สวัสดีค่ะ เราอายุ 32 ปี ตอนนี้มาทำงานใกล้ๆบ้านแล้ว
ปัญหาที่จะมาขอคำปรึกษา มีอยู่ว่า ช่วงปีก่อน คุณพ่อเราเสียค่ะ หลังจากหลายเดือนผ่านไป ครอบครัวเราก็ค่อยๆ ทำใจได้
และเริ่มจัดการมรดก
เรามีน้องสาวอีก 1 คน ทำงาน อยู่ที่กทม ค่ะ
และแม่ อายุ 66 ปี
ก่อนหน้านี้พ่อเป็นข้าราชการบำนาญ + ธุรกิจส่วนตัว สมัยทำงาน ก็เป็นคนหาเงินหลักของบ้าน แม่ทำธุรกิจบ้าง แต่แม่เป็นคนเก็บเงินของพ่อทั้งหมดค่ะ
พ่อยังมีบำนาญ ทำให้เราสองพี่น้อง ไม่ได้เคร่ง ในการส่งเงินให้พ่อแม่มากนัก
พอหลังจากพ่อเราเสีย
เรา น้อง แม่ ได้ผลประโยชน์จากประกันชีวิต ตามที่พ่อระบุในประกันชีวิตค่ะ + ค่าฉาปณกิจ
แต่นอกนั้น บัญชีของพ่อ ที่ดิน อาคารพานิช แม่เราให้โอนเป็นของแม่ทั้งหมด หลายบัญชี บัญชีละ เป็นเงิน 8 หลัก โดยแม่ไปแจ้งกับธนาคาร และยื่นเรื่องเป็นผู้จัดการมรดกกับศาล ซึ่งเราพี่น้องก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เข้าใจว่า พ่อแม่เค้าเก็บมาด้วยกัน
โดยแม่มีมรดกจาก ทางบ้านเดิมอยู่แล้วค่ะ และเค้าทำธุรกิจด้วย
น้องเรายังทำงานที่กทม แม่ให้น้องโอนให้แม่ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท
ซึ่งน้องเราไม่ได้เงินเดือนเยอะนะคะ เดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท ไม่รวมค่าหอพัก เป็นสวัสดิการการทำงานค่ะ
แต่เราไม่กล้าไปก้าวก่ายตรงนั้น ที่แม่เค้าขอจากน้อง
แต่สรุปที่เราเห็นมา 1 ปี คือแม่เค้าเอาเงินที่น้องให้มาเก็บ ไปซื้อสลากออมสินให้น้องแทน
นอกนั้น ค่ากินอยู่ ค่าซื้อของในบ้าน ค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง ค่าทำไร่สวน ค่าจ่ายอาคารราชพัสดุ เราเป็นคนจ่ายค่ะ
ค่าใช้จ่ายเวลาเดินทางไปตจว หรือไปกทม ของแม่ เราก็เป็นคนจ่าย
แม่เคยบอกให้เราเอาเงินให้แม่เหมือนกันกับน้อง และทำให้เราทะเลาะกันไปหลายครั้ง เนื่องจากเราเองก็ไม่ได้เงินเดือนมาก ประมาน 4 หมื่น
เราแทบไม่เหลือเงินเก็บเลยในแต่ละเดือน
ก่อนหน้าที่พ่อจะเสีย เราเคยจะขอเช่า ให้ทำเป็นสัญญาเงินกู้ชัดเจน ตรงอาคารห้องแถวของพ่อ ที่แม่พักอยู่ตอนนี้
มาทำธุรกิจขายของเพิ่มจากงานหลัก แต่พ่อเรามาเสียก่อนค่ะ ทุกอย่างเลยชะงัก
พอมาถึงตอนนี้ เราเลยอยากหารายได้เพิ่ม เพราะรายจ่ายเราเพิ่มขึ้นมาก
เลยนึกถึงการเปิดร้าน ตรงห้องแถวกลางเมืองที่เคยคุยไว้กับพ่อ
เราจะทำสัญญาร่วมหุ้นกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเราเป็นเพื่อนกันมานาน และเค้าเป็นคนทำงานเก่งค่ะ โดยจะเปิดร้านร่วมกัน ทำเป็นหุ้นส่วน
แต่พอมาคุยกับแม่ ซึ่งมันเปลี่ยนแผนไปหมดเลยค่ะ
ขอเพิ่มเติม เราอาจจะพิมไม่ชัดเจนเอง เราจะทำคลินิกทันตกรรมกับเพื่อนค่ะ โดยทำสัญญาจ้าง
เราเป็นนายจ้างแล้วจ้างเพื่อนทำงานเป็นเดือนๆ โดยที่เราก็ทำด้วย ไม่ได้จ้างเพื่อนทำอย่างเดียว
แต่เพราะงานที่ทำงานหลักก็รัดตัว ถ้าจ้างคนมาช่วยทำ คิดว่าคงทำได้ดีขึ้น
อาคารพาณิชตรงนั้น ข้างล่างที่เราจะขอเช่า ทำสัญญากับแม่ ปัจจุบันไม่ได้ทำอะไร ปล่อยไว้เฉยๆ ใช้แต่ทำครัวข้างหลัง
นอกนั้น คุณแม่อยู่ข้างบนตลอดค่ะ
แม่ไม่ยอมให้เราทำธุรกิจร่วมกับเพื่อน ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าไม่ไว้ใจเพื่อนเราคนนั้น
และบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ใช้ อาคารที่เราจะขอเช่า แม่อ้างว่าตอนนี้เป็นของแม่ เราไม่มีสิทธิ และแม่จะจัดการยังไงก็เป็นเรื่องของแม่
เราก็บอกว่าจะขอทำเป็นสัญญา ลายลักษณ์อักษร ชัดเจน ว่าจะต้องคืนเดือนละกี่บาท
แม่ก็วกกลับไป เรื่องที่ไม่ไว้ใจเพื่อนเราเหมือนเดิมค่ะ
บางครั้งก็บอกเหตุผลว่า ของในบ้านเค้าเยอะ และยังไม่มีเวลาจัดเก็บของ
พอเราช่วยจัดของเค้าก็โกรธ หาว่าเราไปยุ่งของของเค้า
พอจะจัดเอง เค้าก็บอกว่าเหนื่อย
ตอนนี้ที่ให้เหตผลเพิ่มเติมว่า น้องกำลังทำเรื่องย้ายกลับมาทำงานที่แถวบ้าน และน้องจะทำยังไง ถ้าอยากเปิดกิจการตรงนี้
ซึ่งเรื่องนี้เราเคยเล่าให้น้องฟังแล้วนะคะ ว่าเราจะขอใช้ที่ตรงนี้ ไม่ได้ขอเปล่า ขอเช่า ให้ทำเป็นสัญญาด้วย น้องก็ไม่ได้ติดขัดอะไร
ทางแก้ปัญหาตอนนี้ที่เราคิดได้ คือ โดยการหาที่เช่าใหม่ ซึ่งเราก็คิดไว้แล้ว ว่าถ้าจะกู้ธนาคารก็ต้องกู้ เราไม่มีปัญหา
ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมายังหาอาคารพานิชใหม่ ไม่ได้เลยค่ะ ที่ทำเลดี และ ราคาเหมาะสม
ที่ตจว มันหายากมากจริงๆ
เราก็อยากเริ่มทำร้านใหม่ หาเงินเพิ่ม เพราะเรา มีค่าใช้จ่ายเยอะ เราต้องใช้กับแม่ทุกๆเดือน และเราอยากเตรียมเงินสำรองไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน
แม่ใช้เงินทำบุญด้วย ค่อนข้างเยอะ เราก็ไม่กล้าว่า
บางทีเราก็น้อยใจนะคะ ว่าทำไมเค้าไม่เข้าใจเราบ้าง
อย่างล่าสุด เราไปช่วยเค้าตัดสินใจเรื่องเงินฝาก ดอกเบี้ยธนาคารอีกแห่ง เราไม่ได้จะไปเอาเงินเค้าเลย
เค้าก็มาต่อว่าเรา ว่าอยากไปได้เงินของเค้า หรือที่เราทำดีด้วยตอนนี้เพราะอยากได้มรดก
เพิ่มเติมว่าความสัมพันธ์เรากับแม่ ไม่ค่อยดีมานานแล้วค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่มาก
ปกติเราสนิทกับพ่อ ส่วนน้องสนิทกับแม่
ตอนนี้ท้อใจมากๆ จะคุยเรื่องนี้กับแม่ทีไร ก็ต้องทะเลาะกันตลอด
งานหลักเราก็ทำงานทุกวัน เหนื่อยมากๆ วันหยุดบางทีก็ต้องทำงานเพิ่ม
โชคดีที่บ้านเราไม่ได้มีหนี้สินอะไรค่ะ
มีใครเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหมคะ แล้วแก้ปัญหายังไง
ตอนนี้อยากขอกำลังใจ หรือแนวทางการจัดการเพิ่มเติมค่ะ
เพิ่มเติมว่า แม่เราไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ใช้เงินเกษียรของพ่อมาตลอด
ขอบคุณค่ะ
ต้องเป็นเสาหลักของบ้าน อยากหาเงินเพิ่ม แต่คนที่บ้านไม่เข้าใจ
ปัญหาที่จะมาขอคำปรึกษา มีอยู่ว่า ช่วงปีก่อน คุณพ่อเราเสียค่ะ หลังจากหลายเดือนผ่านไป ครอบครัวเราก็ค่อยๆ ทำใจได้
และเริ่มจัดการมรดก
เรามีน้องสาวอีก 1 คน ทำงาน อยู่ที่กทม ค่ะ
และแม่ อายุ 66 ปี
ก่อนหน้านี้พ่อเป็นข้าราชการบำนาญ + ธุรกิจส่วนตัว สมัยทำงาน ก็เป็นคนหาเงินหลักของบ้าน แม่ทำธุรกิจบ้าง แต่แม่เป็นคนเก็บเงินของพ่อทั้งหมดค่ะ
พ่อยังมีบำนาญ ทำให้เราสองพี่น้อง ไม่ได้เคร่ง ในการส่งเงินให้พ่อแม่มากนัก
พอหลังจากพ่อเราเสีย
เรา น้อง แม่ ได้ผลประโยชน์จากประกันชีวิต ตามที่พ่อระบุในประกันชีวิตค่ะ + ค่าฉาปณกิจ
แต่นอกนั้น บัญชีของพ่อ ที่ดิน อาคารพานิช แม่เราให้โอนเป็นของแม่ทั้งหมด หลายบัญชี บัญชีละ เป็นเงิน 8 หลัก โดยแม่ไปแจ้งกับธนาคาร และยื่นเรื่องเป็นผู้จัดการมรดกกับศาล ซึ่งเราพี่น้องก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เข้าใจว่า พ่อแม่เค้าเก็บมาด้วยกัน
โดยแม่มีมรดกจาก ทางบ้านเดิมอยู่แล้วค่ะ และเค้าทำธุรกิจด้วย
น้องเรายังทำงานที่กทม แม่ให้น้องโอนให้แม่ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท
ซึ่งน้องเราไม่ได้เงินเดือนเยอะนะคะ เดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท ไม่รวมค่าหอพัก เป็นสวัสดิการการทำงานค่ะ
แต่เราไม่กล้าไปก้าวก่ายตรงนั้น ที่แม่เค้าขอจากน้อง
แต่สรุปที่เราเห็นมา 1 ปี คือแม่เค้าเอาเงินที่น้องให้มาเก็บ ไปซื้อสลากออมสินให้น้องแทน
นอกนั้น ค่ากินอยู่ ค่าซื้อของในบ้าน ค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง ค่าทำไร่สวน ค่าจ่ายอาคารราชพัสดุ เราเป็นคนจ่ายค่ะ
ค่าใช้จ่ายเวลาเดินทางไปตจว หรือไปกทม ของแม่ เราก็เป็นคนจ่าย
แม่เคยบอกให้เราเอาเงินให้แม่เหมือนกันกับน้อง และทำให้เราทะเลาะกันไปหลายครั้ง เนื่องจากเราเองก็ไม่ได้เงินเดือนมาก ประมาน 4 หมื่น
เราแทบไม่เหลือเงินเก็บเลยในแต่ละเดือน
ก่อนหน้าที่พ่อจะเสีย เราเคยจะขอเช่า ให้ทำเป็นสัญญาเงินกู้ชัดเจน ตรงอาคารห้องแถวของพ่อ ที่แม่พักอยู่ตอนนี้
มาทำธุรกิจขายของเพิ่มจากงานหลัก แต่พ่อเรามาเสียก่อนค่ะ ทุกอย่างเลยชะงัก
พอมาถึงตอนนี้ เราเลยอยากหารายได้เพิ่ม เพราะรายจ่ายเราเพิ่มขึ้นมาก
เลยนึกถึงการเปิดร้าน ตรงห้องแถวกลางเมืองที่เคยคุยไว้กับพ่อ
เราจะทำสัญญาร่วมหุ้นกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเราเป็นเพื่อนกันมานาน และเค้าเป็นคนทำงานเก่งค่ะ โดยจะเปิดร้านร่วมกัน ทำเป็นหุ้นส่วน
แต่พอมาคุยกับแม่ ซึ่งมันเปลี่ยนแผนไปหมดเลยค่ะ
ขอเพิ่มเติม เราอาจจะพิมไม่ชัดเจนเอง เราจะทำคลินิกทันตกรรมกับเพื่อนค่ะ โดยทำสัญญาจ้าง
เราเป็นนายจ้างแล้วจ้างเพื่อนทำงานเป็นเดือนๆ โดยที่เราก็ทำด้วย ไม่ได้จ้างเพื่อนทำอย่างเดียว
แต่เพราะงานที่ทำงานหลักก็รัดตัว ถ้าจ้างคนมาช่วยทำ คิดว่าคงทำได้ดีขึ้น
อาคารพาณิชตรงนั้น ข้างล่างที่เราจะขอเช่า ทำสัญญากับแม่ ปัจจุบันไม่ได้ทำอะไร ปล่อยไว้เฉยๆ ใช้แต่ทำครัวข้างหลัง
นอกนั้น คุณแม่อยู่ข้างบนตลอดค่ะ
แม่ไม่ยอมให้เราทำธุรกิจร่วมกับเพื่อน ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าไม่ไว้ใจเพื่อนเราคนนั้น
และบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ใช้ อาคารที่เราจะขอเช่า แม่อ้างว่าตอนนี้เป็นของแม่ เราไม่มีสิทธิ และแม่จะจัดการยังไงก็เป็นเรื่องของแม่
เราก็บอกว่าจะขอทำเป็นสัญญา ลายลักษณ์อักษร ชัดเจน ว่าจะต้องคืนเดือนละกี่บาท
แม่ก็วกกลับไป เรื่องที่ไม่ไว้ใจเพื่อนเราเหมือนเดิมค่ะ
บางครั้งก็บอกเหตุผลว่า ของในบ้านเค้าเยอะ และยังไม่มีเวลาจัดเก็บของ
พอเราช่วยจัดของเค้าก็โกรธ หาว่าเราไปยุ่งของของเค้า
พอจะจัดเอง เค้าก็บอกว่าเหนื่อย
ตอนนี้ที่ให้เหตผลเพิ่มเติมว่า น้องกำลังทำเรื่องย้ายกลับมาทำงานที่แถวบ้าน และน้องจะทำยังไง ถ้าอยากเปิดกิจการตรงนี้
ซึ่งเรื่องนี้เราเคยเล่าให้น้องฟังแล้วนะคะ ว่าเราจะขอใช้ที่ตรงนี้ ไม่ได้ขอเปล่า ขอเช่า ให้ทำเป็นสัญญาด้วย น้องก็ไม่ได้ติดขัดอะไร
ทางแก้ปัญหาตอนนี้ที่เราคิดได้ คือ โดยการหาที่เช่าใหม่ ซึ่งเราก็คิดไว้แล้ว ว่าถ้าจะกู้ธนาคารก็ต้องกู้ เราไม่มีปัญหา
ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมายังหาอาคารพานิชใหม่ ไม่ได้เลยค่ะ ที่ทำเลดี และ ราคาเหมาะสม
ที่ตจว มันหายากมากจริงๆ
เราก็อยากเริ่มทำร้านใหม่ หาเงินเพิ่ม เพราะเรา มีค่าใช้จ่ายเยอะ เราต้องใช้กับแม่ทุกๆเดือน และเราอยากเตรียมเงินสำรองไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน
แม่ใช้เงินทำบุญด้วย ค่อนข้างเยอะ เราก็ไม่กล้าว่า
บางทีเราก็น้อยใจนะคะ ว่าทำไมเค้าไม่เข้าใจเราบ้าง
อย่างล่าสุด เราไปช่วยเค้าตัดสินใจเรื่องเงินฝาก ดอกเบี้ยธนาคารอีกแห่ง เราไม่ได้จะไปเอาเงินเค้าเลย
เค้าก็มาต่อว่าเรา ว่าอยากไปได้เงินของเค้า หรือที่เราทำดีด้วยตอนนี้เพราะอยากได้มรดก
เพิ่มเติมว่าความสัมพันธ์เรากับแม่ ไม่ค่อยดีมานานแล้วค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่มาก
ปกติเราสนิทกับพ่อ ส่วนน้องสนิทกับแม่
ตอนนี้ท้อใจมากๆ จะคุยเรื่องนี้กับแม่ทีไร ก็ต้องทะเลาะกันตลอด
งานหลักเราก็ทำงานทุกวัน เหนื่อยมากๆ วันหยุดบางทีก็ต้องทำงานเพิ่ม
โชคดีที่บ้านเราไม่ได้มีหนี้สินอะไรค่ะ
มีใครเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหมคะ แล้วแก้ปัญหายังไง
ตอนนี้อยากขอกำลังใจ หรือแนวทางการจัดการเพิ่มเติมค่ะ
เพิ่มเติมว่า แม่เราไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ใช้เงินเกษียรของพ่อมาตลอด
ขอบคุณค่ะ