ปฐพีเดือด ตอนที่4.

กระทู้สนทนา
โดย : ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

ตอนที่4.  ผู้กองทะนงทรยศ
เสียงหมู่นกน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ทำรังจับคอนอยู่ตามต้นไม้ส่งเสียงรับแสงของอรุณรุ่ง   ทิวาวารคืบคลานเข้ามาพร้อมอากาศสดใส  หากเป็นการท่องเที่ยวทั่วไปทหารนับร้อยคงคิดเช่นนั้น  ทว่า...ตลอดเวลากระทั่งบัดนี้  หลังจากผู้กองทะนงบอกว่าให้นำกำลังขึ้นไปเก็บศพทหารบนเขา  ตรวจนับจำนวนให้ครบถ้วนก็เพิ่งจะได้พักผ่อนหย่อนขากัน

หนึ่งในพลทหารที่รอดตายจากการบุกเข้าโจมตีแล้วแตกพ่ายเมื่อคืนที่ผ่านมา  เฝ้าถามแต่ว่ากลุ่มทหารที่นำทางพวกตนไปไหนแล้ว  ซ้ำยังบอกอีกว่าค่อนข้างคุ้นหน้าหนึ่งในนั้น จำได้ว่าเป็นกองร้อยก่อนหน้าที่รายงานถูกส่งไปทั่วว่าเสียชีวิตทั้งกองร้อย  ฉะนั้น  ตนเองจึงอยากพบหน้า  อยากขอบคุณ  และหวังอย่างยิ่งว่าข่าวกรองจะมีการผิดพลาด  ทหารนายนั้นและเพื่อนสนิทของตนซึ่งอยู่ด้วยกันจะยังรอดอยู่  

แต่ไม่ว่าจะเที่ยวถามใครหรือดูตามกระโจมของแพทย์ทหารก็หาได้พบไม่  ที่สุดท้ายซึ่งเลือกจะมองข้ามคือกระโจมเปิดอันเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของเหล่าทหารหาญซึ่งตนมองข้าม  จะถูกดึงกลับเข้ามาในตัวเลือก  และนั่นเองจึงได้พบความจริง  

ใบหน้าซีดขาวนิ่งสนิทไร้อารมณ์ปราศจากวิญญาณของทหารที่ตนจำได้  และร่างไร้วิญญาณที่เหลือเพียงครึ่งบนของเพื่อนสนิทที่นอนเหยียดข้างกัน  นั่นช่วยยืนยันได้แล้วว่า  พวกเขาตายแล้ว  กองร้อยก่อนหน้าบุกและถูกถล่มจนตายทั้งกอง

ขณะที่ผู้กองทะนงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในกระโจมหลักอันเป็นทั้งสถานที่สำหรับวางแผน  สื่อสาร  ในยามสายใกล้เที่ยง  ลูกน้องนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นจนคนอื่น ๆ ที่ตื่นและทำงานอยู่ก่อนแล้วสะดุ้งโหยง

“ผู้กอง!   ผู้กองครับ!! เกิดเรื่องแล้ว!!!”

“อะไร? เอะอะอะไรแต่เช้าวะ?”  พันโททรงศักดิ์ตวาดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว  แผนการที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในสมองกระจายหายไปหมดสิ้น

“ทะ...ที่บ้าน!  ที่บ้านของคุณลดาเกิดเรื่องแล้วครับ!  ทั้งคุณลดาแล้วก็คุณนายมนตราหายตัวไปครับ!”

“หา! อะไรนะ!!?”  นั่นคือเสียงของทุกคนในกระโจมยกเว้นตัวลูกน้องที่เข้ามาบอกข่าว  และตัวผู้กองทะนงเองที่ยังเอาแต่นอนนิ่งราวกับไม่ได้ยิน

“ผู้กองครับ!”

“อือ...ได้ยินแล้ว...”  

ผู้กองทะนงค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น  บิดคอไปมาราวกับเรื่องร้ายของบ้านแม่ยายที่ว่านั้นหาได้มีความสลักสำคัญใด ๆ ต่อตนไม่  นั่นทำให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก  ผู้กองทะนงที่รักเมียและเคารพแม่ยายดั่งแม่ของตนเอง  กลับมีท่าทีไม่ยี่หระใด ๆ เมื่อรู้ว่าทั้งคู่หายตัวไป  นี่มันเรื่องอะไรกัน?

“อะ...ไอ้ทะนง  มืงจะไม่ไป...”

“ได้ยินแล้วอะไรกัน!?”  ลิ้นของพันโททรงศักดิ์ยังไม่ทันเข้าปาก ประโยคยังไม่ทันจบใครคนหนึ่งเกิดโพล่งสุดเสียงก้าวฉับ ๆ เข้ามาในกระโจม  ทุกคนมองเป็นตาเดียว

“เมียพี่  แม่ยายพี่หายตัวไปแบบนี้พี่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยเนี่ยนะ?  แล้วที่พี่ให้คำมั่นกับอาเกริกเขาไว้ล่ะพี่ทะนง  ลืมแล้วงั้นรึ!?”  สารวัตรเจษนั่นเอง

“ก็แล้วจะให้ทำยังไง?  คนหายก็ต้องตามหาแต่มันต้องใช้เวลา...นี่เป็นเรื่องในครอบครัวผม สารวัตรจัดการเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดี ๆ เท่านั้นก็พอแล้ว...”

ทันทีที่จบประโยค  สารวัตรเจษก้าวฉับ ๆ ข้ามกระโจมตรงเข้ากระชากคอเสื้อผู้กองทะนงขึ้นแล้วหวดกำปั้นใส่จนหน้าหัน  อีกฝ่ายเองก็ตอบโต้โดยพลัน รั้งตัวกลับมาสับศอกเข้าปลายคาง  อานุภาพรุนแรงกว่ากันเป็นเท่าตัว  สารวัตรเจษถึงกับก้นเตี้ยเข่าอ่อนทรุดนั่งกับพื้น  คนอื่น ๆ จะเข้าไปห้ามทัพแต่พันโททรงศักดิ์รั้งเอาไว้ส่ายหน้าน้อย ๆ 

แต่เดิมนั้นทั้งคู่รักกันปานพี่น้องร่วมสายเลือด เช่นเดียวกับที่ตนเห็นทั้งผู้กองทะนงและสารวัตรเจษเป็นดั่งพี่น้อง  การกระทำของผู้กองทะนงตอนนี้  แน่นอนว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง  เบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้หรือเข้าใจ  แม้แต่ตนเองก็มีเพียงระแคะระคาย  ความจริงเบื้องหลังนั้นจะเป็นไปในทางไหน  ทำได้เพียงต้องถามเอากับเจ้าตัวเท่านั้น

ทางด้านสารวัตรเจษหลังจากสะบัดศีรษะเพียงเล็กน้อยความมึนงงก็หายไป  ตั้งท่าจะลุกขึ้นเพื่อชกต่อก่อนระฆังหมดยกหรือกรรมการเข้ามานับ  ทว่าผู้กองทะนงเข้าถึงตัวก่อน  เป่าพรวดใส่หน้า  

ทันทีนั้นก็มีอันล้มพับหลับใหล  แน่นอนว่านั่นต้องเป็นหนึ่งในมนต์เกี่ยวกับ นะจังงัง  อย่างไม่ต้องสงสัย  แม้สารวัตรเจษจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักและยังได้ชื่อว่ามือปราบจอมขมังเวทย์  แต่หากพูดกันตามจริงแล้ว  ฝีมือยังสู้ผู้กองทะนงไม่ได้

“นพ   ทา...พาตัวสารวัตรกลับไป”  ผู้กองทะนงเรียกลูกน้องสองคน  นิ่งไปครู่ถอนใจเฮือก    

“ยังมีเรื่องใหญ่กว่าที่เขาต้องจัดการ  อย่าให้เจ้าตัวมัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี่  พี่ศักดิ์ถ้าเป็นไปได้ เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายเหมือนตอนนี้  พี่ช่วยออกคำสั่งห้ามคนนอกหรือใครที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ  เข้ามาในด้วยด้วยนะพี่”  หลังจากออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท  ผู้กองทะนงก็หันไปกล่าวกับพันโททรงศักดิ์  นายทหารที่นับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในนี้

“อะ...ไอ้ทะนง?”

“ได้ใช่มั้ย...ครับพี่ศักดิ์?”  ประโยคที่เน้นย้ำด้วยเสียงอันหนักแน่นนั้นเล่นเอาพันโททรงศักดิ์นิ่งไป  ลังเลอยู่ชั่วครู่รำพันในใจว่า  ‘ขอให้มีแผนก็แล้วกันที่ทำแบบนี้’  ถอนใจยาวด้วยอาการกระอักกระอ่วน

“เออ...ได้!”

กลางเมืองใหญ่ ความวุ่นวายเรื่องบ้าน ฤทัยเพชร  ถูกกลุ่มคนปริศนาบุกรุกและสองเจ้าของบ้านก็หายตัวไป  ในมุมมองของคนทั่วไปคิดว่านี่เป็นการปล้นบ้านเศรษฐี  ส่วนเจ้าของบ้านที่หายไปนั้นก็ไม่พ้นถูกลักพาตัวไปด้วย  ทว่า ก่อนสารวัตรเจษเดินทางไปยังน้ำยืนด้วยใจเร่งร้อนได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุแล้ว  

ข้าวของมีค่าแม้จะไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้  แต่จากความจำที่เคยมาบ้านผู้เสมือนอาแท้ ๆ หลายครั้งหลายครา  เรียกได้ว่าถูกรื้อค้นทำลายแต่ไม่ได้เอาไป  ส่วนจะอยู่ครบหรือไม่ก็ต้องถามเอากับเจ้าตัวเจ้าของบ้านภายหลังหากเจอตัวแล้ว  

ยิ่งภายในห้องนอนซึ่งเปรียบเสมือนห้องพักผู้ป่วยในของมนตรายิ่งผิดปกติเป็นที่สุด  ผ้าห่มมุ้งหมอน  ผ้าปูที่นอนเรียบร้อย  คนเราขณะรู้ว่าจะถูกลักพาตัวไป  ยังมีแก่ใจจะจัดข้าวของเสียเรียบร้อยอีกหรือ?  

เพราะความผิดปกตินั้นสารวัตรเจษจึงร้อนใจ  บึ่งรถตรงไปยังน้ำยืนเพื่อบอกแก่น้องเขยตามศักดิ์  ทว่าพอได้ยินกับหูตัวเองทำนองว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่จะเอาใจใส่จึงสติขาดผึงในบัดดล

นั่นไม่ใช่ความวุ่นวายเพียงเรื่องเดียวที่เกิดขึ้น  ระหว่างทางก่อนถึงน้ำยืน เขาได้รับการแจ้งข่าวผ่านวิทยุตำรวจว่า  หกสาขาใหญ่ของธนาคารสีฟ้าซึ่งแทบทุกหน่วยงานราชการล้วนเป็นลูกค้าถูกปล้นพร้อมกัน  แต่ละที่ถูกชายฉกรรจ์พลางตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีดำ  ถืออาวุธหนักยิงถล่มเข้าไปไม่สนใจว่าใครบ้างจะกลายเป็นเหยื่อกระสุน  

แต่การปล้นครั้งนี้มีเพียงสาขาเดียวที่ทำสำเร็จ  เงินและทองถูกปล้นไปนับพันล้านบาท สาขาที่ว่าความจริงก็ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ ทว่า ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด  พวกโจรถึงได้รู้ว่าเงินและทองมากมายถูกเก็บเอาไว้ที่นั่น  ทั้งที่เจ้าหน้าที่บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ  
โจรปริศนาที่บุกปล้นห้าสาขาถูกวิสามัญสิ้น  มีเพียงสาขาที่ว่าเท่านั้นที่รอดไปได้พร้อมของมีค่า  นั่นคือข่าวที่ถูกหลอกให้สื่อต่าง ๆ ประโคม   เพื่อปกปิดสิ่งผิดปกติของเหตุการณ์นี้  

หนึ่ง  พวกโจรแต่งตัวแบบเดียวกันบุกปล้นพร้อมกันห้าสาขาคือสิบนาฬิกา  ยกเว้นสาขาที่หกซึ่งปล้นสำเร็จ  พวกมันกระทำการเหลื่อมกันหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง    

สอง โจรกลุ่มที่ถูกวิสามัญฯนั้นทำทุกอย่างราวกับไม่ได้ต้องการเงินแต่เป็นการหาสถานที่เพื่อระบายอารมณ์ยิงคนให้ตายเล่น ๆ ที่สุดก็เป็นหกสาขาของธนาคารเดียวกันที่ว่า  

และสาม...สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อของโจรทั้งหลาย  คือผ้าผืนเล็ก ๆ ซึ่งคือธงประจำกลุ่มรากแก้ว!  กลุ่มที่เคยก่อความวุ่นวายและถูกกำจัดไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน

ณ  กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

เสียงเนื้อหนังกระทบกันลั่นมาจากห้อง ๆ หนึ่งในจำนวนห้าหกห้องในตึกใหญ่ไม่มีชื่อ  ซึ่งจะเข้าออกได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น  
ภายในห้องนั้น  นายตำรวจในชุดครึ่งท่อนกำลังลงมือซ้อมชายคนหนึ่ง   ที่ถูกรวบแขนทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วโยงกับห่วงเหล็กที่ต่อให้ออกแรงแค่ไหนก็ไม่มีวันหลุดด้วยโซ่  หมัดแล้วหมัดเล่า  ที่หวดเข้าเบ้าหน้าจนแตกช้ำเลือดอาบ   ทั้งเท้าทั้งเข่ากระแทกใส่ลำตัวชนิดไม่มีออมแรงหวังให้คายความลับ  ทว่าสิ่งที่ได้กลับเป็นเลือดปนน้ำลายและของเหลวที่ถูกขย้อนออกจากกระเพาะ

“เฮ่อ...ฟู่!  ไม่ไหวครับนาย  เราสลับกันซ้อมยิ้มนี่ร่วมสองชั่วโมงไม่มีพักแต่มันไม่คายอะไรออกมาสักอย่างเลย”  

ตำรวจที่รับหน้าที่ซ้อมจนตนเองเหงื่อโทรมหันมาบอกคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งมองอยู่บนเก้าอี้ชิดผนัง  เครื่องแบบของเขาไม่ใช่ตำรวจ  เป็นชุดสูทสุดหรูซึ่งรับกันกับผู้สวมใส่  

แม้จะอยู่ในวัยจวนหกสิบอีกไม่กี่เดือน  ทว่า  พลตำรวจตรีอเนก  ซึ่งปัจจุบันผันตัวมาเล่นการเมืองแบบเต็มตัว  และเป็นผู้มีตำแหน่งสูงมากพอจะออกปากออกเสียงในสภาได้  กลับยังดูหนุ่มกว่าวัย  กระฉับกระเฉงทะมัดทะแมง

“ซ้อมต่อไป”  

พลตำรวจตรีอเนกบอกเสียงเนือย  เอียงศีรษะมองหนึ่งในผู้ต้องหาคดีปล้นธนาคารเมื่อสายที่ผ่านมา  แม้หน้าสื่อจะประโคมข่าวว่าคนร้ายถูกวิสามัญฯจนสิ้น   แต่ความจริงแล้วหนึ่งในคนร้ายที่ปล้นธนาคารทั้งห้าแห่ง  ถูกพาตัวมาที่นี่โดยลับ ๆ  และลงมือสอบสวนถึงเหตุจูงใจรวมไปถึงผู้อยู่เบื้องหลัง 
 แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่ได้ความใด ๆ เลย  คนร้ายทั้งห้าคนเอาแต่นิ่งเงียบ  ถูกซ้อมจนสลบไปหลายครั้ง  พอฟื้นมาด้วยสารพัดวิธีกระตุ้นก็เอาแต่ยิ้มไม่ก็หัวเราะเยาะเย้ย  
(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่