ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 37 นาที สำหรับผมยกให้เป็นหนังที่น่าอึดอัดและน่ารำคาญที่สุดแห่งปีไปอย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ แม้ Plot จะดูธรรมดาสามัญ ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่การเล่าเรื่องระหว่างทางกลับสร้างบรรยากาศความกดดันชวนสงสัยในปมที่ซ่อนอยู่ได้น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย ช่วงเวลา 20 นาทีแรกหมดไปกับการแนะนำตัวของครอบครัวพระเอกที่เป็นชาวเดนมาร์กได้ไปรู้จักกับครอบครัวชาวดัทช์ในช่วงวันหยุดก่อนที่อีกฝ่ายจะเชิญชวนให้ครอบครัวพระเอกไปเยี่ยมเยียนกันที่บ้านของพวกเขา ก่อนที่ในเวลาต่อมา Part ของหนังจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากโทนเรียบง่ายไปสู่อีกมุมนึงทันทีไปกับสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจกันอย่างช้า ๆ ซึ่งตรงส่วนนี้ถือว่านำเสนอได้กลมกล่อมเข้ากับสไตล์หนังยุโรปที่ชอบใช้กัน เหมือนนั่งดูโฆษณาโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่ขายความหวือหวาทาง Lifestyle อันมีจะกินของคนชนชั้นผู้ดีหน่อย ๆ แต่หนังก็ผ่านตรงจุดนี้ไปค่อนข้างรวดเร็วดีอยู่ แม้ระหว่างทางจะตัดข้ามฉากไปตัดมาจนจับอารมณ์ไม่ถูกว่าจะโฟกัสตรงไหน มันทำให้ความเร่งรีบตรงนี้ดันไปบังแรงจูงใจของแต่ละคนที่เพิ่งรู้จักกันแต่ทำไมถึงกล้าชวนไปที่บ้านแถมอีกฝ่ายก็ตอบรับกลับอย่างเร็วด้วย ซึ่งทำให้ผมเอ๊ะใจอยู่ไม่น้อย ขนาดเพื่อนสนิทด้วยกันเองมาชวนเราออกไปข้างนอกยังต้องขอเวลาคิดเลย ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตต่อแก่นสารของเรื่องที่จะสื่อเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ครอบครัวพระเอกไปถึงที่บ้านอีกฝ่ายล่ะก็ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้เริ่มทำงานขึ้นทันที
ขอชมเชยหน่อยตรงที่ผู้กำกับ Christian Tafdrup จาก A Horrible Woman (2017) สามารถถ่ายทอดความอ่อนน้อมถ่อมตนของวัฒนธรรมประเพณีในชาตินิยมตะวันตกให้เป็นอาวุธลับในการหาผลประโยชน์จากการสร้างความชอบธรรมผ่านศีลธรรมความเป็น Relationship ของคนต่างชาติได้น่าขนลุกขวัญผวาในกลมสันดานตัวมนุษย์ได้อย่างแยบยล โดยผ่านการเขียนบทร่วมกับ Mads Tafdrup น้องชายของเขาผสมปนเทจนไปเข้าทางตามสุภาษิตไทยที่ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนไว้ อย่างโจ่งแจ้งชัดเจน แม้โครงสร้างทางสังคมจะต่างกันแต่ก็มีบริบทบางอย่างคล้ายกันกับไทยเราอยู่พอจะเข้าใจได้บ้าง ตลอดทางที่หนังพยายามเสนอทางเลือกต่าง ๆ แต่ตัวละครกลับไม่เลือกเอาซักอย่าง ยอมรับว่าดูไปหงุดหงิดและขัดใจมากจนไม่อยากเชื่อว่าในยุคนี้แล้วยังมีคนแบบนี้อยู่ในโลกนี้อีกเหรอเนี่ย แต่ก็คิดอีกแง่นึงในหนังมันดันมีเรื่องของการเคารพขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นที่เขานับถือสืบทอดกันอยู่อะไรด้วย มันจึงเป็นเหตุผลที่รองรับการกระทำการตัดสินใจของตัวละครที่ยึดถือมากเกินกว่าจะเชื่อมั่นในตัวเองจนกลายเป็นความซื่อบื้อให้พวกเขาชักจูงแถมลากยาวให้เรื่องมันบานปลายลงเหวมากขึ้นไปอีกด้วย
แม้ระหว่างทางดูไปนั่งด่าไปตลอดทาง แต่ถือว่าหนังสอบผ่านด้านการถ่ายทอดความอึดอัดผ่านสภาวะความเป็น Culture Shock ที่สวยแต่รูปจนนำไปสู่คนดูให้รู้สึกอารมณ์กระอักกระอ่วนขมคอไปด้วยกันได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็สอบตกทางด้านความเป็น Drama Survivor ของมนุษย์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในยุคปัจจุบันที่มีข้อมูลข่าวสารจากเทคโนโลยีอยู่รอบตัวเรา อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นแล้วว่าหนังเสนอทางเลือกไว้มากมายแต่ตัวละครเหล่านี้ไม่คว้ารับไว้เลย จะกล่าวหาอีกฝ่ายอย่างเดียวก็คงจะลำเอียงเข้าข้างฝ่ายคนดีย์เกินไปในเมื่อคุณเสนอตัวเอาใจไปเล่นกับเขาเอง พูดอะไรก็เชื่อ สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ตอบโต้ ไม่ฮือ ไม่อือ อะไรทั้งสิ้น มันจึงกลายเป็นการยินยอมถูกกลืนกินให้กลายเป็นทาสทางธรรมเนียมของอีกฝ่ายครอบงำไปง่าย ๆ ทันที
ข้อดีที่พอใจอีกอย่างคือ ตัวละครหลักในเรื่องมีแค่ไม่กี่คน อาทิ Morten Burian จาก The Yard (2016), Sidsel Siem Koch จาก Steppeulven (2014) และ น้อนหญิง Liva Forsberg จาก The Chestnut Man Series (2021) รับบทฝั่งครอบครัวชาวเดนมาร์ก ส่วนครอบครัวชาวดัทช์ ได้แก่ Fedja van Huet จาก Groeten van Gerri (2020) , Karina Smulders จาก Alle Tijd (2011) และ น้อนบ่าว Marius Damslev จาก Becoming Astrid (2018) จึงทำให้หนังมีเวลาในการสำรวจตัวละครแต่ละคนได้ทั่วถึง แม้ Details ปูมหลังจะเบาบางตื้นเขินเกินไปหน่อย โดยเฉพาะฝั่งครอบครัวชาวดัทซ์แทบไม่เอ่ยอะไรเลย บทสนทนาไม่มีปัญหาต่อการดูเพราะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารกันแล้วเลือกใช้ location บ้านหลังใหญ่โดด ๆ ของครอบครัวอีกฝั่งเป็นศูนย์กลางของเรื่องทดแทนการเล่าเรื่องในช่วงที่ไม่มีฉากพูดหรือฉากตื่นเต้น จึงเหมาะสำหรับเป็นสถานที่ปิดในการสร้างบรรยากาศความวังเวงว่างเปล่าท่ามกลางป่าเขาให้กลายเป็นที่ไล่ล่ากักขังคนจากฆาตกร และ ภัยอันตรายจากสิ่งรอบข้างได้ไม่ยากมากนัก แม้ว่าตัวสถานที่จะดูซ้ำ ๆ กับเรื่องอื่นในแนวนี้ไปซักหน่อยจนไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ใด ๆ แต่รสชาติที่ปรุงออกมามันมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่อร่อยไม่ซ้ำใครเหมือนกัน
ส่วนที่ตำหนิมาก ๆ เลยคือ เหตุผลของคนร้ายไร้เหตุผลสิ้นดี ถ้าไม่นับการหยิบยกความเป็นธรรมเนียมนิยมมาใช้เป็นเหตุผลในการหาความชอบธรรมเข้าตัวเองแล้ว มันก็คือฆาตกรโรคจิตคนนึงเท่านั้น แต่พอมีประเด็นที่กล่าวไปรองรับด้วยแล้ว มันจึงเป็นการส่งเสริมให้เรื่องมันมีน้ำหนักที่อุ้มชูประเด็นให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้นจากตรรกะความโลกสวยของครอบครัวพระเอกที่เป็นเครื่องมือชั้นดีให้อีกฝั่งฉลาดแข็งแกร่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่แทบจะไม่ได้ลงทุนอะไรให้เหนื่อยเลยนอกจากคำพูดและรอยยิ้มแค่นั้น ขนาดอีกฝ่ายเผลอปล่อยไก่เป็นระยะ ๆ ก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอีก ผมนี้นับถือความเป็นคนดีของครอบครัวพระเอกจนอยากจะมอบรางวัลครอบครัวคุณธรรมดีเด่นให้เลยจริง ๆ และ ผมขอยกย่องเลยว่าอีกฝั่งมีวิธีการพูดอย่างไรถึงโน้มน้าวคนเก่งขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นนักธุรกิจมาเชิญชวนคนสมัครเป็นสมาชิกลูกทีมตนเองนี้เผลอ ๆ มีคนมาสมัครต่อเรียงกันเป็นว่าเล่นแล้ว ผมนี้ก็ขอมอบรางวัลตำแหน่งครอบครัวไลฟ์โค้ชยอดเยี่ยมให้แก่ท่านไปเลยทันที แต่ละรางวัลสมมงมากทั้ง 2 ครอบครัวมาก
สรุป แม้ภาพรวมพอจะเดาทางได้ตั้งแต่เห็นชื่อเรื่องแล้วว่าการเดินเรื่องจะมาแบบไหน หาทางลงอย่างไร ตอนเปิดเรื่องก็สื่อนัยยะได้ชัดขึ้นอีกว่ามันจะต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อไปเป็น Pattern เป็นลำดับ ๆ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงเหมือนกันคือระยะทางหนังสามารถทำให้เรารู้สึกสิ้นหวัง หมดกำลังใจ จุกเสียด แน่นท้องไปทีละนิด ๆ กับความโหดร้ายของมนุษย์ที่ไม่ได้ฉายภาพความรุนแรงใด ๆ ให้เห็นแต่สัมผัสได้ถึงความหดหู่อยู่เต็มอกเหมือนโดนมีดแทงเข้าหน้าท้องแล้วปล่อยให้เรานอนเลือดไหลทรมานตายไปช้า ๆ นั่นเอง ช่วงโค้งสุดท้ายพอจะมี Scene ที่พอช่วยให้เรามีหวังคอยลุ้นเอาใจช่วยกันอยู่เล็ก ๆ แต่สุดท้ายก็ตามที่คาดเดาไว้ แม้ปมบางอย่างจะคลี่คลายไปบางส่วนแต่บางอย่างก็ยังคลี่คลายไม่หมดจนคลุมเครืออยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ตามหนังได้ทำหน้าที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเราจนแตกสลายไปพริบตาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.23 Speak No Evil : มารยาทหลอน ซ่อนวาจา
ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 37 นาที สำหรับผมยกให้เป็นหนังที่น่าอึดอัดและน่ารำคาญที่สุดแห่งปีไปอย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ แม้ Plot จะดูธรรมดาสามัญ ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่การเล่าเรื่องระหว่างทางกลับสร้างบรรยากาศความกดดันชวนสงสัยในปมที่ซ่อนอยู่ได้น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย ช่วงเวลา 20 นาทีแรกหมดไปกับการแนะนำตัวของครอบครัวพระเอกที่เป็นชาวเดนมาร์กได้ไปรู้จักกับครอบครัวชาวดัทช์ในช่วงวันหยุดก่อนที่อีกฝ่ายจะเชิญชวนให้ครอบครัวพระเอกไปเยี่ยมเยียนกันที่บ้านของพวกเขา ก่อนที่ในเวลาต่อมา Part ของหนังจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากโทนเรียบง่ายไปสู่อีกมุมนึงทันทีไปกับสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจกันอย่างช้า ๆ ซึ่งตรงส่วนนี้ถือว่านำเสนอได้กลมกล่อมเข้ากับสไตล์หนังยุโรปที่ชอบใช้กัน เหมือนนั่งดูโฆษณาโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่ขายความหวือหวาทาง Lifestyle อันมีจะกินของคนชนชั้นผู้ดีหน่อย ๆ แต่หนังก็ผ่านตรงจุดนี้ไปค่อนข้างรวดเร็วดีอยู่ แม้ระหว่างทางจะตัดข้ามฉากไปตัดมาจนจับอารมณ์ไม่ถูกว่าจะโฟกัสตรงไหน มันทำให้ความเร่งรีบตรงนี้ดันไปบังแรงจูงใจของแต่ละคนที่เพิ่งรู้จักกันแต่ทำไมถึงกล้าชวนไปที่บ้านแถมอีกฝ่ายก็ตอบรับกลับอย่างเร็วด้วย ซึ่งทำให้ผมเอ๊ะใจอยู่ไม่น้อย ขนาดเพื่อนสนิทด้วยกันเองมาชวนเราออกไปข้างนอกยังต้องขอเวลาคิดเลย ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตต่อแก่นสารของเรื่องที่จะสื่อเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ครอบครัวพระเอกไปถึงที่บ้านอีกฝ่ายล่ะก็ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้เริ่มทำงานขึ้นทันที
ขอชมเชยหน่อยตรงที่ผู้กำกับ Christian Tafdrup จาก A Horrible Woman (2017) สามารถถ่ายทอดความอ่อนน้อมถ่อมตนของวัฒนธรรมประเพณีในชาตินิยมตะวันตกให้เป็นอาวุธลับในการหาผลประโยชน์จากการสร้างความชอบธรรมผ่านศีลธรรมความเป็น Relationship ของคนต่างชาติได้น่าขนลุกขวัญผวาในกลมสันดานตัวมนุษย์ได้อย่างแยบยล โดยผ่านการเขียนบทร่วมกับ Mads Tafdrup น้องชายของเขาผสมปนเทจนไปเข้าทางตามสุภาษิตไทยที่ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนไว้ อย่างโจ่งแจ้งชัดเจน แม้โครงสร้างทางสังคมจะต่างกันแต่ก็มีบริบทบางอย่างคล้ายกันกับไทยเราอยู่พอจะเข้าใจได้บ้าง ตลอดทางที่หนังพยายามเสนอทางเลือกต่าง ๆ แต่ตัวละครกลับไม่เลือกเอาซักอย่าง ยอมรับว่าดูไปหงุดหงิดและขัดใจมากจนไม่อยากเชื่อว่าในยุคนี้แล้วยังมีคนแบบนี้อยู่ในโลกนี้อีกเหรอเนี่ย แต่ก็คิดอีกแง่นึงในหนังมันดันมีเรื่องของการเคารพขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นที่เขานับถือสืบทอดกันอยู่อะไรด้วย มันจึงเป็นเหตุผลที่รองรับการกระทำการตัดสินใจของตัวละครที่ยึดถือมากเกินกว่าจะเชื่อมั่นในตัวเองจนกลายเป็นความซื่อบื้อให้พวกเขาชักจูงแถมลากยาวให้เรื่องมันบานปลายลงเหวมากขึ้นไปอีกด้วย
แม้ระหว่างทางดูไปนั่งด่าไปตลอดทาง แต่ถือว่าหนังสอบผ่านด้านการถ่ายทอดความอึดอัดผ่านสภาวะความเป็น Culture Shock ที่สวยแต่รูปจนนำไปสู่คนดูให้รู้สึกอารมณ์กระอักกระอ่วนขมคอไปด้วยกันได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็สอบตกทางด้านความเป็น Drama Survivor ของมนุษย์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในยุคปัจจุบันที่มีข้อมูลข่าวสารจากเทคโนโลยีอยู่รอบตัวเรา อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นแล้วว่าหนังเสนอทางเลือกไว้มากมายแต่ตัวละครเหล่านี้ไม่คว้ารับไว้เลย จะกล่าวหาอีกฝ่ายอย่างเดียวก็คงจะลำเอียงเข้าข้างฝ่ายคนดีย์เกินไปในเมื่อคุณเสนอตัวเอาใจไปเล่นกับเขาเอง พูดอะไรก็เชื่อ สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ตอบโต้ ไม่ฮือ ไม่อือ อะไรทั้งสิ้น มันจึงกลายเป็นการยินยอมถูกกลืนกินให้กลายเป็นทาสทางธรรมเนียมของอีกฝ่ายครอบงำไปง่าย ๆ ทันที
ข้อดีที่พอใจอีกอย่างคือ ตัวละครหลักในเรื่องมีแค่ไม่กี่คน อาทิ Morten Burian จาก The Yard (2016), Sidsel Siem Koch จาก Steppeulven (2014) และ น้อนหญิง Liva Forsberg จาก The Chestnut Man Series (2021) รับบทฝั่งครอบครัวชาวเดนมาร์ก ส่วนครอบครัวชาวดัทช์ ได้แก่ Fedja van Huet จาก Groeten van Gerri (2020) , Karina Smulders จาก Alle Tijd (2011) และ น้อนบ่าว Marius Damslev จาก Becoming Astrid (2018) จึงทำให้หนังมีเวลาในการสำรวจตัวละครแต่ละคนได้ทั่วถึง แม้ Details ปูมหลังจะเบาบางตื้นเขินเกินไปหน่อย โดยเฉพาะฝั่งครอบครัวชาวดัทซ์แทบไม่เอ่ยอะไรเลย บทสนทนาไม่มีปัญหาต่อการดูเพราะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารกันแล้วเลือกใช้ location บ้านหลังใหญ่โดด ๆ ของครอบครัวอีกฝั่งเป็นศูนย์กลางของเรื่องทดแทนการเล่าเรื่องในช่วงที่ไม่มีฉากพูดหรือฉากตื่นเต้น จึงเหมาะสำหรับเป็นสถานที่ปิดในการสร้างบรรยากาศความวังเวงว่างเปล่าท่ามกลางป่าเขาให้กลายเป็นที่ไล่ล่ากักขังคนจากฆาตกร และ ภัยอันตรายจากสิ่งรอบข้างได้ไม่ยากมากนัก แม้ว่าตัวสถานที่จะดูซ้ำ ๆ กับเรื่องอื่นในแนวนี้ไปซักหน่อยจนไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ใด ๆ แต่รสชาติที่ปรุงออกมามันมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่อร่อยไม่ซ้ำใครเหมือนกัน
ส่วนที่ตำหนิมาก ๆ เลยคือ เหตุผลของคนร้ายไร้เหตุผลสิ้นดี ถ้าไม่นับการหยิบยกความเป็นธรรมเนียมนิยมมาใช้เป็นเหตุผลในการหาความชอบธรรมเข้าตัวเองแล้ว มันก็คือฆาตกรโรคจิตคนนึงเท่านั้น แต่พอมีประเด็นที่กล่าวไปรองรับด้วยแล้ว มันจึงเป็นการส่งเสริมให้เรื่องมันมีน้ำหนักที่อุ้มชูประเด็นให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้นจากตรรกะความโลกสวยของครอบครัวพระเอกที่เป็นเครื่องมือชั้นดีให้อีกฝั่งฉลาดแข็งแกร่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่แทบจะไม่ได้ลงทุนอะไรให้เหนื่อยเลยนอกจากคำพูดและรอยยิ้มแค่นั้น ขนาดอีกฝ่ายเผลอปล่อยไก่เป็นระยะ ๆ ก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอีก ผมนี้นับถือความเป็นคนดีของครอบครัวพระเอกจนอยากจะมอบรางวัลครอบครัวคุณธรรมดีเด่นให้เลยจริง ๆ และ ผมขอยกย่องเลยว่าอีกฝั่งมีวิธีการพูดอย่างไรถึงโน้มน้าวคนเก่งขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นนักธุรกิจมาเชิญชวนคนสมัครเป็นสมาชิกลูกทีมตนเองนี้เผลอ ๆ มีคนมาสมัครต่อเรียงกันเป็นว่าเล่นแล้ว ผมนี้ก็ขอมอบรางวัลตำแหน่งครอบครัวไลฟ์โค้ชยอดเยี่ยมให้แก่ท่านไปเลยทันที แต่ละรางวัลสมมงมากทั้ง 2 ครอบครัวมาก
สรุป แม้ภาพรวมพอจะเดาทางได้ตั้งแต่เห็นชื่อเรื่องแล้วว่าการเดินเรื่องจะมาแบบไหน หาทางลงอย่างไร ตอนเปิดเรื่องก็สื่อนัยยะได้ชัดขึ้นอีกว่ามันจะต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อไปเป็น Pattern เป็นลำดับ ๆ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงเหมือนกันคือระยะทางหนังสามารถทำให้เรารู้สึกสิ้นหวัง หมดกำลังใจ จุกเสียด แน่นท้องไปทีละนิด ๆ กับความโหดร้ายของมนุษย์ที่ไม่ได้ฉายภาพความรุนแรงใด ๆ ให้เห็นแต่สัมผัสได้ถึงความหดหู่อยู่เต็มอกเหมือนโดนมีดแทงเข้าหน้าท้องแล้วปล่อยให้เรานอนเลือดไหลทรมานตายไปช้า ๆ นั่นเอง ช่วงโค้งสุดท้ายพอจะมี Scene ที่พอช่วยให้เรามีหวังคอยลุ้นเอาใจช่วยกันอยู่เล็ก ๆ แต่สุดท้ายก็ตามที่คาดเดาไว้ แม้ปมบางอย่างจะคลี่คลายไปบางส่วนแต่บางอย่างก็ยังคลี่คลายไม่หมดจนคลุมเครืออยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ตามหนังได้ทำหน้าที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเราจนแตกสลายไปพริบตาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้