#เกิดมาทำไม?
"มีผู้หญิงคนหนึ่ง ถามคำถามกับหลวงปู่หล้าว่า
ตัวเองเกิดมาทำไม ?
เกิดมาเพื่ออะไร อะไรนำพาให้เกิด
เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์
ทำไม คนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป ?
หลวงปู่ตอบว่า
คำว่า เกิดมาทำไม
ตอบว่า เพราะกรรมทำให้เกิด
เกิดมาเพื่ออะไร
ตอบว่า เกิดมาเพื่อสร้างบารมี หนีจากความหลง
ของเจ้าตัวที่เคยหลงมา
ถามว่า อะไรนำมาให้เกิด
ตอบว่า อวิชชาความโง่ๆ พาให้เกิด
อวิชชาแบ่งเป็นสี่
๑.ไม่รู้ทุกข์
๒.ไม่รู้ทุกขสมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
๓.ไม่รู้ทุกขนิโรธ คือ ความดับแห่งทุกข์
๔.ไม่รู้ทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์
เพิ่มทุกข์เข้าอีก
๕.ไม่รู้จักอดีต
๖.ไม่รู้จักอนาคต
๗.ไม่รู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต โยงใส่กัน
๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
คือ ลูกโซ่ที่เกี่ยวคล้องเป็นสาย มันเป็นบ่วงวงกลมคล้องคอจิตใจเราอยู่ อวิชชา ๘ ก็ว่า
คำว่า อวิชชา แปลว่า ไม่ใช่ วิชชา
ถ้าแปลให้เข้าใจง่าย ก็คือ ความโง่ ความหลง
ของเรา แต่ละท่านๆนั่นเอง
ถ้าจะอธิบายในเรื่องนี้ให้พิศดาร ก็ต้องยาวเหยียดมาก จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ต้องอธิบายยาวเหยียด
ทำไม ? คนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป
ตอบว่า เพราะกรรมบันดาล ยังไม่เห็นทุกข์ในโลกพอ เพราะมีความหวังในโลกอยู่
เพราะเข้าใจว่า มันพอใช้สอยอยู่
ถ้าจะตอบให้ถึงที่แล้ว ก็คือ บารมียังอ่อนอยู่นั่นเอง
เมื่อผู้อธิษฐานขอเกิด
ก็แปลว่า มีความพอใจยินดีในการเกิด
ส่วนเป้าหมายในการเกิดแตกต่างออกไปตามเจตนา ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน ข้อนี้ ก็จริงอยู่
แต่บางท่านอยากเกิดอีก เพื่อสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจก หรือพระอรหันขีณาสพสาวก หรือสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป จำพวกที่ต้องการแบบนี้ คือ...
ต้องการไปทางโลกุตรกุศล
จำพวกหนึ่งนั้น...
ต้องการเกิดมาเป็นเศษฐีกฎุมพี ปรารถนาในโลกีย์ยุ่งเหยิงอยู่ บางจำพวกต้องการปรารถนา เกิดอีก...
เพื่อต้องการเสวยกามารมณ์ล้วนๆ บางจำพวกต้องการมาสนองเวร สนองภัยกับผู้อื่นที่อาฆาต
จองเวร ผูกใจเจ็บไว้
สรุป ความปรารถนาทั้งหลาย
มันก็เป็นไปตามกรรม และผลของกรรมอีกละ
ถ้าหากว่า
จิตยอมรับด้วยจิตเองว่า การเกิดเป็นทุกข์
ไม่ปรารถนาที่จะเกิดอีก พูดมาถึงตรงนี้ ก็ตีความหมายว่า เป็นเพียงความคิดไม่อยากเกิด เพราะ...
มันทุกข์ ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า
เป็นความคิดที่วิ่งวนตัวตัณหาเสียอีกแล้วกระมัง ตอบข้อนี้ว่า มันไม่เป็นตัณหาดอก
และไม่กลายเป็นทุกข์ ซ้อนทุกข์ โดยไม่รู้ตัวดอก พระบรมศาสดาและพระอริยสาวก
ผู้ที่สร้างบารมีแก่กล้าแล้ว ก็ต้องยืนยันอย่างนั้น
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว...
การประพฤติพรหมจรรย์ ก็ไม่มีความหมาย
ใน...คิวสุดท้าย."
_____________________________________________
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี จ.มุกดาหาร
"มีผู้หญิงคนหนึ่ง ถามคำถามกับหลวงปู่หล้าว่า ตัวเองเกิดมาทำไม ?
"มีผู้หญิงคนหนึ่ง ถามคำถามกับหลวงปู่หล้าว่า
ตัวเองเกิดมาทำไม ?
เกิดมาเพื่ออะไร อะไรนำพาให้เกิด
เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์
ทำไม คนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป ?
หลวงปู่ตอบว่า
คำว่า เกิดมาทำไม
ตอบว่า เพราะกรรมทำให้เกิด
เกิดมาเพื่ออะไร
ตอบว่า เกิดมาเพื่อสร้างบารมี หนีจากความหลง
ของเจ้าตัวที่เคยหลงมา
ถามว่า อะไรนำมาให้เกิด
ตอบว่า อวิชชาความโง่ๆ พาให้เกิด
อวิชชาแบ่งเป็นสี่
๑.ไม่รู้ทุกข์
๒.ไม่รู้ทุกขสมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
๓.ไม่รู้ทุกขนิโรธ คือ ความดับแห่งทุกข์
๔.ไม่รู้ทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์
เพิ่มทุกข์เข้าอีก
๕.ไม่รู้จักอดีต
๖.ไม่รู้จักอนาคต
๗.ไม่รู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต โยงใส่กัน
๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
คือ ลูกโซ่ที่เกี่ยวคล้องเป็นสาย มันเป็นบ่วงวงกลมคล้องคอจิตใจเราอยู่ อวิชชา ๘ ก็ว่า
คำว่า อวิชชา แปลว่า ไม่ใช่ วิชชา
ถ้าแปลให้เข้าใจง่าย ก็คือ ความโง่ ความหลง
ของเรา แต่ละท่านๆนั่นเอง
ถ้าจะอธิบายในเรื่องนี้ให้พิศดาร ก็ต้องยาวเหยียดมาก จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ต้องอธิบายยาวเหยียด
ทำไม ? คนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป
ตอบว่า เพราะกรรมบันดาล ยังไม่เห็นทุกข์ในโลกพอ เพราะมีความหวังในโลกอยู่
เพราะเข้าใจว่า มันพอใช้สอยอยู่
ถ้าจะตอบให้ถึงที่แล้ว ก็คือ บารมียังอ่อนอยู่นั่นเอง
เมื่อผู้อธิษฐานขอเกิด
ก็แปลว่า มีความพอใจยินดีในการเกิด
ส่วนเป้าหมายในการเกิดแตกต่างออกไปตามเจตนา ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน ข้อนี้ ก็จริงอยู่
แต่บางท่านอยากเกิดอีก เพื่อสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจก หรือพระอรหันขีณาสพสาวก หรือสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป จำพวกที่ต้องการแบบนี้ คือ...
ต้องการไปทางโลกุตรกุศล
จำพวกหนึ่งนั้น...
ต้องการเกิดมาเป็นเศษฐีกฎุมพี ปรารถนาในโลกีย์ยุ่งเหยิงอยู่ บางจำพวกต้องการปรารถนา เกิดอีก...
เพื่อต้องการเสวยกามารมณ์ล้วนๆ บางจำพวกต้องการมาสนองเวร สนองภัยกับผู้อื่นที่อาฆาต
จองเวร ผูกใจเจ็บไว้
สรุป ความปรารถนาทั้งหลาย
มันก็เป็นไปตามกรรม และผลของกรรมอีกละ
ถ้าหากว่า
จิตยอมรับด้วยจิตเองว่า การเกิดเป็นทุกข์
ไม่ปรารถนาที่จะเกิดอีก พูดมาถึงตรงนี้ ก็ตีความหมายว่า เป็นเพียงความคิดไม่อยากเกิด เพราะ...
มันทุกข์ ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า
เป็นความคิดที่วิ่งวนตัวตัณหาเสียอีกแล้วกระมัง ตอบข้อนี้ว่า มันไม่เป็นตัณหาดอก
และไม่กลายเป็นทุกข์ ซ้อนทุกข์ โดยไม่รู้ตัวดอก พระบรมศาสดาและพระอริยสาวก
ผู้ที่สร้างบารมีแก่กล้าแล้ว ก็ต้องยืนยันอย่างนั้น
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว...
การประพฤติพรหมจรรย์ ก็ไม่มีความหมาย
ใน...คิวสุดท้าย."
_____________________________________________
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี จ.มุกดาหาร