขณะที่นั่งเครื่องผมก็ไม่ลืมที่จะสั่ง ชานมไข่มุก !! บอกเลยชานมของเขาเด็ดมาก
เราถึงสุไหงโกลก ประมาณบ่ายสอง เมื่อถึงสนามบินจะมีบริการรถตู้ จากตัวเมือง ไปสุไหงโกลก ตอนแรกคิดว่าใกล้ๆ ทีไหนได้เดินทางอีกประมาณ ชั่วโมงนึงครับ ค่าเดินทางตกคนละประมาณ 100 บาท รถตู้จะส่งเราถึง โรงแรมเลยครับแต่ต้องแจ้งเขา
ส่วนโรงแรมที่เราเลือกพักคือที่นี่ครับ
โรงแรมกรีนวิว บูทีค โฮเตล ราคาต่อคืน ห้องละ 900 บาท สภาพห้องเตียงห้องน้ำโอเคครับ รวมอาหารเช้าซึ่งรสชาติถือว่าใช้ได้ทีเดียวไม่ขี้เหร่ครับ
(อันนี้ขอยืมภาพจากเน็ตเพราะว่าลืมถ่าย) เราเลือกพักที่นี่สองคืน
แต่พอถึงโรงแรมปุ๊บ ฝนตกปั๊บ !!! โอ้พระเจ้า ต้องรอจนฝนหยุดตกก่อนกว่าจะได้ออกไปข้างนอกก็เย็น พอดี
วันที่ 1
จุดหมายแรกที่เราจะไปและอยู่ใกล้ โรงแรมที่สุดคือ ศาลเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ
ศาลเจ้าค่อนข้างใหญ่นะครับ มีมุมสวยๆ สถาปัตยกรรมจีนให้สายถ่ายรูปได้มาแชะภาพกัน เป็นที่สถิตของเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ และ ทวยเทพจีนอื่นๆ ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ แต่เดิมเป็นศาลเล็กๆ อยู่บนภูเขาสุคิริน ซึ่งแต่ก่อนสมัยก่อนสงครามโลกมีการทำเหมืองทอง ซึ่งหัวหน้าคนงานมีความเชื่อเรื่องทรงเจ้าคิดว่าคงมีเชื้อสายจีน จึงทำพิธีประทับทรงหม่าโจว พอประทับเจ้าแม่ก็จะชี้จุดที่ให้ขุดลงไป ปรากฏว่าชี้ตรงไหนขุดตรงนั้นก็จะมีทองทำให้เกิดความศรัทธาในหมู่คนงานขุดเหมืองมาก แต่ว่านายช่างที่วิศวกรชาวฝรั่งเศสก็ยังคงไม่เชื่อ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้ามาประทับแล้วบอกว่าตรงนี้ห้ามขุด แต่ด้วยความที่นายช่างฝรั่งไม่เชื่อจึงขุดต่อ ผลปรากฎว่าเหมืองถล่มคนงานตายเป็นร้อยคน ตั้งแต่นั้นชื่อเสียงเจ้าแม่จึงเป็นที่เลื่องลือของคนในพื้นที่ ชาวบ้านจึงเรียกเจ้าแม่ว่า "เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ" ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่สองการทำเหมืองจึงหยุดไปโดยปริยาย ต่อมามีผู้นำชาวบ้านที่มีศรัทธาคิดจะไปอัญเชิญเจ้ามาลงมาด้านล่างแต่ว่าองค์ท่านได้สูญหายไปเหลือแต่กระถางธูป จึงมีการไปอัญเชิญองค์เจ้าแม่มาใหม่จากประเทศจีนแล้วสร้างศาลเจ้าพร้อมมีพิธีสมโภชน์ทุกปี โดยเจ้าแม่ได้กลับมาประทับทรงแล้วสั่งว่าให้สมโภชน์ที่นี่ 5 ปีแล้วให้ย้ายศาลมาที่สุไหงโกลกโดยให้หันหน้าเข้าสู่สายน้ำ ลูกหลานจะได้มากราบขอพรและอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นั่นเป็นเหตุให้ศาลจากเดิมอยู๋ที่สุคิรินมาอยู่ที่ปัจจุบันแห่งนี้ครับ
จากนั้นเดินทางต่อไปไหนดี เพราะจะค่ำแล้ว เลยตัดสินใจไปที่ด่านพรมแดนเพื่อแฉะภาพกับ ป้ายใต้สุดแดนสยามสักหน่อยครับ
ต้องบอกก่อนนะครับ ที่นี่ไม่มีรถโดยสารหรือสองแถวตุ๊กๆอะไรใด มีแต่มอเตอร์ไซต์ ทางที่ดีถ้าจะมาแนะนำเช่ารถขับมาจากตัวเมืองนราจะสะดวกกว่า
หมดวันหิวละ ไปไหนดีละ เสิร์ชหาร้านกินสุดท้ายมาจบที่ร้าน 2019 ยอมรับจริงๆว่าลืมถ่ายรูปร้านกับเมนูที่สั่งมากเลยขอยืมภาพจากอินเตอร์เน็ตอีกภาพครับ
รายการอาหารของที่นี่ที่ชอบที่สุดคือเมนู ไก่เบตงครับ สำหรับผมนะ คืออร่อยมากๆ เนื้อไก่คือฟูนุ่ม น้ำจิ้มเปรี้ยวเค็มๆติดหวานปลายๆ คืออร่อย ใครแวะมากินร้านนี้แนะนำเมนูนี้เลยครับ
จบวันที่ 1
วันที่ 2
ตื่นเช้ามา สิ่งแรกที่ทำเลยคือ เสิร์ชหาของกินครับ เป้าหมายคือ พวกเราอยากกินติ่มซำ และมีอยู่ร้านนึงซึ่งเดินไปจากโรงแรมไม่กี่ล็อกไม่ไกลมากเราเลยเลือกที่นี่ หลิวๆติ่มซำ ลืมถ่ายภาพอีกแล้วเลยขอยืมรูปจากทางร้านมาโพสต์ลงก่อนนะครับ
ที่นี่จะเป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ราคาก็ไม่แรงครับตกเข่งละ 20 บาท รสชาติ ใช้ได้เลยทีเดียว
พอจวนเจียนจะกินเสร็จก็คิดต่อกันว่าจะไปไหนต่อดีนะ ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวอีกก็เลยใช้วิธีบ้านๆสุดๆคือ หันซ้ายหันขวาหันหน้าหันหลัง น้าผมเลยได้ไปสบตากับโต๊ะที่อยู่ด้านหลังเลยสอบถาม คุยไปคุยมาท่าไหนไม่รู้ พี่แกบอก เดี๋ยวแกพาเที่ยวเองเดี๋ยวจะให้สามีขับรถไปส่งให้ เราก็ ห๊ะ !!!!! อะไรนะครับพี่ ใจหนึ่งก็งง ใจหนึ่งตอนนั้นคิดเป็นพี่มิจฉาชีพจะมาหลอก นักท่องเที่ยวรึป่าวหว่า แต่ในที่สุดก็ตบปากรับคำไปโดยให้พี่แกคิดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ก็ตกลงแลกไลน์กัน จุดนัดพบคือ ที่โรงแรมที่เราพักขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวแป็บ ระหว่างนั้นก็คุยตกลงราคากันทางไลน์
พี่แกก็ไม่ยอมบอกราคาสักที จนในที่สุดแกบอกว่า งั้นคิด 300 ละกันถือว่าเป็นค่าน้ำมัน ทางผมเลยตกลง ดิว!!!! และแต่ไปนี้เราจะเรียกพี่เขาว่าพี่นงนะครับ เพราะแกชื่อนง จะเรียกชื่ออื่นไปไม่ได้ได้เอ๊ะยังไง ^^
และสถานที่ในวันนี้ที่เราจะไปคือ ที่นี่ครับ
ป่าพรุ สิรินธร หรือป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุแห่งเดียวในประเทศไทย คำว่าป่าพรุก็หมายถึง ป่าที่มีน้ำขังท่วมอยู่ตลอดทั้งปี
(เดี๋ยวมาต่อครับ)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้