🌷🤍🌷 นิทานชาดก ๐๓๔ (พระสุบินชาดก) : พระมหาสุบิน ๑๖ ข้อ 🌷🤍🌷

กระทู้คำถาม


          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภมหาสุบิน ๑๖ ข้อของพระเจ้าปเสนทิโกศล เรื่องมีอยู่ว่า...

          คืนวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองเมืองสาวัตถี ในเวลาใกล้รุ่งทรงพระสุบิน ๑๖ ประการ แล้วสะดุ้งตื่นจากบรรทมคิดหวาดกลัวว่าอันตรายอะไรจักเกิดมีแก่ตัวเรา จึงรับสั่งให้ พราหมณ์ปุโรหิตหลวงเข้าเฝ้าแต่เช้าตรู่ พวกพราหมณ์โหรหลวงพอได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องพระสุบินจบ ก็พากันกราบทูลว่าจักมีอันตราย ๓ อย่างเกิดขึ้น คืออันตรายแก่ราชสมบัติ๑ โรคภัยเบียดเบียน๑ อันตรายแก่ชีวิต๑ อย่างใดอย่างหนึ่ง พระองค์พอได้รับฟังยิ่งตระหนกพระทัย จึงถามหาวิธีแก้ไข พวกโหรหลวงจึงทูลว่า "ขอเดชะ พอมีทางแก้ไขอยู่นั่นคือ ต้องบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิต ๔ อย่าง พระเจ้าข้า"

          พระราชารับสั่งให้กระทำตามนั้น พวกโหรหลวงรีบพากันไปทำหลุมบูชายัญที่นอกเมือง จับฝูงสัตว์ ๔ เท้ามัดไว้ที่หลักยัญ กำลังรวมฝูงนกและสั่งทหารให้นำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาอยู่ ลำดับนั้นพระนางมัลลิกาเทวีทรงทราบเรื่องจึงรีบเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เมื่อทราบสาเหตุแล้ว จึงทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ได้ทูลถามยอดพราหมณ์ในโลกและเทวโลกแล้วหรือเพคะ?" ทรงรับสั่งว่า "ใครกันเล่า?" พระนางจึงทูลว่า "พระองค์ไม่ทรงรู้จักมหาพราหมณ์โคดมพระตถาคต ผู้สัพพัญญูดอกหรือเพคะ" พระราชาจึงได้สติ รีบเสด็จไปวัดเชตวันทันที

          พระพุทธองค์เมื่อทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงได้พยากรณ์พระสุบินเป็นข้อ ๆ ดังนี้

          ข้อที่ ๑ ที่พระสุบินเห็นวัวตัวผู้สีดอกอัญชัน ๔ ตัว วิ่งมาคนละทิศ จะชนกันที่ท้องพระลานหลวง เมื่อมหาชนชุมนุมกันดูแล้วกลับไม่ชนกัน ถอยวิ่งกลับไป นั้นคือ เหตุจักไม่มีในรัชกาลของพระองค์และจักไม่มีในศาสนาของพระตถาคต ในอนาคตเมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เหล่าประชาราษฎร์ไม่ตั้งอยู่ในธรรม กุศลกรรมลดน้อยถอยลง อกุศลกรรมหนาแน่นขึ้น เมื่อนั้นโลกคราจักเกิดฝนแล้ว ทุพภิกขภัยเมฆฝนตั้งเค้าขึ้นทิศทั้ง ๔ ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบเหมือนฝนจะตกพอชาวบ้านเก็บสิ่งของหนีฝนแล้วเท่านั้น เมฆฝนก็ไม่ตกลอยหายไป

          ข้อที่ ๒ ที่พระสุบินเห็นต้นไม้เล็ก ๆ และกอไผ่ พอแตกหน่อได้คืบหนึ่งบ้างศอกหนึ่งบ้าง แล้วก็ผลิตดอกออกผลเสียแล้ว นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จักมีอายุน้อยลง มีราคะกล้า เด็กหญิงจักมีสามีตั้งแต่เด็ก ตั้งครรภ์ มีบุตรธิดาตั้งแต่อายุยังน้อย

          ข้อที่ ๓ ที่พระสุบินเห็นแม่วัวพากันดูดกินนมลูกวัวที่เพิ่งเกิดในวันนั้น นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะพากันละทิ้งความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ (เชษฐาปจายิกธรรม)ลูกไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่หมดที่พึ่งอาศัย ต้องง้อเด็ก ๆ หาเลี้ยงชีพ

          ข้อที่ ๔ ที่พระสุบินเห็นฝูงชนไม่เทียมแอกวัวใหญ่ที่เป็นงาน กลับไปเทียมวัวหนุ่มที่ไม่เป็นงาน ต่างสลัดแอกทิ้งยืนเฉยอยู่ลากเกวียนไปไม่ได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม บัณทิตผู้มีศีลธรรมจักไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตัดสินคดี(ศาล) เป็นข้าราชการและปกครองบ้านเมือง ส่วนผู้ไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นใหญ่บริหารบ้านเมือง จักละทิ้งการงาน ความเสื่อมจักมีแก่ประเทศชาติ

          ข้อที่๕ ที่พระสุบินเห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองปาก ฝูงชนพากันให้หญ้าที่ปากสองข้างของมัน นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม คนไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นผู้ตัดสินคดี(ศาล) และจักรับเอาสินบนจากมือคู่คดีทั้งสองฝ่ายมากิน

          ข้อที่ ๖ ที่พระสุบินเห็นมหาชนขัดถูถาดทองราคาแพงแล้วนำไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่งปัสสาวะใส่ถาดทอง นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ตั้งผู้มีศีลธรรมบริหารประเทศ กลับตั้งผู้คนไม่มีสกุลแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลใหญ่จักตกยาก ตระกูลเลว ๆ จักพากันได้เป็นใหญ่ เพื่อความอยู่รอดตระกูลใหญ่จึงพากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุลเหล่านั้น

          ข้อที่ ๗ ที่พระสุบินเห็นชายคนหนึ่งนั้งฟั้นเชือกหย่อนลงไปใกล้เท้า มีแม่หมาจิ้งจอกอดโซตัวหนึ่ง นอนกัดกินเชือกนั้นอยู่ใต้ตั่งที่ชายคนนั้นนั่งอยู่โดยที่เขาไม่รู้เลย นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละในชาย ดื่มสุรา เอาแต่แต่งตัว ชอบเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ ไม่มีศีลธรรม จักพากันนำทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างยากลำบากไปซื้อสุรา คบชู้สู่ชาย ซื้อเครื่องประดับ และเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ แม้จะไม่มีข้าวกินก็ตาม

          ข้อที่ ๘ ที่พระสุบินเห็นตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ประตูวัง มีตุ่มเปล่าตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ ผู้คนนำน้ำมาจากทิศทั้ง ๔ เทใส่ตุ่มที่เต็มแล้วนั้นล้นแล้วล้นอีก ไม่มีใครสนใจตุ่มที่ว่างเลย นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ทุศีลจักปกครองบ้านเมือง เมื่อเกิดทุพภิกขภัย จักเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันนำทรัพย์เพาะปลูกมาให้เพื่อผู้ปกครองอย่างเดียว สร้างความเดือดร้อนให้ จนชาวบ้านจะไม่มีอยู่มีกิน

          ข้อที่ ๙ ที่พระสุบินเห็นสระน้ำสระหนึ่งมีดอกบัว ๕ สี น้ำลึก มีท่าขึ้นรอบด้าน ฝูงสัตว์สองเท้าสี่เท้าพากันลงดื่มกินน้ำในสระโดยรอบ น้ำอยู่กลางสระขุ่นมัว แต่น้ำที่อยู่ตรงเท้าสัตว์เหยียบย่ำ(ขอบสระ)กลับใสสะอาด นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เห็นแก่สินบน ขูดรีดภาษีชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน พวกชาวบ้านไม่สามารถจะให้อะไรได้จึงพากันหนีอพยพไปอยู่ชายแดนเสียเป็นส่วนมาก ศูนย์กลางเมืองจักว่างเปล่า ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดี

          ข้อที่ ๑๐ ที่พระสุบินเห็นข้าวสุกที่หุงในหม้อเดียวกันแต่สุกไม่เท่ากัน มีทั้งแฉะ ดิบ และสุกพอดี คือ อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ชาวโลกไม่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม ฝนจักไม่ตกตามฤดูกาลและตกอย่างไม่ทั่วถึงแม้กระทั่งในสระเดียวกัน ข้าวกล้าที่หว่านในนาไร่เดียวกันก็จะมีผลเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน มีทั้งตายแล้ง น้ำท่วม และได้เก็บเกี่ยวพอดี

          ข้อที่ ๑๑ ที่พระสุบินเห็นผู้คนเอาแก่นจันทร์ที่มีราคาแพงขายแลกกับเปรียงเน่า(นมส้ม) นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม พวกนักบวชอลัชชีจักมีมากและแสดงธรรมเพื่อหวังปัจจัยลาภสักการะเท่านั้น มิได้แสดงธรรมตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีค่าควรแก่พระนิพพาน ประชาชนก็ไม่ใส่ใจพระธรรมแท้ ชื่นชมวาทศิลป์ แล้วมอบสักการะต่าง ๆ ให้แก่พวกอลัชชี

          ข้อที่ ๑๒ ที่พระสุบินเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม คำพูดของผู้ทุศีลจะเป็นคำพูดที่สังคมยอมรับ ผู้คนจะเชื่อถือ แม้แต่ในที่ประชุมสงฆ์ ผู้ทุศีลจะเป็นผู้ชนะอธิกรณ์ พูดสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกได้

          ข้อที่ ๑๓ ที่พระสุบินเห็นก้อนหินแท่งทึบใหญ่ขนาดเท่าเรือนลอยน้ำได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมแล้ว คำพูดของผู้มีปัญญาและพระผู้มีศีลจะไม่เป็นที่ยอมรับเชื่อถือในสังคม

          ข้อที่ ๑๔ ที่พระสุบินเห็นฝูงเขียดตัวเล็ก ๆ วิ่งไล่ทำร้ายงูเห่าตัวใหญ่ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสราคะ บุรุษเพศจักตกอยู่ภายใต้อำนาจของสตรีเพศ สามีจักอยู่ในอำนาจของภรรยา ภรรยาจะกดสามีไว้ดั่งทาสและคนรับใช้

          ข้อที่ ๑๕ ที่พระสุบินเห็นฝูงพญาหงส์ทองแวดล้อมกาเที่ยวหากินตามบ้าน นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองจักไม่ฉลาดในศิลปะและเก่งกล้าในการรบ จักมอบความเป็นใหญ่ให้แก่ผู้ที่ใกล้ชิด เช่นช่างตัดผม เป็นต้น ไม่เหลียวแลสกุลสูง ๆ สกุลเหล่านั้นจึงต้องหันหน้าไปคบค้าสมาคมกับพวกช่างตัดผมเหล่านั้นเหมือนหงส์ทองแวดล้อมกา

          ข้อที่ ๑๖ ที่พระสุบินเห็นฝูงแกะพากันไล่กัดกินฝูงเสือเหลือง เสือดาว เสืออื่น ๆ เสือโคร่งเห็นเช่นนั้นต่างวิ่งหนีจ้าละหวั่นหลบเข้าไปพุ่มไม้และป่ารกไป นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม คบค้าสมาคมกับผู้ไม่มีสกุล ผู้มีสกุลสูงจึงพากันยอมให้ที่ของตนแล้วหลบหนีเข้าบ้านนอนผวาไปตาม ๆ กันเพราะเกรงกลัวต่ออำนาจกดขี่ข่มเหง พวกภิกษุผู้ทุศีลจะเบียดเบียนภิกษุผู้มีศีล ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่มีที่อยู่ก็จะเข้าป่าไป

          เมื่อพยากรณ์พระสุบินให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบถึงความไม่มีภัยอันตรายใด ๆ แล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสอดีตนิทานมาสาธกทำนองเดียวกัน และตรัสให้ยกเลิกการบูชายัญ พระราชทานชีวิตแก่สรรพสัตว์ทุกตัวเสีย พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้รับสั่งให้กระทำตามนั้น


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีศีลธรรมย่อมแนะนำทางที่ถูกต้องเสมอ

( ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt34.php )

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่