สวัสดีครับพวกเราข้าวเหนียวมันปู กับ trip สุดแสนจะวุ่นวายของวัยรุ่นปี 4 ที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งการรวมตัวกันของพวกเราในครั้งนี้มีโจทย์ในการเที่ยวคือ low price high experience กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งพอได้โจทย์แบบนี้แล้ว พวกเราทุกคนเลยเลือกที่จะไปที่สุราษฎร์ธานี ที่ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและธรรมชาติ เราจะพบเจออะไรกันบ้างใน trip นี้เราไปดูกันเล้ยยยยยย
แพลนของเราวันแรกเริ่มที่วันที่ 2 ช่วงค่ำที่เราจะนัดเพื่อนๆมากันที่สถานีกลางบางซื่อ เพื่อที่จะนั่งรถไฟไปยังจังหวัดสุราษฎร์ ทุกคนเตรียมพร้อมกันม๊ากกกก ตื่นเต้นสุดๆที่จะได้ออกเดินทาง backpack ในครั้งนี้
รอชั้นรอเธออยู่ ในที่สุดก็จะได้ไปเที่ยวกันแล้ววว รถไฟออกจากชานชาลาเวลา 22.20 น. ไปสุราษฎร์กันนนน
นั่งบนรถไฟสุดแสนจะเมื่อยกว่า 13 ชั่วโมงในที่สุดก็ถึงแล้ววว สุราษฎร์ธานี!!!!!!!!!!!!!! เราถึงสุราษฎร์ ช่วงเวลาประมาณ 10 โมง
รอรถจากลุงที่โฮมสเตย์มารับแล้วขึ้นรถไปที่พัก พวกเรา 6 คนนั่งท้ายกระบะกันลมตีแรงมาก
พอถึงโฮมสเตย์ก็ได้กินลอดช่องน้ำกะทิที่ทำจากใบเตยสดๆ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง อร่อยมาก ก ไก่ล้านตัว
ตอนบ่ายพวกเราก็ไปดูศูนย์ฝึกลิงเพื่อการเกษตร ได้ดูลิงเก็บลูกมะพร้าวจากต้น ได้ดูลิงทะเลาะกันด้วย โคตรมันนึกว่าดูเวทีมวย
ไปอู่ต่อเรือช่างกบ ตำบลคลองน้อย ได้เจอลุงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของอู่ต่อเรือ เขาได้เล่าเรื่องราวต่างๆ วิธีการทำเรือ มูลค่าของเรือแต่ละลำ ส่วนประกอบของเรือ แต่ละเรือก็จะมีเวลาการทำแตกต่างกันแล้วแต่ขนาดความยาวและความกว้างแต่เฉลี่ยจะอยู่ที่ 15 - 20 วัน
ไปดูสวนลุงสงค์ ที่มีการทำร่วมกับชุมชนบางใบ้ไม้ แต่ปรากฎว่าทางสวนไม่ได้มีการสาธิตวิธีการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เราจึงได้แค่เพียงดูสินค้าและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ขายแล้วเท่านั้น
แวะร้านกาแฟที่ TOODAY CAFE ไปนั่งดื่มกาแฟคล้ายร้อนเพราะข้างนอกร้อนมาก
ตอนเย็นแล้วก็กลับมาทำอาหารกับคุณลุงและคุณป้า เราและทางคุณลุงคุณป้าได้ทำ ผัดสตอทะเล คั่วกลิ้งหมู ปลาทอดราดพริก และขนมจากที่คล้ายกับขนมบ้าบิ่นที่ทำมาจากมะพร้าวและแป้ง อร่อยมากกก
เช้าวันที่ 2 ในคลองน้อย เราได้เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเพื่อขึ้นรถตู้ไปต่อยังเขี่อนเชี่ยวหลาน ได้มีการแชะ 1 รูปภาพสำหรับการลงเพจที่ “โฮมสเตย์คลองน้อย” ไปเที่ยวกันได้นะครับ อบอุ่นและสนุกมากๆ หลังจากนั้นพวกเรานั่งรถกระบะของลุงโฮมสเตย์เพื่อไปสถานีขนส่ง
มาถึงที่ขนส่งเวลาประมาน 7.30 น. เพื่อเตรียมตัวนั่งรถตู้ไปเขื่อนเชี่ยวหลาน รอบรถรอบแรกที่จะไป ออกเวลา 8.30 แต่เหลือที่นั่งแค่ 3 คน แต่พวกเรามีกัน6คน เลยเปลี่ยนไปรอบ 10.00น ระหว่างนั้นก็หาอะไรทำ โดยการไปหาร้านกาแฟแถวขนส่งนั่งรอเวลา
ที่รอเวลาขึ้นรถประมาน 2 ชั่วโมง รวมเวลาที่นั่งถึงเชี่ยวหลานอีกเกือบ 2 ชั่วโมง
นั่งรถมาค่อนข้างร้อนครับแต่เห็นวิวตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาก็คุ้มค่ามาก วิวสวยมากกกกกก พอลงจากรถก็มีพี่ที่แพที่เราจองเอาไว้นำทางไปจ่ายค่าเข้าพร้อมกับขึ้นเรือไปที่แพ ก่อนจะเข้าก็มีจ่ายค่าเข้าคนละ 40 บาท หลังจากนั้นก็เดินไปขึ้นเรือกันเลยย
ออกมาได้สักพักระหว่างทางที่จะไปแพที่พัก พี่คนขับเรือก็แวะจุดถ่ายรูปให้พวกเราได้หามุมและแสงสวยๆถ่ายรูปกัน
ถึงแพที่พักขึ้นเรือมาพี่ๆก็ต้อนรับกันเป็นอย่างดี มีอาหารกลางวันให้กินก่อนเลย โดยอาหารบนแพจะเป็นบุฟเฟ่ตลอดทุกมื้อ มื้อนี้พวกเราก็มีเมนู ไก่ทอดที่อร่อยจนต้องขอเพิ่ม ไข่เจียว และกับข้าวอีก 3 อย่าง มื้อนี้อิ่มและอร่อยมาก
หลังจากกินเสร็จก็มีเวลาพักผ่อน พวกเราก็จัดไป 1 แมต 55555555 เล่นน้ำกันสนุกมากแต่อย่าลืมเสื้อชูชีพ เพราะว่าน้ำลึกมาก
จากนั้นตอน 5 โมงก็ออกไปดู กุ้ยหลินเมืองไทย โดยมุมที่พี่คนขับเรือจอดให้ถ่ายเป็นมุมที่ตำแหน่งและแสงค่อนข้างสวย และหลังจากนั้นก็ดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยพี่คนขับเรือบอกว่าเมื่อก่อนพระอาทิตย์จะตกตรงเขากดไลค์พอดี
หลังจากดูพระอาทิตย์ตกก็กลับแพที่พักกินข้าวเย็นซึ่งเป็นบุฟเฟ่เหมือนมื้อกลางวัน และหลังจากกินเสร็จก็ถึงเวลาพักผ่อน
เช้าวันถัดมานัด 6.30น. พวกเราก็มีนัดกับคนขับเรือออกมานั่งเรือดูหมอกพระอาทิตย์ขึ้นรวมถึงสัตว์ที่ยังหลงเหลือในเขื่อน(แล้วแต่โอกาสว่าจะเจอมั้ย ซึ่งพวกเราเจอชะนี แต่ไม่เจอช้างและกระทิง)
หลังจากนั้นก็กลับที่พักมาอาบน้ำกินข้าวและเตรียมตัวกลับเข้าฝั่ง
ถึง 10.00 น. ขึ้นเรือเพื่อกลับขึ้นฝั่ง วิวตอนกลับก็สวยไปอีกแบบเพราะตอนเข้าไปเป็นช่วงที่เราเข้าไปกลัวตกน้ำไม่ค่อยกล้าลุกไปถ่ายรูปเท่าไหร่
เมื่อพวกเรารับประทานอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้ให้เสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวนั่งเรือกลับเข้าฝั่งกัน
เมื่อถึงฝั่งแล้วพวกเราก็จะนั่งรถตู้เพื่อเดินทางไปเซนทรัลสุราษฎร์ธาณีเพื่อรอเวลาที่จะไปเดินตลาดศาลเจ้ากัน
พวกเราได้นั่งกะป้อเดินทางไปยังตลาดศาลเจ้า ระหว่างทางไปพวกเราก็ได้ชมวิวภายในตัวเมืองสุราษฎร์ธานีไปด้วย
และสถานที่สุดท้ายที่เราจะแวะก่อนกลับกรุงเทพก็คือตลาดศาลเจ้า ตลาดแห่งนี้เป็นอีกตลาดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองสุราษฎร์ธานี เน้นขายของกินเป็นหลัก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่แนะนำให้มาเลยเมื่อมาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในตลาดก็จะมีอาหารท้องถิ่นขายอยู่ อาหารบางอย่างพวกเราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยชิมมาก่อน เป็นสถานที่ที่ได้รับประทานอะไรใหม่ ๆ เต็มไปหมด
อาหารท้องถิ่นที่พวกเราได้ลองทานอย่างแรกก็จะเป็นผัดไทยป้าหนุ้ย เป็นร้านที่หลาย ๆ คนแนะนำให้ไปลองทาน ซึ่งผัดไทยของร้านนี้จะเป็นผัดไทท่าฉางเป็นผัดไทยแบบโบราณของทางภาคใต้ รสชาติจะแตกต่างจากผัดไทยที่เราเคยกินกันมา รสชาติจะออกหวาน อร่อยกลมกล่อมสุด ๆ
ต่อไปก็จะเป็นร้านป้าลักษณ์ เนื้อปลาทอดมันย่าง ร้านอยู่ใกล้ๆตรงทางเข้าวัดไทร มีคุณลุงกับคุณป้าขายกันอยู่ 2 คน รสชาติดีมาก หอมกลิ่นสมุนไพร แถมราคาไม่แพงอีกด้วย
และอย่างสุดท้ายก็คือร้านขนมครกสูตรโบราณ ตัวขนมจะไม่มีไส้ และให้กินกับน้ำตาล รสชาติจะออกไปทางจืด ๆ มีแต่กะทิ ต้องกินควบคู่กับน้ำตาลรสชาติจะกำลังโอเคเลย
พอพวกเราเดินเล่นที่ตลาดศาลเจ้าเสร็จ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับกรุงเทพกัน และพอถึง 3 ทุ่ม ก็เป็นเวลาที่รถไฟเริ่มออกเดินทางไปกรุงเทพเป็นอันจบทริป 5 วัน 4 คืน เรียบร้อย
สรุปค่าใช้จ่ายที่โดนไปสำหรับทริปนี้ (5 วัน 4 คืน)
วันที่ 3 เมษายน
ค่ารถไฟขาไป 604 บาท
ค่าที่พักโฮมสเตย์คลองน้อย 450 บาท
ศูนย์ฝึกลิง 50 บาท
อู่กรมต่อเรือ 50 บาท
วันที่ 4 เมษายน
ค่ารถตู้ไปเขื่อนเชี่ยวหลาน 120 บาท
ค่าทริปที่เขื่อน 1900 บาท
วันที่ 5 เมษายน
ค่ารถตู้กลับตัวเมือง 120 บาท
ค่ารถไฟขากลับ 604 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 500 บาท
สรุปยอดทั้งหมด 4500 บาท จะเห็นได้ว่าค่าเที่ยวไม่แพงเลยแต่ไปบวมค่าเดินทางถ้า เพื่อนๆมีวิธีการเดินทางที่ถูกกว่านี้ก็จะเป็นทริปที่ไม่แพงมากก แต่ด้วยราคานี้กับประสบการณ์ที่ได้ถือว่าคุ้มค่ากับชีวิตคนๆหนึ่งมากๆ
จากการท่องเที่ยวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่ได้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น และที่สำคัญการที่พวกเราได้ไปเรียนรู้วัฒธรรมและการใช้ชีวิตของคนในท้องถิ่นได้รู้ถึงอาชีพของคนในชุมชน การดูสถาปัตยกรรมและธรรมชาติต่างๆ และในการที่ได้ไปเขื่อนรัชชประภา ทำให้เราตระหนักถึงการดูแลเพื่อคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันสวยงามในประเทศไทยเพื่อให้สิ่งเหล่านี้อยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน ประสบการณ์ในครั้งนี้จะสอนให้พวกเราเป็นคนที่มีความพยายามมากขึ้น และไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่พวกเราได้วางเป้าหมายไว้ รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมรวมถึงการดูแลธรรมชาติให้คงอยู่ และทุกการท่องเที่ยวย่อมมีการจากลา แต่มิตรภาพของเพื่อนพ้องก็จะยังอยู่กับเราเสมอไป
[CR] เที่ยวสุราษฎร์ ไปกับพวกตัวป่วนนน
แพลนของเราวันแรกเริ่มที่วันที่ 2 ช่วงค่ำที่เราจะนัดเพื่อนๆมากันที่สถานีกลางบางซื่อ เพื่อที่จะนั่งรถไฟไปยังจังหวัดสุราษฎร์ ทุกคนเตรียมพร้อมกันม๊ากกกก ตื่นเต้นสุดๆที่จะได้ออกเดินทาง backpack ในครั้งนี้
รอชั้นรอเธออยู่ ในที่สุดก็จะได้ไปเที่ยวกันแล้ววว รถไฟออกจากชานชาลาเวลา 22.20 น. ไปสุราษฎร์กันนนน
นั่งบนรถไฟสุดแสนจะเมื่อยกว่า 13 ชั่วโมงในที่สุดก็ถึงแล้ววว สุราษฎร์ธานี!!!!!!!!!!!!!! เราถึงสุราษฎร์ ช่วงเวลาประมาณ 10 โมง
รอรถจากลุงที่โฮมสเตย์มารับแล้วขึ้นรถไปที่พัก พวกเรา 6 คนนั่งท้ายกระบะกันลมตีแรงมาก
พอถึงโฮมสเตย์ก็ได้กินลอดช่องน้ำกะทิที่ทำจากใบเตยสดๆ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง อร่อยมาก ก ไก่ล้านตัว
ตอนบ่ายพวกเราก็ไปดูศูนย์ฝึกลิงเพื่อการเกษตร ได้ดูลิงเก็บลูกมะพร้าวจากต้น ได้ดูลิงทะเลาะกันด้วย โคตรมันนึกว่าดูเวทีมวย
ไปอู่ต่อเรือช่างกบ ตำบลคลองน้อย ได้เจอลุงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของอู่ต่อเรือ เขาได้เล่าเรื่องราวต่างๆ วิธีการทำเรือ มูลค่าของเรือแต่ละลำ ส่วนประกอบของเรือ แต่ละเรือก็จะมีเวลาการทำแตกต่างกันแล้วแต่ขนาดความยาวและความกว้างแต่เฉลี่ยจะอยู่ที่ 15 - 20 วัน
ไปดูสวนลุงสงค์ ที่มีการทำร่วมกับชุมชนบางใบ้ไม้ แต่ปรากฎว่าทางสวนไม่ได้มีการสาธิตวิธีการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เราจึงได้แค่เพียงดูสินค้าและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ขายแล้วเท่านั้น
แวะร้านกาแฟที่ TOODAY CAFE ไปนั่งดื่มกาแฟคล้ายร้อนเพราะข้างนอกร้อนมาก
ตอนเย็นแล้วก็กลับมาทำอาหารกับคุณลุงและคุณป้า เราและทางคุณลุงคุณป้าได้ทำ ผัดสตอทะเล คั่วกลิ้งหมู ปลาทอดราดพริก และขนมจากที่คล้ายกับขนมบ้าบิ่นที่ทำมาจากมะพร้าวและแป้ง อร่อยมากกก
เช้าวันที่ 2 ในคลองน้อย เราได้เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเพื่อขึ้นรถตู้ไปต่อยังเขี่อนเชี่ยวหลาน ได้มีการแชะ 1 รูปภาพสำหรับการลงเพจที่ “โฮมสเตย์คลองน้อย” ไปเที่ยวกันได้นะครับ อบอุ่นและสนุกมากๆ หลังจากนั้นพวกเรานั่งรถกระบะของลุงโฮมสเตย์เพื่อไปสถานีขนส่ง
มาถึงที่ขนส่งเวลาประมาน 7.30 น. เพื่อเตรียมตัวนั่งรถตู้ไปเขื่อนเชี่ยวหลาน รอบรถรอบแรกที่จะไป ออกเวลา 8.30 แต่เหลือที่นั่งแค่ 3 คน แต่พวกเรามีกัน6คน เลยเปลี่ยนไปรอบ 10.00น ระหว่างนั้นก็หาอะไรทำ โดยการไปหาร้านกาแฟแถวขนส่งนั่งรอเวลา
ที่รอเวลาขึ้นรถประมาน 2 ชั่วโมง รวมเวลาที่นั่งถึงเชี่ยวหลานอีกเกือบ 2 ชั่วโมง
นั่งรถมาค่อนข้างร้อนครับแต่เห็นวิวตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาก็คุ้มค่ามาก วิวสวยมากกกกกก พอลงจากรถก็มีพี่ที่แพที่เราจองเอาไว้นำทางไปจ่ายค่าเข้าพร้อมกับขึ้นเรือไปที่แพ ก่อนจะเข้าก็มีจ่ายค่าเข้าคนละ 40 บาท หลังจากนั้นก็เดินไปขึ้นเรือกันเลยย
ออกมาได้สักพักระหว่างทางที่จะไปแพที่พัก พี่คนขับเรือก็แวะจุดถ่ายรูปให้พวกเราได้หามุมและแสงสวยๆถ่ายรูปกัน
ถึงแพที่พักขึ้นเรือมาพี่ๆก็ต้อนรับกันเป็นอย่างดี มีอาหารกลางวันให้กินก่อนเลย โดยอาหารบนแพจะเป็นบุฟเฟ่ตลอดทุกมื้อ มื้อนี้พวกเราก็มีเมนู ไก่ทอดที่อร่อยจนต้องขอเพิ่ม ไข่เจียว และกับข้าวอีก 3 อย่าง มื้อนี้อิ่มและอร่อยมาก
หลังจากกินเสร็จก็มีเวลาพักผ่อน พวกเราก็จัดไป 1 แมต 55555555 เล่นน้ำกันสนุกมากแต่อย่าลืมเสื้อชูชีพ เพราะว่าน้ำลึกมาก
จากนั้นตอน 5 โมงก็ออกไปดู กุ้ยหลินเมืองไทย โดยมุมที่พี่คนขับเรือจอดให้ถ่ายเป็นมุมที่ตำแหน่งและแสงค่อนข้างสวย และหลังจากนั้นก็ดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยพี่คนขับเรือบอกว่าเมื่อก่อนพระอาทิตย์จะตกตรงเขากดไลค์พอดี
หลังจากดูพระอาทิตย์ตกก็กลับแพที่พักกินข้าวเย็นซึ่งเป็นบุฟเฟ่เหมือนมื้อกลางวัน และหลังจากกินเสร็จก็ถึงเวลาพักผ่อน
เช้าวันถัดมานัด 6.30น. พวกเราก็มีนัดกับคนขับเรือออกมานั่งเรือดูหมอกพระอาทิตย์ขึ้นรวมถึงสัตว์ที่ยังหลงเหลือในเขื่อน(แล้วแต่โอกาสว่าจะเจอมั้ย ซึ่งพวกเราเจอชะนี แต่ไม่เจอช้างและกระทิง)
หลังจากนั้นก็กลับที่พักมาอาบน้ำกินข้าวและเตรียมตัวกลับเข้าฝั่ง
ถึง 10.00 น. ขึ้นเรือเพื่อกลับขึ้นฝั่ง วิวตอนกลับก็สวยไปอีกแบบเพราะตอนเข้าไปเป็นช่วงที่เราเข้าไปกลัวตกน้ำไม่ค่อยกล้าลุกไปถ่ายรูปเท่าไหร่
เมื่อพวกเรารับประทานอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้ให้เสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวนั่งเรือกลับเข้าฝั่งกัน
เมื่อถึงฝั่งแล้วพวกเราก็จะนั่งรถตู้เพื่อเดินทางไปเซนทรัลสุราษฎร์ธาณีเพื่อรอเวลาที่จะไปเดินตลาดศาลเจ้ากัน
พวกเราได้นั่งกะป้อเดินทางไปยังตลาดศาลเจ้า ระหว่างทางไปพวกเราก็ได้ชมวิวภายในตัวเมืองสุราษฎร์ธานีไปด้วย
และสถานที่สุดท้ายที่เราจะแวะก่อนกลับกรุงเทพก็คือตลาดศาลเจ้า ตลาดแห่งนี้เป็นอีกตลาดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองสุราษฎร์ธานี เน้นขายของกินเป็นหลัก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่แนะนำให้มาเลยเมื่อมาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในตลาดก็จะมีอาหารท้องถิ่นขายอยู่ อาหารบางอย่างพวกเราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยชิมมาก่อน เป็นสถานที่ที่ได้รับประทานอะไรใหม่ ๆ เต็มไปหมด
อาหารท้องถิ่นที่พวกเราได้ลองทานอย่างแรกก็จะเป็นผัดไทยป้าหนุ้ย เป็นร้านที่หลาย ๆ คนแนะนำให้ไปลองทาน ซึ่งผัดไทยของร้านนี้จะเป็นผัดไทท่าฉางเป็นผัดไทยแบบโบราณของทางภาคใต้ รสชาติจะแตกต่างจากผัดไทยที่เราเคยกินกันมา รสชาติจะออกหวาน อร่อยกลมกล่อมสุด ๆ
ต่อไปก็จะเป็นร้านป้าลักษณ์ เนื้อปลาทอดมันย่าง ร้านอยู่ใกล้ๆตรงทางเข้าวัดไทร มีคุณลุงกับคุณป้าขายกันอยู่ 2 คน รสชาติดีมาก หอมกลิ่นสมุนไพร แถมราคาไม่แพงอีกด้วย
และอย่างสุดท้ายก็คือร้านขนมครกสูตรโบราณ ตัวขนมจะไม่มีไส้ และให้กินกับน้ำตาล รสชาติจะออกไปทางจืด ๆ มีแต่กะทิ ต้องกินควบคู่กับน้ำตาลรสชาติจะกำลังโอเคเลย
พอพวกเราเดินเล่นที่ตลาดศาลเจ้าเสร็จ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับกรุงเทพกัน และพอถึง 3 ทุ่ม ก็เป็นเวลาที่รถไฟเริ่มออกเดินทางไปกรุงเทพเป็นอันจบทริป 5 วัน 4 คืน เรียบร้อย
สรุปค่าใช้จ่ายที่โดนไปสำหรับทริปนี้ (5 วัน 4 คืน)
วันที่ 3 เมษายน
ค่ารถไฟขาไป 604 บาท
ค่าที่พักโฮมสเตย์คลองน้อย 450 บาท
ศูนย์ฝึกลิง 50 บาท
อู่กรมต่อเรือ 50 บาท
วันที่ 4 เมษายน
ค่ารถตู้ไปเขื่อนเชี่ยวหลาน 120 บาท
ค่าทริปที่เขื่อน 1900 บาท
วันที่ 5 เมษายน
ค่ารถตู้กลับตัวเมือง 120 บาท
ค่ารถไฟขากลับ 604 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 500 บาท
สรุปยอดทั้งหมด 4500 บาท จะเห็นได้ว่าค่าเที่ยวไม่แพงเลยแต่ไปบวมค่าเดินทางถ้า เพื่อนๆมีวิธีการเดินทางที่ถูกกว่านี้ก็จะเป็นทริปที่ไม่แพงมากก แต่ด้วยราคานี้กับประสบการณ์ที่ได้ถือว่าคุ้มค่ากับชีวิตคนๆหนึ่งมากๆ
จากการท่องเที่ยวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่ได้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น และที่สำคัญการที่พวกเราได้ไปเรียนรู้วัฒธรรมและการใช้ชีวิตของคนในท้องถิ่นได้รู้ถึงอาชีพของคนในชุมชน การดูสถาปัตยกรรมและธรรมชาติต่างๆ และในการที่ได้ไปเขื่อนรัชชประภา ทำให้เราตระหนักถึงการดูแลเพื่อคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันสวยงามในประเทศไทยเพื่อให้สิ่งเหล่านี้อยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน ประสบการณ์ในครั้งนี้จะสอนให้พวกเราเป็นคนที่มีความพยายามมากขึ้น และไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่พวกเราได้วางเป้าหมายไว้ รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมรวมถึงการดูแลธรรมชาติให้คงอยู่ และทุกการท่องเที่ยวย่อมมีการจากลา แต่มิตรภาพของเพื่อนพ้องก็จะยังอยู่กับเราเสมอไป
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้