รู้สึกหมดไฟและท้อกับการรับราชการครูมากเลย ทำยังไงดีครับ?

สวัสดีครับ ผมเป็นข้าราชการครู สาขาวิชาฟิสิกส์ ได้เข้ารับการบรรจุ ตอนอายุ 30 ปี
ผมจบสายวิศวกรรมเครื่องกล แล้วพอไปทำงานในโรงงานแล้วรู้สึกไม่ชอบ เพราะอยู่ไกลบ้าน อยากกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ขอนแก่น
บังเอิญเมื่อปี 2560 มีการเปิดสอบครูผู้ช่วย โดยไม่ต้องมีวุฒิครูก็มาสมัครได้(เป็นปีเดียวที่มีเงื่อนไขนี้) เลยลองสมัครสอบที่ขอนแก่นดู เพราะเห็นว่าใกล้บ้าน
แล้วก็สอบได้ อันดับที่ 2 ของสายครูฟิสิกส์ เราก็มั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถเลือกโรงเรียนใกล้บ้านได้ ปรากฏว่าโรงเรียนมัธยมที่ได้เลือก
คือโรงเรียนประจำอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ติดกับ จ.หนองบัวลำภู
เราก็วาดฝันว่าเราจะใช้ความรู้ที่มีจากการเรียนวิศวกรรม มาใช้ประยุกต์สอนวิชาฟิสิกส์ แบบเข้มข้น
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น นักเรียนในโรงเรียน สายวิทย์ มีน้อยคนมาก ที่จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ
มีน้อยคนลงไปอีก ที่สนใจอยากจะไปต่อในสายอาชีพวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้นักเรียนไม่มีแรงจูงใจในการเรียนฟิสิกส์ มากเท่าที่ควร
แต่นักเรียนก็น่ารัก และสนิทกับครู ทำให้ตั้งใจเรียนวิชาฟิสิกส์ ไม่น้อยเลย แม้จะเรียนรู้ได้ช้า ต้องช่วยอธิบายรายคนก็ตาม

ปัจจุบัน ผมบรรจุมาแล้ว 6 ปีเต็ม ผมทำการเขียนย้ายเข้าโรงเรียนในเมืองขอนแก่น(กลับบ้านที่อยู่ในเมือง)
แต่การเขียนย้ายในระบบราชการ ยากเย็นมากเหลือเกิน เพราะจะต้องใช้คะแนนจากระบบวิทยฐานะ การทำผลงานระดับประเทศ การทำโครงการพัฒนา
เนื่องจากนักเรียนโรงเรียนเล็กๆ ไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงความรู้ และมีความกระตือรือร้น ด้วยบรรยากาศของการแข่งขันเหมือนโรงเรียนในเมือง
การสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผมก็พยายามมองหา เพื่อจะหาผลงานเอาไว้ย้าย

ตอนแรก มองไปทางด้าน อัจริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่นักเรียนต้องเก่งทั้ง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ซึ่งเป็นไปได้ยาก สำหรับโรงเรียนของผม
ผมเลยไปทางด้านการแข่งขันหุ่นยนต์อัตโนมัติแทน แต่ด้วยงบประมาณของโรงเรียน ที่มีจำกัด และนักเรียนที่สนใจด้านวิศกรรมมีน้อย ประกอบกับโรงเรียน ในสายการแข่งขัน ค่อนข้างมีทักษะสูงทางด้านหุ่นยนต์อัตโนมัติ(และงบประมาณที่สูงด้วย) ทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ผมเดินสายแข่งขันหุ่นยนต์ หลายรายการมากมาย ล่าสุด คือ ส่งนักเรียนเข้าแข่งขันชิงถ้วยพระเทพฯ ที่จัดโดยสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น โดยเข้าร่วมทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย ที่จะแข่งในเดือนมิถุนายน นี้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ (กติกาคือสามารถต่อเติมด้าน Mechanic ได้ไม่จำกัด) ทั้งค่าเดินทาง และค่าสนามสำหรับการฝึกซ้อม ผมรู้สึก ละอายใจ กับการของบประมาณจาก ผอ. ในการสร้างโอกาสให้นักเรียน ซึ่ง ผอ. มองว่าใช้งบประมาณสูง และไม่เหมาะกับบริบทของโรงเรียน(โอกาสไปชนะโรงเรียนเอกชน ขนาดใหญ่ ในกรุงเทพ ค่อนข้างยาก) ดังนั้น หลายๆ ครั้ง ผมจะต้องจ่ายงบประมาณส่วนตัว ในการซื้ออะไหล่บางครั้ง ที่ต้องการด่วนๆ พอหลังๆ เริ่มไม่อยากจ่ายเงินตัวเอง เพราะมองว่าโรงเรียนควรจะเป็นผู้สนับสนุน

ปัจจุบันนี้ ผมบรรจุได้ 6 ปี เงินเดือน อยู่ที่ 22,xxx บาท ซึ่งผมมองว่าน้อย แต่โรงเรียนมีสวัสดิการ อย่างบ้านพักครูให้ ก็ถือว่าดีอยู่
งานในโรงเรียนปัจจุบัน ผมรับผิดชอบงานหลายอย่าง
1) งานวัดและประเมินผล ตรวจสอบการกรอกคะแนน และต้องแก้ 0 ให้นักเรียนผ่านระบบ SGS
2) งานทะเบียน ในการลงทะเบียนวิชาเรียน ในระบบ SGS นำเข้าข้อมูลนักเรียนย้ายเข้า-ออก เทียบโอนเกรด สั่งจบ ปริ๊นเอกสารจบ
3) งานหลักสูตร ตรวจสอบหน่วยกิต ในหลักสูตรรายวิชา รหัสรายวิชา และจัดครูสอนในแต่ละรายวิชา ในระบบ SGS
4) งานโสตทัศนูปกรณ์ ถ่ายภาพ ทำ VTR ประเมินโรงเรียน ดูแลเพจโรงเรียน ทำวารสารข่าวประชาสัมพันธ์ อัพโหลดรูปภาพลงเพจ
5) ทำโครงการนักข่าวน้อย เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้ลองทำข่าวในสตูดิโอ นำเสนอข่าวต่างๆ ของโรงเรียน
6) ทำโครงการภาพยนตร์สั้น เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้ลองทำภาพยนตร์สั้นคุณธรรม
7) ทำโครงการหุ่นยนต์อัตโนมัติ เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของหุ่นยนต์อัตโนมัติ ในภารกิจต่างๆ
ซึ่งงานทั้งหมดที่กล่าวมา ผมต้องทำคนเดียว แต่งานโสต มีทีมนักเรียนฝ่ายโสต เข้ามาช่วยงานอยู่
คาบสอนปัจจุบัน อยู่ที่ 23 คาบ/สัปดาห์ ซึ่งรายวิชาที่สอนเป็นหลัก กลับไม่ใช่วิชาฟิสิกส์ แต่กลายเป็นวิชาเทคโนโลยี ที่ไม่ตรงสาย (ได้สอนแค่ฟิสิกส์ ม.5 เพราะที่โรงเรียน มีครูฟิสิกส์ 2 คน เกินอัตราความต้องการแต่กลับไม่มีครูเทคโนโลยี)
ทุกวันนี้ ผมไม่มีเวลา สำหรับเตรียมการสอน หรือพัฒนาเอกสารการสอนวิชาฟิสิกส์เลย (ช่วงบรรจุใหม่ๆ ยังไม่ได้รับผิดชอบงานเยอะ ได้มีเวลาเตรียมเอกสารการสอน รวบรวมข้อสอบมหาลัย คิดวิเคราะห์ออกมาว่าจะสอนยังไง ให้นักเรียนไปถึงจุดหมายของการสอบเข้ามหาลัยได้) งานรัดตัวไปหมด ทั้งที่ไม่ใช่งานที่จะพัฒนาด้านการสอนฟิสิกส์เลยเงินเดือนก็ค่อนข้างน้อย อยู่แบบพอมีพอกิน แต่ไม่ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตได้เลย

ผมต้องเทียวกลับบ้าน ทุกๆ อาทิตย์ ซึ่ง รร. ห่างจากบ้านที่อยู่ในเมือง ไป 95 กิโลเมตร ช่วงนี้ปิดเทอม แต่ก็ต้องเทียวขับรถไป รร. ทุกอาทิตย์ เพื่อไปอยู่เวร และบางครั้งต้องไปทำเอกสาร ปพ.1 ให้นักเรียนที่อยากย้ายออก
ผมพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ การอ่านผมค่อนข้างคล่อง แต่การฟัง และการพูด ยังไม่เท่าไหร่ กำลังพัฒนา
แต่ดูเหมือน ทักษะภาษาอังกฤษ จะไม่มีความสำคัญ หรือความจำเป็นในสายงานราชการเลยครับ ไม่ได้ช่วยให้พัฒนาคุณภาพชีวิตขึ้นได้เลย
ความหวังที่จะพานักเรียนไปชนะ การแข่งขันหุ่นยนต์ระดับชาติ ก็ดูริบหรี่มากเลย (ที่ผ่านมา ไปทุกปี แพ้ทุกรายการ)
มันเหมือนบริบทของโรงเรียนแห่งนี้ เขาไม่ได้ต้องการคนแบบผม เขาต้องการคนที่จะมาพัฒนาอาชีพสู่ชุมชน แบบเข้ากับบริบทของชุมชน มากกว่ามาสนับสนุนด้านเทคโนโลยี หรือการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ ก็จบไปเรียนต่อเป็นครู หรือสายสุขภาพ(สารธารณสุข) ซะเป็นส่วนมาก

การทำงานในระบบราชการ ก็เป็นการทำงานแบบเอาหน้า ใครทำอะไร ก็ต้องลงไลน์ให้ผอ. เห็น ให้คนอื่นเห็นว่าฉันทำงาน ดึกดื่นนะ ซึ่งผมไม่ชอบวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้เลยครับ เพื่อนร่วมงานก็อยู่กันเป็นกลุ่มแก๊ง ไทยบ้าน เราไม่เข้าพวกกับเขา เราก็เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ ทำโครงการอะไร ก็ไม่มีใครสนใจจะยื่นมือเข้ามาช่วย การประเมินงาน ก็วัดกันที่งานเอกสาร ท่วมเป็นกอง การประเมินต่างๆ ของโรงเรียน ที่ตัดสินด้วยงานเอกสาร ซึ่งผมไม่ชอบงานเอกสารแบบนั้นเลยครับ

ผมไม่ได้ต้องการ อะไรมากไปกว่าได้อยู่บ้านกับครอบครัว ได้สอนโรงเรียนใกล้บ้าน ได้ออกกำลังกาย ในสถานที่ที่บรรยากาศดี (อำเภอที่บรรจุคุณภาพอากาศแย่มาก จากการเผา) ได้อยู่ในโรงเรียนที่มีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอ โรงเรียนที่มีบุคลากรเพียงพอ ในการจัดสรรแบ่งปันงาน และคาบสอน ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ทุกวันนี้ ทำงานไม่มีความสุขเลยครับ แต่อยู่ได้เพราะมีนักเรียน งานโสต และ หุ่นยนต์ หวังพึ่งผมอยู่ ทั้งที่ผมเหนื่อยมากๆ เลย คาบสอนก็เยอะ งานโรงเรียนก็เยอะ

มีครูท่านอื่นเป็นแบบผมบ้างไหมครับ มาแชร์แบ่งปันประสบการณ์หน่อยครับ ความแตกต่างระหว่างบรรยากาศการทำงานในโรงเรียนเล็ก กับโรงเรียนใหญ่ แตกต่างกันไหมครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่