เป็นผู้กล้าอยู่ดี ๆ เกิดใหม่อีกที เป็นพนักงานออฟฟิศไปซะแล้ว บทนำ

กระทู้สนทนา
เป็นผู้กล้าอยู่ดี ๆ เกิดใหม่อีกที เป็นพนักงานออฟฟิศไปซะแล้ว
 
         บทนำ
 
         แผ่นดินสีดำสนิทอันแห้งแล้งแตกระแหงแห่งนี้ ไร้สิ่งมีชีวิตหรือแม้เพียงพันธุ์พืชที่เล็กที่สุด ซากปรักหักพังนับไม่ถ้วนที่หลงเหลือให้เห็น จากร่องรอยของสงครามอันไร้จุดสิ้นสุด กำลังถูกจิตวิญญาณและเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นชิงชัง แผดเผาให้มอดไหม้ รอวันเสื่อมสลายลงไป

         ซากผุพังเน่าเปื่อยทับถม กองศพจากการประหัตประหารมิอาจประเมินจำนวน ก่อเกิดทะเลสาบและสายธารโลหิตอันกว้างใหญ่ ทอดตัวออกไปจนไกลสุดลูกหูลูกตา บัดนี้อาณาเขตต้องห้ามของหมู่มวลปีศาจ ซึ่งไม่เคยได้รับความปรานีจากหยาดหยดชุ่มฉ่ำบนฟ้ามานานชั่วกัปชั่วกัลป์ กำลังถูกชโลมจนชุ่มฉ่ำไปด้วยเม็ดฝนสีแดงแห่งความตาย

         บรรยากาศหม่นมัวซึ่งหนักหน่วงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล แผ่ขยายปกคลุมกลืนกินทุกสิ่ง กลิ่นอายน่าสะอิดสะเอียนลอยล่องเจือปน เคลือบแฝงอยู่ในทุกลมหายใจและอณูอากาศ ดินแดนมิคสัญญีแห่งนี้ได้เดินทางมาจนถึงจุดสิ้นสุด ราวกับกำลังจะถึงจุดจบของโลกใบนี้แล้วในอีกไม่ช้า

         แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไม่เคยสาดส่องทะลุผ่านชั้นม่านหนาที่กางกั้น ฉับพลันเมื่อเสียงกึกก้องจากการปะทะของผู้ที่มีความกล้าแกร่งทัดเทียมกันทั้งสองดังขึ้น ลำแสงพลังงานก็พวยพุ่งขึ้นแหวกชั้นฟ้า เปิดทางให้ความอบอุ่นจากเบื้องบนส่งผ่านลงมาจนถึงเบื้องล่างได้เป็นครั้งแรก

         และเมื่อเกิดเสียงคำรามแห่งการฟาดฟันกัมปนาทขึ้นอีกครั้ง เมฆหมอกทะมึนดำก็พลันบิดม้วนเป็นเกลียวอย่างน่ากลัว ก่อนที่ความปั่นป่วนแปรปรวนจะสลายพวกมันออกจากกัน พร้อม ๆ กับการต่อสู้เป็นตายในปราสาททมิฬได้สิ้นสุดลง

         ณ ห้องโถงภายในป้อมปราการอสูรไร้พ่าย ซึ่งเคยฝังรากลึกแห่งความหวาดกลัวสุดหยั่งให้แก่ทุกชีวิตบนผืนโลกมานานแสนนาน เบื้องหน้าบัลลังก์หินนิลกาฬอันยิ่งใหญ่ที่ดูเข้มขลังน่าเกรงขาม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมากไปด้วยเหล่าผู้สวามิภักดิ์นั่งหมอบราบคาบแก้วกันอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ

         บัดนี้...ร่างของจอมมารสาวแสนอำมหิต ผู้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่แห่งการฆ่าและแย่งชิง นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่ตรงนั้น

         ความบอบช้ำจากการต่อสู้ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วผิวสีดำแดงคล้ำเข้ม ของร่างอันสูงใหญ่และมีกล้ามเนื้อมากกว่ามนุษย์เกือบสองเท่า เขาข้างหนึ่งบนศีรษะหักครึ่ง ส่วนหนึ่งของหางถูกตัดจนขาด แต่ที่สาหัสที่สุดคือบาดแผลบริเวณกึ่งกลางหน้าอก ซึ่งถูกทะลวงจากทางด้านหน้าจนทะลุออกไปทางด้านหลัง

         เป็นบาดแผลจากการจู่โจมอย่างรุนแรงหนักหน่วงเพียงครั้งเดียว ที่เป็นจุดตัดสินให้ ‘เบรฟ’ ผู้กล้าหนุ่มผู้ครอบครองดาบจอมราชัน และจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ‘ฮอเนส’ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับความรักและพรจากพระเจ้า ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้เป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้

         แสงอาทิตย์ที่ทั้งเปล่งประกายสว่างไสวและอบอุ่นอ่อนโยน สาดส่องลงมาขับไล่ไอหมอกอันทึมทึบและหนาวเหน็บได้เป็นผลสำเร็จ ยุคแห่งการแย่งชิงอำนาจที่พลังเป็นที่สุดของทุกสิ่ง สมัยแห่งการกดขี่เข่นฆ่าระหว่างเผ่าพันธุ์ ที่ทุกย่างก้าวถูกประชิดติดตาม และรายล้อมไปด้วยร่องรอยแห่งความตายได้สิ้นสุดลงแล้ว

         ไม่มีภยันตรายร้าย ไม่มีฝักฝ่ายทำร้ายทำลายกัน ไม่มีจอมมารโหดเหี้ยมไร้ปรานี ไม่มีจอมเวทย์กวัดแกว่งคทาเพื่อร่ายคาถา และไม่มีผู้กล้าที่เอาแต่ตวัดดาบต่อกรกับศัตรูอีกต่อไป

         วันเวลาจะเริ่มทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง จิตใจบอบช้ำถูกเยียวยา ความขมขื่นทุกข์ทนถูกปลดเปลื้อง ประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งความเป็นอิสระ ที่ใครจะไปที่ไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าใครก็ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการจะถูกเขียนขึ้นมาแทน

         เป็นยุคในฝันของเหล่ามวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง...

         ทว่า...ยุคทองอย่างที่ว่ามาทั้งหมดนั้น กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ทั้งผู้กล้าเบรฟและจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ฮอเนส ไม่มีวันได้เห็นและไม่อาจเดินทางมาถึงพวกเขาทั้งสองตลอดกาล

         แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ทำให้ปราสาทแห่งความมืดอบอุ่นขึ้น สายลมแผ่วเบียดแทรกตัวผ่านตามรอยแตกจากการฟาดฟันบนกำแพงประสาท เกิดเสียงหวีดหวิวแผ่วเบาคล้ายคนผิวปากอย่างมีสุนทรียารมณ์

         ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางและเป็นไปในทิศทางที่ดี ความระมัดระวังที่เคยขึงตึงมาตลอดถูกผ่อนคลายลง ด้วยเข้าใจว่าทุกสิ่งได้ยุติลงไปแล้ว

         ในขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาสมทบกัน วินาทีนั้นร่างของผู้กล้าหนุ่มก็ถูกทะลวงจนทะลุจากทางด้านหลังอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จอมเวทย์สาวเกิดปฏิกิริยารวดเร็วพอที่จะพุ่งเข้าประคองร่างไร้สติ ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไว้ในอ้อมกอดได้ทัน ก่อนที่ร่างซึ่งกำลังล้มพับจะกระแทกลงไปกับพื้น

         มองข้ามไหล่ของเขาไปทางด้านหลัง เห็นร่างของจอมมารที่ยังไม่สิ้นพิษสงโดยสมบูรณ์อย่างที่เข้าใจ กำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัว จึงรวบรวมสมาธิ และร่ายมนตร์ออกมา ด้วยเพราะเข้าใจดีว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้พลิกผันไปแล้ว

         เวทย์โจมตีหรือป้องกันนั้นไร้ประโยชน์ เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพลังงานมหาศาล ซึ่งได้มาจากการแลกชีวิต โดยเฉพาะพลังชีวิตในระดับจอมมาร ที่ถึงแม้จะหลงเหลืออยู่แค่เพียงริบหรี่ แต่นั่นก็ยังมากพอที่จะทำให้ทุกสิ่งในรัศมีหลายร้อยเมตรแหลกเป็นจุณได้

         สัญลักษณ์วงเวทย์แห่งแสงที่มีขนาดเพียงไม่ถึงฝ่ามือ ถูกจารึกลงไปบนส่วนหนึ่งของร่างผู้ร่ายคาถา เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว เส้นแสงนั้นก็ถูกลากผ่านอากาศไปยังอีกร่างในอ้อมกอด ที่ขณะนี้ลมหายใจรวยรินและใกล้จะสิ้นสติเต็มที

         นี่คือเวทย์แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งพันธสัญญา มนตร์ต้องห้ามในระดับสูงสุดที่ใช้ผูกมัดวิญญาณของคู่ร่วมสัญญาเข้าด้วยกัน เป็นพลังแห่งสายใยอันไร้กาลเวลา ที่พันผูกชักนำให้คู่ร่วมสัญญาได้เดินทางกลับมาพบกันอีกครั้งในภพชาติถัดไป ซึ่งมีเพียงแต่จอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติ และได้รับอนุญาตให้ร่ายเวทย์บทนี้

         ในขณะที่ดวงตราแห่งพันธสัญญากำลังถูกจารึกลงบนร่างของผู้กล้า ร่างกายของจอมมารซึ่งขยายใหญ่จนเต็มที่แล้ว ก็เริ่มปริแตกและปลดปล่อยคลื่นแสงออกมาตามรอยแยกเหล่านั้น

         ฮอเนสเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าใกล้คู่แห่งพันธสัญญา ประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเขา หยาดน้ำตาไหลรินออกมาพร้อม ๆ กับรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า เสียงกระซิบสุดท้ายแผ่วเบาอยู่ตรงข้างหู

         แล้วพลังทำลายล้างที่ระเบิดออกไปในทุกทิศทุกทาง ก็ระเหิดระเหยทุกสิ่งให้ดับสูญ ลบทุกภาพจนหายวับไปจากการรับรู้ในที่สุด
 

         “แล้วเราจะกลับมาเจอกันใหม่นะ...เบรฟ”

         พีรวิชญ์ลืมตาตื่นขึ้นมาบนฟูกนุ่มในห้องนอนของตนเอง รู้สึกตาสว่างเต็มที่ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด จากความวูบไหวใจหายต่อเรื่องราวในฝันที่ได้เห็น

         ทว่าวินาทีถัดมา เขาก็บอกกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่ามั่นใจ ว่านั่นไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องจริงของเขากับใครคนหนึ่งจากอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งลบหายและลืมเลือนไปจนหมดสิ้นตามกาลเวลาต่างหาก

         และตอนนี้...เขาก็จำเรื่องราวทั้งหมดนั้นได้แล้ว

จบตอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่