ประสบการณ์ของแคทรีน่า รีวาส (Catalina Rivas) เกิดขึ้นด้วยพระเมตตาของพระเป็นเจ้า ทรงโปรดประทานให้เธอได้เห็นภาพนิมิตของสิ่งที่สายตาของมนุษย์ทั่วไปไม่อาจแลเห็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ก่อนตายจากคุณแม่ของเธอ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2003 ในที่นี้ผู้แปลได้ย่อความบางส่วนจากหนังสือที่เธอบันทึกเหตุการณ์ ไว้ดังนี้
+++
ตายดี
ก่อนที่คุณแม่จะเสีย ท่านกล่าวว่า “ท่านมองเห็นหลายคนที่เสียชีวิตไปแล้ว หนึ่งในนั้นคือ คาลอส (Carlos) ลูกชายของท่านเอง” [คาลอส (Carlos) เป็นน้องชายของแคทรีน่า ซึ่งเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยโรคหัวใจ บรรดาพี่น้องจึงตกลงกันว่าจะปิดข่าวการเสียชีวิตของเขาไม่ให้แม่รู้ เพราะเกรงว่าอาการป่วยของท่านจะทรุดหนักกว่าเดิม]
ท่านเล่าว่า ท่านได้พบกับคาลอส และเขาบอกกับท่านว่า มหาสมุทรในสวรรค์นั้น กว้างใหญ่และงดงามยิ่งกว่ามหาสมุทรบนโลก ดิฉันจึงเข้าใจว่า วิญญาณเหล่านั้นคงจะมาเพื่อเตรียมตัวให้ท่าน อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันสุดท้าย ท่านมองเห็นปีศาจมาทรมานท่าน พวกมันตะโกนด่าทอ ต่างๆนาๆ ทำให้ท่านแทบไม่ได้พักผ่อนเลย และเมื่อดิฉันร่วมสวดสายประคำกับคนในบ้านพร้อมกับคุณแม่
พระจิตเจ้าทรงส่องสว่างให้ดิฉันระลึกได้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่เคยบอกกับดิฉันว่า มีเพื่อนเคยมาพาท่านไปหาหมอดู ดิฉันจึงคิดว่าท่านอาจจะลืมไป และยังไม่เคยสารภาพบาปนี้เลย ดิฉันบอกคุณแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอให้คุณพ่อวิญญาณรักษ์ของดิฉันช่วยมาโปรดศีลอภัยบาปให้ท่าน หลังจากนั้นท่านก็ไม่ถูกรบกวนอีกเลย ท่านมีใบหน้าสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันจึงอยากจะบอกถึงทุกคนที่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องการดูดวง , ทำนายโชคชะตา , ไสยศาสตร์ , เวทมนตร์ หรือไพ่ทำนาย ขอให้เขาเหล่านั้นไปสารภาพบาปอย่างดี เพราะเราอาจไม่ได้ตระหนักว่าเราได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่อาจทำให้มีผลกระทบต่อชีวิตของเราด้วย
เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง พวกเราญาติพี่น้องร่วมสวดสายประคำแม่พระ , สายประคำพระเมตตา พร้อมกับคุณแม่ และท่านได้สิ้นลมอย่างสงบ ซึ่งตรงกับวันฉลองพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
แต่หลังจากที่คุณแม่เสียชีวิตได้ 10 วัน ขณะที่ดิฉันกำลังสวดภาวนาเวลาเช้า ทันใดนั้น ดิฉันมองเห็นภาพเหมือนกับกำลังดูภาพยนตร์ ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาดิฉัน ภาพนั้น เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ของดิฉันกำลังจะสิ้นลม เหตุการณ์ในวันนั้น ดิฉันได้เห็นเพียงบางส่วน แต่พระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ดิฉันได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ที่สายตามนุษย์ไม่อาจแลเห็นได้ เพื่อถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้มนุษย์ทุกคนได้รับรู้ดังที่ดิฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้...
คุณแม่นอนอยู่บนเตียง และดิฉันกำลังพยาบาลท่านอยู่ใกล้ๆ แล้วดิฉันก็เห็นคนจำนวนหนึ่ง เข้ามาใกล้ ด้านขวาของคุณแม่ ดิฉันจำพวกเขาได้หนึ่งในนั้นคือ นักบุญยอแซฟ , นักบุญอันตนแห่งปาดัว , นักบุญโรซาแห่งลีมา , นักบุญโดมินิกแห่งกุซมาน และนักบุญซิลเวสเตอร์ นักบุญเหล่านั้น อยู่ด้านหลังเหนือศีรษะคุณแม่ของดิฉัน และยังมีอารักขาเทวดาของคุณแม่ด้วย ท่านเป็นชายหนุ่มที่สง่างามมาก กำลังคุกเข่าสวดภาวนาขณะที่มือหนึ่งของท่านปกเหนือศีรษะของคุณแม่
และยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง มีทั้งชายและหญิง ทั้งหนุ่มและชรา ราว 40 คน พวกเขากำลังสวดภาวนา ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อขาวยาวถือขันทองใบเล็กอยู่ในมือ เขาโปรยควันหอมคล้ายธูปจากขันทองใบนั้น ควันนั้นได้ป้องกันเงาดำที่จะเข้ามาใกล้คุณแม่ ให้ถอยห่างออกไป
ชายหนุ่มนั้น กำลังสวดภาวนา และโปรยควันจากขันทองขึ้นไปในอากาศ พร้อมกับเดินผ่านทุกคนที่กำลังล้อมรอบเตียงอยู่ในห้องนั้น ดิฉันอดประหลาดใจไม่ได้ ที่เห็นคนเหล่านั้นในห้อง พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับดิฉันว่า
“พวกเขาคือนักบุญองค์อุปถัมป์ของเธอ(คุณแม่ของดิฉัน) และบรรดาวิญญาณเหล่านั้น คือ คนที่เธอได้ช่วยไว้ด้วยคำภาวนา ด้วยความทุกข์ทรมาน และแม้แต่โดยการระลึกถึง เธอไม่รู้จักพวกเขา แต่พวกเขามาเพื่ออยู่กับเธอในช่วงเวลานี้ สำหรับการเดินทางของชีวิตหลังความตาย”
เมื่อดิฉันเปลี่ยนเสื้อให้คุณแม่ ท่านกล่าวว่า “ถึงเวลาที่แม่ต้องไปกับพวกเขาแล้ว” และท่านก็มองบางสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไป
พวกเราพยายามบรรเทาใจท่าน ด้วยเพลงสรรเสริญพระเจ้า แล้วท่านเปิดตากว้างเหมือนพบสิ่งมหัศจรรย์ที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อนบนโลก ท่านบีบมือดิฉันและร้องว่า “พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์... พระเจ้าผู้สูงสุด”
ท่านสวดภาวนา “ข้าแต่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้ไม่รู้ตาย โปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ”
ท่านสวดบทนี้ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก พวกเราในที่นั้นสวดสายประคำพระเมตตา แล้วท่านก็กล่าวว่า “พระบิดาเจ้าข้า... วิญญาณข้าพเจ้า...”
ท่านจำข้อความไม่ได้ พวกเราจึงช่วยเสริมต่อว่า “พระบิดาเจ้าข้า ลูกขอมอบวิญญาณของลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” คุณแม่ก็กล่าวตามเช่นกัน
ดิฉันสังเกตเห็นว่า หนึ่งในบรรดาวิญญาณที่มานั้น ดิฉันจำได้ว่ามีคุณพ่อของดิฉัน และอีกคนคือคุณย่า และคุณน้า ที่เคยอาศัยอยู่กับพวกเรา และวิญญาณดวงอื่นๆ ที่ดิฉันมองเห็นไม่ชัดเจนนัก สิ่งที่เห็นทำให้ตาของดิฉันพร่ามัวไปหมด แต่ในเวลาเดียวกัน ดิฉันก็พยายามจดจ่ออยู่กับคุณแม่ของดิฉัน
เบื้องหน้าท่าน ราวกับเพดานถูกเปิดออก มีแสงสว่างเคลื่อนเข้ามาใกล้ นั่นคือบรรดาทูตสวรรค์ซึ่งกำลังร้องเพลง พวกเขาแบ่งเป็น 2 แถว และเมื่อมาถึง พวกเขาก็แยกออกล้อมรอบเป็นวงกลม รอบๆห้อง ทุกอย่างช่างดูศักดิ์สิทธิ์ แล้วคุณแม่ก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน ให้ดิฉันได้พบกับพระนางพรหมจารีก่อน”
น้องชายของดิฉันพูดว่า “แม่ครับ พระเป็นเจ้าทรงอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงรอคอยแม่อยู่ครับ” เขาพูดเช่นนั้นเพราะก่อนหน้านั้น คุณแม่บอกว่าท่านเห็นพระเป็นเจ้าแล้ว ท่านตอบว่า “แม่จะต้องได้เห็นพระนางพรหมจารีย์เสียก่อน”
พวกเราจึงนำรูปภาพแม่พระมาให้ท่าน แต่ท่านกลับมองเหนือภาพนั้นไป ราวกับท่านไม่อาจมองเห็นสิ่งของของโลกได้อีกต่อไป ทันใดนั้น ท่านพูดขึ้น “ฉันเห็นพระนางแล้ว! พระแม่อยู่ที่นี่ เปิดทางให้พระแม่ด้วย! เราต้องวอนขอการอภัยจากพระนาง”
เวลานั้น ดิฉันก็ได้เห็นพระนางพรหมจารีมารีย์ เสด็จลงมาจากสวรรค์ ลอยอยู่บนอากาศที่ปลายเตียงของคุณแม่ พระนางยื่นพระหัตถ์ไปที่คุณแม่ของดิฉัน ทรงถือเสื้อขาวไว้ที่พระหัตถ์อีกข้างหนึ่ง คุณแม่ยื่นมือออกไปหาพระนาง แต่ทุกคนเห็นเพียงแต่ท่านยื่นมือไปในอากาศเท่านั้น
นาทีนั้น คุณแม่ก็หมดลมหายใจ ขณะที่ดิฉันยังคงประคองท่านไว้ในอ้อมแขน... ดิฉันเป็นพยานยืนยันถึง วิญญาณของคุณแม่ที่ออกจากร่างของท่าน ท่านไปพร้อมกับพระนางพรหมจารี และพระแม่ทรงประทานเสื้อขาวให้แก่ท่าน และชั่วเวลานั้นเอง คุณแม่ก็ได้สวมเสื้อขาวยาวนั้นแล้ว พระนางพรหมจารี เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ทรงยิ้มและสวมกอดคุณแม่ของดิฉัน คุณแม่โอบกอดพระนางด้วยแขนทั้งสองพร้อมกับศีรษะแนบที่พระอุระ(อก)ของพระนางด้วย แล้วพวกเขากลับเข้าสวรรค์ พร้อมกับบรรดา ทูตสวรรค์ นักบุญ และวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านั้นด้วย แล้วภาพนิมิตนั้นก็อันตรธานไป ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับดิฉันว่า
“จงบอกสิ่งเหล่านี้ให้แก่โลก เพื่อมนุษย์ทั้งมวลจะวอนขอพระหรรษทานและความช่วยเหลือจากสวรรค์ เพื่อผู้กำลังจะสิ้นใจ ซึ่งทุกคนย่อมต้องผ่านช่วงเวลานั้นอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง พระเจ้าจะทรงเสด็จมาเยือนสถานที่นั้น และจะทรงประทับอยู่กับเขา”
+++
ตายร้าย
วันต่อมา ขณะที่ดิฉันกำลังสวดสายประคำพระเมตตาอยู่นั้น ดิฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับดิฉันว่า
“จงตั้งใจมองดูสิ่งที่เธอกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ อย่ากลัว มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เธอควรต้องรู้”
เวลานั้นเอง ดิฉันได้เห็นภาพนิมิต ในห้องของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีชายชราวัยประมาณ 65 ปี และมีคนมีจำนวนหนึ่ง ยืนอยู่รอบๆ ชายนั้น พวกเขากำลังร่ำไห้ รอคอยช่วงนาทีสุดท้ายของชายคนนั้น ร่างของชายนั้นกำลังอยู่ในความเจ็บปวด เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังจะตาย เขารู้สึกโกรธเคือง และด่าว่า “ทำไมฉันต้องตาย! ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ฉันตาย! ทำอะไรซักอย่างสิ... ฉันยังไม่อยากตาย!”
เขารู้สึกคับแค้น ต่อความตายที่กำลังจะมาถึง ชายคนนี้ขุ่นเคือง ทุกข์ทรมาน ไม่มีสันติเลย... ดิฉันรู้สึกสะกิดใจที่เห็นคนเหล่านั้นไม่ได้ช่วยบรรเทาให้วิญญาณดวงนี้ มีสันติสุขเลย ไม่มีใครสวดภาวนาเพื่อชายคนนี้ที่กำลังจะตายเลย…
ด้านนอกห้อง มีคนอีกจำนวนหนึ่งกำลังสรวลเสเฮฮา บ้างก็กำลังสูบและดื่ม พวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า ยังมีชายป่วยคนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับพวกเขา กำลังอยู่ในความขัดแย้ง สิ้นหวัง สิ่งนี้มีให้พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน แล้วดิฉันก็เห็นซิสเตอร์ท่านหนึ่งกำลังเดินมา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสกับดิฉันว่า
“เธอถูกส่งมา โดยพระมารดาของเราเอง” แล้วดิฉันก็มองเห็นพระนางพรหมจารี กำลังกังวลเกี่ยวกับชายคนนี้ พระแม่พนมมือ สวดภาวนาเพื่อชายผู้นี้ ขณะที่น้ำตาไหลรินจากพระพักต์ของพระนาง และยังมีเทวดาองค์หนึ่ง ใบหน้าเศร้าหมอง ท่านยืนอยู่ถัดจากชายชรา มือหนึ่งวางปิดใบหน้าของท่านเอง และอีกมือหนึ่งท่านสัมผัสชายผู้นี้ ท่านพยายามขับไล่เงาดำที่พยายามเข้ามาใกล้ชายนี้ เงาดำเหล่านั้นมีรูปร่างประหลาด หัวเหมือนแพะบ้าง , หมีบ้าง และม้าบ้าง ดิฉันมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะพวกมันเป็นเพียงเงาดำ
เมื่อซิสเตอร์เข้ามาในห้อง เธอตรงมาที่เตียงและสัมผัสมือของชายชราผู้กำลังจะสิ้นใจ เธอมอบรูปพระให้เขา และพูดบางอย่างกับเขา แต่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ ซิสเตอร์พยายามช่วยเขาอีกครั้ง โดยมอบรูปพระให้เขา แต่ด้วยลมหายใจที่อ่อนแรงเต็มที ชายที่กำลังจะสิ้นใจส่ายศีรษะและมือ เป็นการปฏิเสธเธอ เขาพยายามร้องด่าทอ ซิสเตอร์ออกจากห้องไปอย่างแสนเศร้า
ที่ลานด้านนอกนั่น ซิสเตอร์หยิบสายประคำขึ้นมาสวด คนเหล่านั้นก็มองมาที่เธอ และยิ้มอย่างเยาะหยัน ซิสเตอร์เชิญชวนพวกเขาให้ร่วมสวดภาวนาด้วยกัน แต่สายตาและกิริยาของพวกเขา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าปฏิเสธ
ไม่กี่นาทีต่อมา ชายนั้น ก็สิ้นใจลง ดิฉันได้เห็นว่า เมื่อวิญญาณของเขาออกจากร่าง เงาดำเหล่านั้นกระโจนเข้ามาขย้ำเขาทันที กัดแทะเขาอย่างโหดร้ายเยี่ยงสัตว์ป่า พวกมันฉีกทึ้งเขาเป็นชิ้นๆ ทันใดนั้น ทูตสวรรค์เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าพวกมัน ยกมือขึ้นสั่ง
“หยุดนะ! ให้เขาไปก่อน เขาต้องไปอยู่เฉพาะพระพักต์ ณ พระบัลลังก์ของพระเป็นเจ้า เพื่อรับการพิพากษาก่อน!”
เวลานั้น บางคนในกลุ่มนั้นร้องไห้ฟูมฟาย ต่อศพผู้ตาย ดิฉันเข้าใจในทันทีถึงความแตกต่าง... ขณะเมื่อเรากำลังลาจากวิญญาณที่อยู่ในสันติสุข และมีความหวังจะได้พักผ่อนในพระเมตตาของพระเป็นเจ้า...
+++
ที่มา : A different vision about death โดย แคทรีน่า รีวาส (Catalina Rivas)
แปล : a little sheep
+++
นิมิตที่แตกต่างเกี่ยวกับความตาย (A different vision about death) โดย แคทรีน่า รีวาส (Catalina Rivas) [ตายดี-ตายร้าย]
ประสบการณ์ของแคทรีน่า รีวาส (Catalina Rivas) เกิดขึ้นด้วยพระเมตตาของพระเป็นเจ้า ทรงโปรดประทานให้เธอได้เห็นภาพนิมิตของสิ่งที่สายตาของมนุษย์ทั่วไปไม่อาจแลเห็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ก่อนตายจากคุณแม่ของเธอ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2003 ในที่นี้ผู้แปลได้ย่อความบางส่วนจากหนังสือที่เธอบันทึกเหตุการณ์ ไว้ดังนี้
+++
ตายดี
ก่อนที่คุณแม่จะเสีย ท่านกล่าวว่า “ท่านมองเห็นหลายคนที่เสียชีวิตไปแล้ว หนึ่งในนั้นคือ คาลอส (Carlos) ลูกชายของท่านเอง” [คาลอส (Carlos) เป็นน้องชายของแคทรีน่า ซึ่งเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยโรคหัวใจ บรรดาพี่น้องจึงตกลงกันว่าจะปิดข่าวการเสียชีวิตของเขาไม่ให้แม่รู้ เพราะเกรงว่าอาการป่วยของท่านจะทรุดหนักกว่าเดิม]
ท่านเล่าว่า ท่านได้พบกับคาลอส และเขาบอกกับท่านว่า มหาสมุทรในสวรรค์นั้น กว้างใหญ่และงดงามยิ่งกว่ามหาสมุทรบนโลก ดิฉันจึงเข้าใจว่า วิญญาณเหล่านั้นคงจะมาเพื่อเตรียมตัวให้ท่าน อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันสุดท้าย ท่านมองเห็นปีศาจมาทรมานท่าน พวกมันตะโกนด่าทอ ต่างๆนาๆ ทำให้ท่านแทบไม่ได้พักผ่อนเลย และเมื่อดิฉันร่วมสวดสายประคำกับคนในบ้านพร้อมกับคุณแม่
พระจิตเจ้าทรงส่องสว่างให้ดิฉันระลึกได้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่เคยบอกกับดิฉันว่า มีเพื่อนเคยมาพาท่านไปหาหมอดู ดิฉันจึงคิดว่าท่านอาจจะลืมไป และยังไม่เคยสารภาพบาปนี้เลย ดิฉันบอกคุณแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอให้คุณพ่อวิญญาณรักษ์ของดิฉันช่วยมาโปรดศีลอภัยบาปให้ท่าน หลังจากนั้นท่านก็ไม่ถูกรบกวนอีกเลย ท่านมีใบหน้าสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันจึงอยากจะบอกถึงทุกคนที่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องการดูดวง , ทำนายโชคชะตา , ไสยศาสตร์ , เวทมนตร์ หรือไพ่ทำนาย ขอให้เขาเหล่านั้นไปสารภาพบาปอย่างดี เพราะเราอาจไม่ได้ตระหนักว่าเราได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่อาจทำให้มีผลกระทบต่อชีวิตของเราด้วย
เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง พวกเราญาติพี่น้องร่วมสวดสายประคำแม่พระ , สายประคำพระเมตตา พร้อมกับคุณแม่ และท่านได้สิ้นลมอย่างสงบ ซึ่งตรงกับวันฉลองพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
แต่หลังจากที่คุณแม่เสียชีวิตได้ 10 วัน ขณะที่ดิฉันกำลังสวดภาวนาเวลาเช้า ทันใดนั้น ดิฉันมองเห็นภาพเหมือนกับกำลังดูภาพยนตร์ ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาดิฉัน ภาพนั้น เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ของดิฉันกำลังจะสิ้นลม เหตุการณ์ในวันนั้น ดิฉันได้เห็นเพียงบางส่วน แต่พระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ดิฉันได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ที่สายตามนุษย์ไม่อาจแลเห็นได้ เพื่อถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้มนุษย์ทุกคนได้รับรู้ดังที่ดิฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้...
คุณแม่นอนอยู่บนเตียง และดิฉันกำลังพยาบาลท่านอยู่ใกล้ๆ แล้วดิฉันก็เห็นคนจำนวนหนึ่ง เข้ามาใกล้ ด้านขวาของคุณแม่ ดิฉันจำพวกเขาได้หนึ่งในนั้นคือ นักบุญยอแซฟ , นักบุญอันตนแห่งปาดัว , นักบุญโรซาแห่งลีมา , นักบุญโดมินิกแห่งกุซมาน และนักบุญซิลเวสเตอร์ นักบุญเหล่านั้น อยู่ด้านหลังเหนือศีรษะคุณแม่ของดิฉัน และยังมีอารักขาเทวดาของคุณแม่ด้วย ท่านเป็นชายหนุ่มที่สง่างามมาก กำลังคุกเข่าสวดภาวนาขณะที่มือหนึ่งของท่านปกเหนือศีรษะของคุณแม่
และยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง มีทั้งชายและหญิง ทั้งหนุ่มและชรา ราว 40 คน พวกเขากำลังสวดภาวนา ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อขาวยาวถือขันทองใบเล็กอยู่ในมือ เขาโปรยควันหอมคล้ายธูปจากขันทองใบนั้น ควันนั้นได้ป้องกันเงาดำที่จะเข้ามาใกล้คุณแม่ ให้ถอยห่างออกไป
ชายหนุ่มนั้น กำลังสวดภาวนา และโปรยควันจากขันทองขึ้นไปในอากาศ พร้อมกับเดินผ่านทุกคนที่กำลังล้อมรอบเตียงอยู่ในห้องนั้น ดิฉันอดประหลาดใจไม่ได้ ที่เห็นคนเหล่านั้นในห้อง พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับดิฉันว่า
“พวกเขาคือนักบุญองค์อุปถัมป์ของเธอ(คุณแม่ของดิฉัน) และบรรดาวิญญาณเหล่านั้น คือ คนที่เธอได้ช่วยไว้ด้วยคำภาวนา ด้วยความทุกข์ทรมาน และแม้แต่โดยการระลึกถึง เธอไม่รู้จักพวกเขา แต่พวกเขามาเพื่ออยู่กับเธอในช่วงเวลานี้ สำหรับการเดินทางของชีวิตหลังความตาย”
เมื่อดิฉันเปลี่ยนเสื้อให้คุณแม่ ท่านกล่าวว่า “ถึงเวลาที่แม่ต้องไปกับพวกเขาแล้ว” และท่านก็มองบางสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไป
พวกเราพยายามบรรเทาใจท่าน ด้วยเพลงสรรเสริญพระเจ้า แล้วท่านเปิดตากว้างเหมือนพบสิ่งมหัศจรรย์ที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อนบนโลก ท่านบีบมือดิฉันและร้องว่า “พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์... พระเจ้าผู้สูงสุด”
ท่านสวดภาวนา “ข้าแต่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้ไม่รู้ตาย โปรดเมตตาลูกทั้งหลายและชาวโลกทั้งมวลเทอญ”
ท่านสวดบทนี้ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก พวกเราในที่นั้นสวดสายประคำพระเมตตา แล้วท่านก็กล่าวว่า “พระบิดาเจ้าข้า... วิญญาณข้าพเจ้า...”
ท่านจำข้อความไม่ได้ พวกเราจึงช่วยเสริมต่อว่า “พระบิดาเจ้าข้า ลูกขอมอบวิญญาณของลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” คุณแม่ก็กล่าวตามเช่นกัน
ดิฉันสังเกตเห็นว่า หนึ่งในบรรดาวิญญาณที่มานั้น ดิฉันจำได้ว่ามีคุณพ่อของดิฉัน และอีกคนคือคุณย่า และคุณน้า ที่เคยอาศัยอยู่กับพวกเรา และวิญญาณดวงอื่นๆ ที่ดิฉันมองเห็นไม่ชัดเจนนัก สิ่งที่เห็นทำให้ตาของดิฉันพร่ามัวไปหมด แต่ในเวลาเดียวกัน ดิฉันก็พยายามจดจ่ออยู่กับคุณแม่ของดิฉัน
เบื้องหน้าท่าน ราวกับเพดานถูกเปิดออก มีแสงสว่างเคลื่อนเข้ามาใกล้ นั่นคือบรรดาทูตสวรรค์ซึ่งกำลังร้องเพลง พวกเขาแบ่งเป็น 2 แถว และเมื่อมาถึง พวกเขาก็แยกออกล้อมรอบเป็นวงกลม รอบๆห้อง ทุกอย่างช่างดูศักดิ์สิทธิ์ แล้วคุณแม่ก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน ให้ดิฉันได้พบกับพระนางพรหมจารีก่อน”
น้องชายของดิฉันพูดว่า “แม่ครับ พระเป็นเจ้าทรงอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงรอคอยแม่อยู่ครับ” เขาพูดเช่นนั้นเพราะก่อนหน้านั้น คุณแม่บอกว่าท่านเห็นพระเป็นเจ้าแล้ว ท่านตอบว่า “แม่จะต้องได้เห็นพระนางพรหมจารีย์เสียก่อน”
พวกเราจึงนำรูปภาพแม่พระมาให้ท่าน แต่ท่านกลับมองเหนือภาพนั้นไป ราวกับท่านไม่อาจมองเห็นสิ่งของของโลกได้อีกต่อไป ทันใดนั้น ท่านพูดขึ้น “ฉันเห็นพระนางแล้ว! พระแม่อยู่ที่นี่ เปิดทางให้พระแม่ด้วย! เราต้องวอนขอการอภัยจากพระนาง”
เวลานั้น ดิฉันก็ได้เห็นพระนางพรหมจารีมารีย์ เสด็จลงมาจากสวรรค์ ลอยอยู่บนอากาศที่ปลายเตียงของคุณแม่ พระนางยื่นพระหัตถ์ไปที่คุณแม่ของดิฉัน ทรงถือเสื้อขาวไว้ที่พระหัตถ์อีกข้างหนึ่ง คุณแม่ยื่นมือออกไปหาพระนาง แต่ทุกคนเห็นเพียงแต่ท่านยื่นมือไปในอากาศเท่านั้น
นาทีนั้น คุณแม่ก็หมดลมหายใจ ขณะที่ดิฉันยังคงประคองท่านไว้ในอ้อมแขน... ดิฉันเป็นพยานยืนยันถึง วิญญาณของคุณแม่ที่ออกจากร่างของท่าน ท่านไปพร้อมกับพระนางพรหมจารี และพระแม่ทรงประทานเสื้อขาวให้แก่ท่าน และชั่วเวลานั้นเอง คุณแม่ก็ได้สวมเสื้อขาวยาวนั้นแล้ว พระนางพรหมจารี เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ทรงยิ้มและสวมกอดคุณแม่ของดิฉัน คุณแม่โอบกอดพระนางด้วยแขนทั้งสองพร้อมกับศีรษะแนบที่พระอุระ(อก)ของพระนางด้วย แล้วพวกเขากลับเข้าสวรรค์ พร้อมกับบรรดา ทูตสวรรค์ นักบุญ และวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านั้นด้วย แล้วภาพนิมิตนั้นก็อันตรธานไป ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับดิฉันว่า
“จงบอกสิ่งเหล่านี้ให้แก่โลก เพื่อมนุษย์ทั้งมวลจะวอนขอพระหรรษทานและความช่วยเหลือจากสวรรค์ เพื่อผู้กำลังจะสิ้นใจ ซึ่งทุกคนย่อมต้องผ่านช่วงเวลานั้นอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง พระเจ้าจะทรงเสด็จมาเยือนสถานที่นั้น และจะทรงประทับอยู่กับเขา”
+++
ตายร้าย
วันต่อมา ขณะที่ดิฉันกำลังสวดสายประคำพระเมตตาอยู่นั้น ดิฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับดิฉันว่า
“จงตั้งใจมองดูสิ่งที่เธอกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ อย่ากลัว มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เธอควรต้องรู้”
เวลานั้นเอง ดิฉันได้เห็นภาพนิมิต ในห้องของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีชายชราวัยประมาณ 65 ปี และมีคนมีจำนวนหนึ่ง ยืนอยู่รอบๆ ชายนั้น พวกเขากำลังร่ำไห้ รอคอยช่วงนาทีสุดท้ายของชายคนนั้น ร่างของชายนั้นกำลังอยู่ในความเจ็บปวด เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังจะตาย เขารู้สึกโกรธเคือง และด่าว่า “ทำไมฉันต้องตาย! ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ฉันตาย! ทำอะไรซักอย่างสิ... ฉันยังไม่อยากตาย!”
เขารู้สึกคับแค้น ต่อความตายที่กำลังจะมาถึง ชายคนนี้ขุ่นเคือง ทุกข์ทรมาน ไม่มีสันติเลย... ดิฉันรู้สึกสะกิดใจที่เห็นคนเหล่านั้นไม่ได้ช่วยบรรเทาให้วิญญาณดวงนี้ มีสันติสุขเลย ไม่มีใครสวดภาวนาเพื่อชายคนนี้ที่กำลังจะตายเลย…
ด้านนอกห้อง มีคนอีกจำนวนหนึ่งกำลังสรวลเสเฮฮา บ้างก็กำลังสูบและดื่ม พวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า ยังมีชายป่วยคนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับพวกเขา กำลังอยู่ในความขัดแย้ง สิ้นหวัง สิ่งนี้มีให้พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน แล้วดิฉันก็เห็นซิสเตอร์ท่านหนึ่งกำลังเดินมา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสกับดิฉันว่า
“เธอถูกส่งมา โดยพระมารดาของเราเอง” แล้วดิฉันก็มองเห็นพระนางพรหมจารี กำลังกังวลเกี่ยวกับชายคนนี้ พระแม่พนมมือ สวดภาวนาเพื่อชายผู้นี้ ขณะที่น้ำตาไหลรินจากพระพักต์ของพระนาง และยังมีเทวดาองค์หนึ่ง ใบหน้าเศร้าหมอง ท่านยืนอยู่ถัดจากชายชรา มือหนึ่งวางปิดใบหน้าของท่านเอง และอีกมือหนึ่งท่านสัมผัสชายผู้นี้ ท่านพยายามขับไล่เงาดำที่พยายามเข้ามาใกล้ชายนี้ เงาดำเหล่านั้นมีรูปร่างประหลาด หัวเหมือนแพะบ้าง , หมีบ้าง และม้าบ้าง ดิฉันมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะพวกมันเป็นเพียงเงาดำ
เมื่อซิสเตอร์เข้ามาในห้อง เธอตรงมาที่เตียงและสัมผัสมือของชายชราผู้กำลังจะสิ้นใจ เธอมอบรูปพระให้เขา และพูดบางอย่างกับเขา แต่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ ซิสเตอร์พยายามช่วยเขาอีกครั้ง โดยมอบรูปพระให้เขา แต่ด้วยลมหายใจที่อ่อนแรงเต็มที ชายที่กำลังจะสิ้นใจส่ายศีรษะและมือ เป็นการปฏิเสธเธอ เขาพยายามร้องด่าทอ ซิสเตอร์ออกจากห้องไปอย่างแสนเศร้า
ที่ลานด้านนอกนั่น ซิสเตอร์หยิบสายประคำขึ้นมาสวด คนเหล่านั้นก็มองมาที่เธอ และยิ้มอย่างเยาะหยัน ซิสเตอร์เชิญชวนพวกเขาให้ร่วมสวดภาวนาด้วยกัน แต่สายตาและกิริยาของพวกเขา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าปฏิเสธ
ไม่กี่นาทีต่อมา ชายนั้น ก็สิ้นใจลง ดิฉันได้เห็นว่า เมื่อวิญญาณของเขาออกจากร่าง เงาดำเหล่านั้นกระโจนเข้ามาขย้ำเขาทันที กัดแทะเขาอย่างโหดร้ายเยี่ยงสัตว์ป่า พวกมันฉีกทึ้งเขาเป็นชิ้นๆ ทันใดนั้น ทูตสวรรค์เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าพวกมัน ยกมือขึ้นสั่ง
“หยุดนะ! ให้เขาไปก่อน เขาต้องไปอยู่เฉพาะพระพักต์ ณ พระบัลลังก์ของพระเป็นเจ้า เพื่อรับการพิพากษาก่อน!”
เวลานั้น บางคนในกลุ่มนั้นร้องไห้ฟูมฟาย ต่อศพผู้ตาย ดิฉันเข้าใจในทันทีถึงความแตกต่าง... ขณะเมื่อเรากำลังลาจากวิญญาณที่อยู่ในสันติสุข และมีความหวังจะได้พักผ่อนในพระเมตตาของพระเป็นเจ้า...
+++
ที่มา : A different vision about death โดย แคทรีน่า รีวาส (Catalina Rivas)
แปล : a little sheep
+++