LET IT BE แล้วจะมีความสุข 🙂

เนื่องจากเมื่อปี 2562 เราได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอว่าเราเป็นโรค ms 


ทำไมต้องเป็นเราแล้วสาเหตุมันคืออะไร
เราไม่อยู่จะดีกว่ามั้ย กระโดดตึกแม่Jเลยดีกว่า
แล้วถ้าเราทำแบบนั้นรพ.จะเดือดร้อนมั้ย
แต่ชั้นไม่อยากอยู่แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย ชั้นยอมแพ้แกแล้ว

ความคิดและคำถามร้อยแปดผุดขึ้นมาในหัวตอนที่เรานอนรพ.
ถามย้ำๆกับตัวเอง หวังอยากได้คำตอบโดยไม่ได้พูดออกมา

จนถึงตอนนี้เราก็ยังคิดนะ แต่เป็นความคิดที่ต่างออกไป
ถ้าวันนั้นเรากระโดดออกไปนอกหน้าต่าง หัวกระแทกพื้น
จากชั้นสิบยังไงก็ตาย 
worst case ถ้าเราไม่ตายล่ะเพราะมันไม่มีใครมาการันตีว่าเราจะตาย
แล้วถ้าเราตายจริงๆ เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าเรายังอยู่ต่อได้อีกสี่ปีและนานกว่านั้น

แล้วเราจะถามย้ำๆกับตัวเองทำไมว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา
ถามให้ตายยังไงก็ไม่ได้คำตอบ ขนาดหมอยังไม่รู้คำตอบของคำถามนี้เลย
คิดเยอะทำไมกับคำถามเดิม อุตส่าห์อยู่รอดมาอีกสี่ปีให้หลัง
ควรจะเลิกคิดและมูฟออนได้แล้ว

หลังจากนั้นมันก็เหมือนมีคนมาเขย่าตัวเราแล้วพูดว่า
ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราทำได้ดีและมีประโยชน์ที่สุดคือ 

                                         "การอยู่ร่วมกับมัน"

ปล่อยมัน อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด โทษดินฟ้าอากาศก็ได้ถ้ามันทำให้เราสบายใจ
เรายังต้องใช้ชีวิตต่อไปหลังจากนี้ 
ต่อให้เราจะพิการ ตาบอด เดินไม่ได้ในอนาคตก็ไม่มีใครมาบอกให้เตรียมตัวในเรื่องที่เกินควบคุม
แต่ตอนนี้ ปัจจุบันนี้เราควบคุมมันได้ เราก็ต้องควบคุมมันให้ดีที่สุด
ทำใจ "ปล่อย" ให้ทุกอย่างมันเกิด เลิกคิดมาก

Whatever will be, will be อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด

อย่างน้อยเราก็ยังหายใจ ยังมีชีวิตอยู่
และเราก็ไม่ได้แพ้ความคิดลบในตอนนั้น
เราชนะมัน
😊😊

...
....
..
.. .
.
ปล.คิดแบบนี้แล้วโคตรสบายใจอะ เหมือนหมดห่วงแล้ว พร้อมนิพพาน 5555555555

รูปไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อหานะ เจอน้องที่รพ.เลยถ่ายไว้ 55
เว้นแต่พวกเธอจะพบปริศนาธรรม 




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่