Chalun Ch
นาฬิกาเข็มสั้นหยุดนิ่งตรงตำแหน่งเลขสิบสอง เข็มยาวหยุดตรงตำแหน่งเลขสิบสอง เสียงเพลงอัตโนมัติดังขึ้นจากตัวนาฬิการูปกีตาร์ที่ติดอยู่ตรงผนังห้องของออฟฟิศ เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกคนวางภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ลง ช่วงบ่ายค่อยมาสู้รบกันใหม่ อย่างที่สุภาษิตที่ไหนบอกเอาไว้ไม่รู้ว่า 'กองทัพต้องเดินด้วยท้อง' นั่นแหละ
ยามเที่ยงตรงในเดือนมีนาคมอากาศข้างนอกแทบจะเผาคนที่ออกไปท้าทายกับมันให้แหลกเป็นจุล ทว่าถึงจะร้อนแทบไหม้แค่ไหน เหล่าบรรดามนุษย์เงินเดือนก็ต้องออกไปหาอะไรทาน เพราะถึงเวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว ใครเล่าจะทนหิวโหย ถึงเวลากินก็ต้องกิน ไม่หิวก็ต้องกิน เพราะฉะนั้น ไม่เพียงแค่แดดร้อน ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ทุกคนต้องไปหาอะไรกินตามพฤติกรรมที่เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดเลอดาวก็เช่นกัน เธอทำหน้าม่อยให้กับอากาศข้างนอก มันคนละโลกกันเลยกับในออฟฟิศ
เลอดาวเดินออกมาจากสำนักงาน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับถนนเบื้องหน้า แสงแดดที่ตกกระทบมายังผิวถนนทำให้เห็นเป็นไอสั่นระริกอยู่กลางอากาศ ไม่ต้องสัมผัสก็รับรู้ด้วยสายตาว่ามันจะร้อนขนาดไหน ทั้งรถที่สัญจรไปมามากมายไม่ขาดสาย ผู้คนที่เดินขวักไขว่ พระอาทิตย์มันจะทำงานคุ้มเกินคุ้มให้กับโลกมนุษย์อะไรนักหนา บางทีก็อยากตะโกนถามว่าเอาน้ำแข็งใสไหม จะได้หายร้อน อะไรจะขนาดนั้นเลอดาวนึกอย่างตลกร้อน มันร้อนเธอเลยนึกแบบตลก ๆ เพราะเธอต้องออกไปเผชิญกับไอร้อนระอุนั่นเอง
เพียงแค่สัมผัสไอร้อนที่มันแผ่ขยายเข้ามาในที่ร่มยังร้อนขนาดนี้ ถ้าเกิดเดินออกไปกลางแจ้งสัมผัสโดยตรงจะร้อนขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ต้องออกไป เป้าหมายคือรถก๋วยเตี๋ยวป็อก ๆ ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามสำนักงานของเธอ จะต้องรีบไปให้ถึงโดยไว เพราะมันอากาศร้อนมาก ขืนใช้เวลานานโอ้เอ้ รับรองเธอต้องถูกเผาไหม้ไปทั้งตัวแน่ ๆ พอสูดลมหายใจลึกเต็มปอดแล้ว เลอดาวก็ก้าวเท้าออกจากสำนักงาน เดินไปยังทางม้าลายเพื่อจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก๋วยเตี๋ยวป็อก ๆ รออยู่
เลอดาวแทบอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ เมื่อผิวกายกระทบกับแสงแดดที่ร้อนแรง มันแผดเผาใบหน้าแขนขาของเธอไปหมดแล้ว แม้จะใส่ผ้าปิดจมูกก็ตาม ทว่าส่วนไหนของร่างกายที่ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์คลุมไว้นั่นแหละ มันโดนรังสีอัลตราไวโอเลตเต็ม ๆ เลอดาวยืนรอข้ามถนนตรงบริเวณทางม้าลายอย่างร้อน ๆ คันแล้วคนเล่าก็ไม่คิดจะจอดให้ แถมยังต่อกันมาเป็นสายยาว ๆ อีก
'รถมันมาจากไหนกันนะ' ทีตอนเธอยังไม่ข้ามถนนไม่เห็นจะมีรถ ทีพอเธอจะข้ามถนนไม่รู้รถวิ่งมาจากไหนกัน มันหงุดหงิดสุด ๆ เลอดาวนึกอย่างหัวเสีย แต่สุดท้ายก็มีพระเอกขี่ม้าขาวโผล่มาจนได้ เมื่อมีรถที่วิ่งมาจอดให้เธอข้ามถนนไป เลอดาวไม่ลืมขอบคุณ ผงกศีรษะให้เจ้าของรถคันนั้นเล็กน้อยแล้วจึงเดินข้ามทางม้าลายไป
พอข้ามมายังอีกฝั่งได้แล้วเธอไม่รีรอรีบเดินจ้ำอ้าวไปยังรถก๋วยเตี๋ยวคันนั้น ซึ่งเธอเป็นลูกค้าขาประจำ แค่พ่อค้าเห็นหน้าของเธอก็รู้ว่าเธอจะสั่งอะไร
"ลุง เส้นเล็กพิเศษหนังหมูค่ะ" เลอดาวยืนสั่ง
"เค..." พ่อค้าว่า พร้อมทำก๋วยเตี๋ยวให้เธออย่างชำนาญ พ่อค้ากับเธอเป็นคนบ้านเดียวกัน จึงไม่ใช้ภาษากลางคุยกัน มีลูกค้าวัยรุ่นคนหนึ่งเดินมาสั่งก๋วยเตี๋ยวไว้เดี๋ยวจะมาเอา จากนั้นก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปไหนไม่รู้ เลอดาวมองตามแล้วก็อมยิ้มให้ชายคนนั้น เพราะวัยรุ่นคนนั้นอ้วนตุ้ยนุ้ยมาก
"บักอันนี้มันอ้วนมาตะเกิดพุ่นเด้" พอพ่อค้าเห็นเธออมยิ้มออกจะเกือบเป็นหัวเราะเขาก็เล่าให้ฟัง
"เอ้าบ่ ลุงคือฮู้" เลอดาวสนทนาด้วยอย่างสนใจ
"ฮู้นั้นตั้ว ลูกข่อยแหมะ ฮ่า อ้วนคักอ้วนแน เกิดมากะอ้วนโลดบักห่าหนิ" พ่อค้าพูดทั้งหัวเราะ เธอก็หัวเราะตามไปด้วยและนึกโกรธตัวเองที่เสียมารยาทที่ไปหัวเราะเด็กคนนั้น ดีที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ระหว่างที่เลอดาวกำลังยืนซื้อก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้น คนขับวินคนหนึ่งก็มองเธอแบบไม่ละสายตา เป็นชายสูงอายุแต่ก็ยังมิวายมีตาสับปะรด ชอบมองเธอเป็นกิจวัตรประจำวัน เลอดาวไม่ได้คิดไปเอง เพราะมีหลายครั้งเหลือเกินที่ชายคนนั้นมองจนเธอเหลืออด แต่ก็ไม่ได้อะไร เขาไม่เคยเป็นอันตรายนอกจากสายตาที่ชอบมองก็เท่านั้น
ระหว่างนั้นก็มีรถกระบะไม่รู้มาจากไหน ขับผ่านมาทางที่เลอดาวกำลังยืนซื้อก๋วยเตี๋ยวพอดี เฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์ของใครไม่รู้ที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อเสียงดังโครม คนขับวินจึงรีบวิ่งไปดูอย่างเร็ว เขาเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่งในละแวกนี้ เพราะเขาก็เคยช่วยเหลือเลอดาวมาบ้างในการช่วยโบกรถให้ข้ามถนน
แต่ความดีแค่นี้มันทดแทนการยอมให้มองไม่ได้หรอก เธอไม่ชอบ!
รถกระบะคันดังกล่าวไร้น้ำใจในการที่จะลงมาดู พอเฉี่ยวรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ล้มแล้วไม่ยอมจอดลงมาดูสักนิด ว่าตนเองได้ทำทรัพย์สินของคนอื่นเสียหายขนาดไหน กลับเหยียบคันเร่งให้มิดวิ่งฉิวไปจนลับตา ควันดำพุ่งกระฉูดไปทั่วท้องถนน เลอดาวมองตามหลังจนสุดสายตา มือปิดจมูกทั้ง ๆ ใส่ผ้าปิดจมูกเอาไว้แล้ว 'พวกเศษสวะสังคม' เธอนึกอย่างเอาเรื่อง
"ห่าเอ้ย! ชนรถมอเตอร์ไซค์คนอื่นล้มแล้วก็ไม่คิดจะลงมายกขึ้นให้เขา แสดงน้ำใจสักนิดก็ไม่มี" คนขับวินพูดอย่างฉุนจัด ผู้คนแถวนั้นหันมามองเพราะเสียงของเขาที่พูดดังลั่น คนขับวินยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นตั้งเหมือนเดิม หันมามองเลอดาวพร้อมอมยิ้มทำท่าขวยเขิน คนถูกมองทั้งชมและด่า ชมที่เขามีน้ำใจเช่นทุกครั้งที่เธอเคยเห็นและได้รับ ส่วนด่าที่มองแล้วยิ้มให้ทำไม... พิศวาสมากมั้ง! คนได้รับยิ้มค่อนขอด
เหตุการณ์อลหม่านเมื่อครู่ผ่านไป ชายขับวินก้มหน้าอมยิ้มเดินดุ่ม ๆ ผ่านเลอดาวไปอย่างเท่ ๆ แม้อายุจะราว ๆ เลขห้าแล้วก็ตาม ทำเป็นวัยรุ่นแอบปลื้มสาวไปได้ ส่วนเธอนิ่งไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนอง ยืนปรุงก๋วยเตี๋ยวเงียบ ๆ ไม่สนใจ
ชายขับวินเดินผ่านเลอดาวไปยังซุ้มวินของตน เขากำลังหย่อนก้นลงไปนั่งม้านั่ง ทว่าไม่รู้ว่าหย่อนก้นลงไปท่าไหน คนขับวินนั่งพลาดหงายหลังขาชี้ฟ้าลงไปกองกับพื้นดังอัก ก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมาแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกับพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเต็มสองตาเข้าพอดี ทั้งสองหัวเราะอึกอัก ไม่กล้าหัวเราะเสียงดังโจ่งแจ้ง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ขำตัวงอแทบตาย
แต่ว่าพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวสุดจะทานทนหัวเราะออกมาเต็มเสียง เลอดาวเองหัวเราะเก็บอาการไว้สุดกำลัง เมื่อปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วจ่ายตังค์เสร็จเลอดาวก็กลับมายังออฟฟิศของตนเพื่อทานข้าวเที่ยง
ระหว่างทานก๋วยเตี๋ยวเธอนึกถึงคนขับวินคนนั้น ทานไปหัวเราะไป ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งขำหนักเข้าไปอีก สุดท้ายก็หัวเราะเสียงดังออกมาดื้อ ๆ คนเดียว
"อะไรวะ เพี้ยนหรือเปล่าแก อยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาคนเดียว" เพื่อนของเธอถาม เพราะจู่ ๆ เธอก็ขำพรืดออกมา
"คือเมื่อตอนที่ดาวข้ามถนนไปซื้อก๋วยเตี๋ยวใช่มั้ย ไอ้คนขับวินเว้ย คนนั้นน่ะที่มันชอบทำตัวเป็นภาชนะใช้แกงต้มกับดาวน่ะ...."
"อ่อ.. ฮ่า!!!"
เลอดาวเล่าถึงเหตุการณ์นั้นทั้งขำทั้งเล่า กลายเป็นว่าเพื่อนของเธอขำหนักกว่าเธออีก แทบไม่ได้ทานข้าวกันเพราะเอาแต่หัวเราะกับเรื่องนั้น
พอถึงตอนบ่าย เลอดาวก็ยังนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว เพราะดันนึกถึงแต่เรื่องเมื่อตอนเที่ยง ทำงานแทบไม่ได้ นั่งหัวเราะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนเดียว
"ใครก็ได้พาเลอดาวไปรักษาที ท่าจะหนักแล้วอาการ นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว" ผู้จัดการแผนกเดินผ่านมาพอดีจึงทักเธอ เหล่ตามองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าว่าทำงานหรือทำอะไรอยู่
"เปล่า ๆ ค่ะ เสร็จแล้วค่ะพี่" เลอดาวตั้งสติ ยื่นเอกสารให้ผู้จัดการแผนกทั้งยังหัวเราะเป็นวรรคเป็นเวรไม่หยุด เมื่อผู้จัดการแผนกเดินจากไป เธอก็ยังหัวเราะอยู่คนเดียวแทบไม่ได้ทำงานทำการ สุดท้ายก็เลิกทำนั่งหัวเราะแทน
จบ...
เรื่องสั้น : อลม่าน
นาฬิกาเข็มสั้นหยุดนิ่งตรงตำแหน่งเลขสิบสอง เข็มยาวหยุดตรงตำแหน่งเลขสิบสอง เสียงเพลงอัตโนมัติดังขึ้นจากตัวนาฬิการูปกีตาร์ที่ติดอยู่ตรงผนังห้องของออฟฟิศ เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกคนวางภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ลง ช่วงบ่ายค่อยมาสู้รบกันใหม่ อย่างที่สุภาษิตที่ไหนบอกเอาไว้ไม่รู้ว่า 'กองทัพต้องเดินด้วยท้อง' นั่นแหละ
ยามเที่ยงตรงในเดือนมีนาคมอากาศข้างนอกแทบจะเผาคนที่ออกไปท้าทายกับมันให้แหลกเป็นจุล ทว่าถึงจะร้อนแทบไหม้แค่ไหน เหล่าบรรดามนุษย์เงินเดือนก็ต้องออกไปหาอะไรทาน เพราะถึงเวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว ใครเล่าจะทนหิวโหย ถึงเวลากินก็ต้องกิน ไม่หิวก็ต้องกิน เพราะฉะนั้น ไม่เพียงแค่แดดร้อน ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ทุกคนต้องไปหาอะไรกินตามพฤติกรรมที่เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดเลอดาวก็เช่นกัน เธอทำหน้าม่อยให้กับอากาศข้างนอก มันคนละโลกกันเลยกับในออฟฟิศ
เลอดาวเดินออกมาจากสำนักงาน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับถนนเบื้องหน้า แสงแดดที่ตกกระทบมายังผิวถนนทำให้เห็นเป็นไอสั่นระริกอยู่กลางอากาศ ไม่ต้องสัมผัสก็รับรู้ด้วยสายตาว่ามันจะร้อนขนาดไหน ทั้งรถที่สัญจรไปมามากมายไม่ขาดสาย ผู้คนที่เดินขวักไขว่ พระอาทิตย์มันจะทำงานคุ้มเกินคุ้มให้กับโลกมนุษย์อะไรนักหนา บางทีก็อยากตะโกนถามว่าเอาน้ำแข็งใสไหม จะได้หายร้อน อะไรจะขนาดนั้นเลอดาวนึกอย่างตลกร้อน มันร้อนเธอเลยนึกแบบตลก ๆ เพราะเธอต้องออกไปเผชิญกับไอร้อนระอุนั่นเอง
เพียงแค่สัมผัสไอร้อนที่มันแผ่ขยายเข้ามาในที่ร่มยังร้อนขนาดนี้ ถ้าเกิดเดินออกไปกลางแจ้งสัมผัสโดยตรงจะร้อนขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ต้องออกไป เป้าหมายคือรถก๋วยเตี๋ยวป็อก ๆ ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามสำนักงานของเธอ จะต้องรีบไปให้ถึงโดยไว เพราะมันอากาศร้อนมาก ขืนใช้เวลานานโอ้เอ้ รับรองเธอต้องถูกเผาไหม้ไปทั้งตัวแน่ ๆ พอสูดลมหายใจลึกเต็มปอดแล้ว เลอดาวก็ก้าวเท้าออกจากสำนักงาน เดินไปยังทางม้าลายเพื่อจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก๋วยเตี๋ยวป็อก ๆ รออยู่
เลอดาวแทบอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ เมื่อผิวกายกระทบกับแสงแดดที่ร้อนแรง มันแผดเผาใบหน้าแขนขาของเธอไปหมดแล้ว แม้จะใส่ผ้าปิดจมูกก็ตาม ทว่าส่วนไหนของร่างกายที่ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์คลุมไว้นั่นแหละ มันโดนรังสีอัลตราไวโอเลตเต็ม ๆ เลอดาวยืนรอข้ามถนนตรงบริเวณทางม้าลายอย่างร้อน ๆ คันแล้วคนเล่าก็ไม่คิดจะจอดให้ แถมยังต่อกันมาเป็นสายยาว ๆ อีก
'รถมันมาจากไหนกันนะ' ทีตอนเธอยังไม่ข้ามถนนไม่เห็นจะมีรถ ทีพอเธอจะข้ามถนนไม่รู้รถวิ่งมาจากไหนกัน มันหงุดหงิดสุด ๆ เลอดาวนึกอย่างหัวเสีย แต่สุดท้ายก็มีพระเอกขี่ม้าขาวโผล่มาจนได้ เมื่อมีรถที่วิ่งมาจอดให้เธอข้ามถนนไป เลอดาวไม่ลืมขอบคุณ ผงกศีรษะให้เจ้าของรถคันนั้นเล็กน้อยแล้วจึงเดินข้ามทางม้าลายไป
พอข้ามมายังอีกฝั่งได้แล้วเธอไม่รีรอรีบเดินจ้ำอ้าวไปยังรถก๋วยเตี๋ยวคันนั้น ซึ่งเธอเป็นลูกค้าขาประจำ แค่พ่อค้าเห็นหน้าของเธอก็รู้ว่าเธอจะสั่งอะไร
"ลุง เส้นเล็กพิเศษหนังหมูค่ะ" เลอดาวยืนสั่ง
"เค..." พ่อค้าว่า พร้อมทำก๋วยเตี๋ยวให้เธออย่างชำนาญ พ่อค้ากับเธอเป็นคนบ้านเดียวกัน จึงไม่ใช้ภาษากลางคุยกัน มีลูกค้าวัยรุ่นคนหนึ่งเดินมาสั่งก๋วยเตี๋ยวไว้เดี๋ยวจะมาเอา จากนั้นก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปไหนไม่รู้ เลอดาวมองตามแล้วก็อมยิ้มให้ชายคนนั้น เพราะวัยรุ่นคนนั้นอ้วนตุ้ยนุ้ยมาก
"บักอันนี้มันอ้วนมาตะเกิดพุ่นเด้" พอพ่อค้าเห็นเธออมยิ้มออกจะเกือบเป็นหัวเราะเขาก็เล่าให้ฟัง
"เอ้าบ่ ลุงคือฮู้" เลอดาวสนทนาด้วยอย่างสนใจ
"ฮู้นั้นตั้ว ลูกข่อยแหมะ ฮ่า อ้วนคักอ้วนแน เกิดมากะอ้วนโลดบักห่าหนิ" พ่อค้าพูดทั้งหัวเราะ เธอก็หัวเราะตามไปด้วยและนึกโกรธตัวเองที่เสียมารยาทที่ไปหัวเราะเด็กคนนั้น ดีที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ระหว่างที่เลอดาวกำลังยืนซื้อก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้น คนขับวินคนหนึ่งก็มองเธอแบบไม่ละสายตา เป็นชายสูงอายุแต่ก็ยังมิวายมีตาสับปะรด ชอบมองเธอเป็นกิจวัตรประจำวัน เลอดาวไม่ได้คิดไปเอง เพราะมีหลายครั้งเหลือเกินที่ชายคนนั้นมองจนเธอเหลืออด แต่ก็ไม่ได้อะไร เขาไม่เคยเป็นอันตรายนอกจากสายตาที่ชอบมองก็เท่านั้น
ระหว่างนั้นก็มีรถกระบะไม่รู้มาจากไหน ขับผ่านมาทางที่เลอดาวกำลังยืนซื้อก๋วยเตี๋ยวพอดี เฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์ของใครไม่รู้ที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อเสียงดังโครม คนขับวินจึงรีบวิ่งไปดูอย่างเร็ว เขาเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่งในละแวกนี้ เพราะเขาก็เคยช่วยเหลือเลอดาวมาบ้างในการช่วยโบกรถให้ข้ามถนน
แต่ความดีแค่นี้มันทดแทนการยอมให้มองไม่ได้หรอก เธอไม่ชอบ!
รถกระบะคันดังกล่าวไร้น้ำใจในการที่จะลงมาดู พอเฉี่ยวรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ล้มแล้วไม่ยอมจอดลงมาดูสักนิด ว่าตนเองได้ทำทรัพย์สินของคนอื่นเสียหายขนาดไหน กลับเหยียบคันเร่งให้มิดวิ่งฉิวไปจนลับตา ควันดำพุ่งกระฉูดไปทั่วท้องถนน เลอดาวมองตามหลังจนสุดสายตา มือปิดจมูกทั้ง ๆ ใส่ผ้าปิดจมูกเอาไว้แล้ว 'พวกเศษสวะสังคม' เธอนึกอย่างเอาเรื่อง
"ห่าเอ้ย! ชนรถมอเตอร์ไซค์คนอื่นล้มแล้วก็ไม่คิดจะลงมายกขึ้นให้เขา แสดงน้ำใจสักนิดก็ไม่มี" คนขับวินพูดอย่างฉุนจัด ผู้คนแถวนั้นหันมามองเพราะเสียงของเขาที่พูดดังลั่น คนขับวินยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นตั้งเหมือนเดิม หันมามองเลอดาวพร้อมอมยิ้มทำท่าขวยเขิน คนถูกมองทั้งชมและด่า ชมที่เขามีน้ำใจเช่นทุกครั้งที่เธอเคยเห็นและได้รับ ส่วนด่าที่มองแล้วยิ้มให้ทำไม... พิศวาสมากมั้ง! คนได้รับยิ้มค่อนขอด
เหตุการณ์อลหม่านเมื่อครู่ผ่านไป ชายขับวินก้มหน้าอมยิ้มเดินดุ่ม ๆ ผ่านเลอดาวไปอย่างเท่ ๆ แม้อายุจะราว ๆ เลขห้าแล้วก็ตาม ทำเป็นวัยรุ่นแอบปลื้มสาวไปได้ ส่วนเธอนิ่งไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนอง ยืนปรุงก๋วยเตี๋ยวเงียบ ๆ ไม่สนใจ
ชายขับวินเดินผ่านเลอดาวไปยังซุ้มวินของตน เขากำลังหย่อนก้นลงไปนั่งม้านั่ง ทว่าไม่รู้ว่าหย่อนก้นลงไปท่าไหน คนขับวินนั่งพลาดหงายหลังขาชี้ฟ้าลงไปกองกับพื้นดังอัก ก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมาแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกับพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเต็มสองตาเข้าพอดี ทั้งสองหัวเราะอึกอัก ไม่กล้าหัวเราะเสียงดังโจ่งแจ้ง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ขำตัวงอแทบตาย
แต่ว่าพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวสุดจะทานทนหัวเราะออกมาเต็มเสียง เลอดาวเองหัวเราะเก็บอาการไว้สุดกำลัง เมื่อปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วจ่ายตังค์เสร็จเลอดาวก็กลับมายังออฟฟิศของตนเพื่อทานข้าวเที่ยง
ระหว่างทานก๋วยเตี๋ยวเธอนึกถึงคนขับวินคนนั้น ทานไปหัวเราะไป ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งขำหนักเข้าไปอีก สุดท้ายก็หัวเราะเสียงดังออกมาดื้อ ๆ คนเดียว
"อะไรวะ เพี้ยนหรือเปล่าแก อยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาคนเดียว" เพื่อนของเธอถาม เพราะจู่ ๆ เธอก็ขำพรืดออกมา
"คือเมื่อตอนที่ดาวข้ามถนนไปซื้อก๋วยเตี๋ยวใช่มั้ย ไอ้คนขับวินเว้ย คนนั้นน่ะที่มันชอบทำตัวเป็นภาชนะใช้แกงต้มกับดาวน่ะ...."
"อ่อ.. ฮ่า!!!"
เลอดาวเล่าถึงเหตุการณ์นั้นทั้งขำทั้งเล่า กลายเป็นว่าเพื่อนของเธอขำหนักกว่าเธออีก แทบไม่ได้ทานข้าวกันเพราะเอาแต่หัวเราะกับเรื่องนั้น
พอถึงตอนบ่าย เลอดาวก็ยังนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว เพราะดันนึกถึงแต่เรื่องเมื่อตอนเที่ยง ทำงานแทบไม่ได้ นั่งหัวเราะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนเดียว
"ใครก็ได้พาเลอดาวไปรักษาที ท่าจะหนักแล้วอาการ นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว" ผู้จัดการแผนกเดินผ่านมาพอดีจึงทักเธอ เหล่ตามองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าว่าทำงานหรือทำอะไรอยู่
"เปล่า ๆ ค่ะ เสร็จแล้วค่ะพี่" เลอดาวตั้งสติ ยื่นเอกสารให้ผู้จัดการแผนกทั้งยังหัวเราะเป็นวรรคเป็นเวรไม่หยุด เมื่อผู้จัดการแผนกเดินจากไป เธอก็ยังหัวเราะอยู่คนเดียวแทบไม่ได้ทำงานทำการ สุดท้ายก็เลิกทำนั่งหัวเราะแทน
จบ...