โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่4. ผู้กองทะนงทรยศ
เสียงหมู่นกน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ทำรังจับคอนอยู่ตามต้นไม้ส่งเสียงรับแสงของอรุณรุ่ง ทิวาวารคืบคลานเข้ามาพร้อมอากาศสดใส หากเป็นการท่องเที่ยวทั่วไปทหารนับร้อยคงคิดเช่นนั้น ทว่า...ตลอดเวลากระทั่งบัดนี้ หลังจากผู้กองทะนงบอกว่าให้นำกำลังขึ้นไปเก็บศพทหารบนเขา ตรวจนับจำนวนให้ครบถ้วนก็เพิ่งจะได้พักผ่อนหย่อนขากัน
หนึ่งในพลทหารที่รอดตายจากการบุกเข้าโจมตีแล้วแตกพ่ายเมื่อคืนที่ผ่านมา เฝ้าถามแต่ว่ากลุ่มทหารที่นำทางพวกตนไปไหนแล้ว ซ้ำยังบอกอีกว่าค่อนข้างคุ้นหน้าหนึ่งในนั้น จำได้ว่าเป็นกองร้อยก่อนหน้าที่รายงานถูกส่งไปทั่วว่าเสียชีวิตทั้งกองร้อย ฉะนั้น ตนเองจึงอยากพบหน้า อยากขอบคุณ และหวังอย่างยิ่งว่าข่าวกรองจะมีการผิดพลาด ทหารนายนั้นและเพื่อนสนิทของตนซึ่งอยู่ด้วยกันจะยังรอดอยู่
แต่ไม่ว่าจะเที่ยวถามใครหรือดูตามกระโจมของแพทย์ทหารก็หาได้พบไม่ ที่สุดท้ายซึ่งเลือกจะมองข้ามคือกระโจมเปิดอันเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของเหล่าทหารหาญซึ่งตนมองข้าม จะถูกดึงกลับเข้ามาในตัวเลือก และนั่นเองจึงได้พบความจริง
ใบหน้าซีดขาวนิ่งสนิทไร้อารมณ์ปราศจากวิญญาณของทหารที่ตนจำได้ และร่างไร้วิญญาณที่เหลือเพียงครึ่งบนของเพื่อนสนิทที่นอนเหยียดข้างกัน นั่นช่วยยืนยันได้แล้วว่า พวกเขาตายแล้ว กองร้อยก่อนหน้าบุกและถูกถล่มจนตายทั้งกอง
ขณะที่ผู้กองทะนงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในกระโจมหลักอันเป็นทั้งสถานที่สำหรับวางแผน สื่อสาร ในยามสายใกล้เที่ยง ลูกน้องนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นจนคนอื่น ๆ ที่ตื่นและทำงานอยู่ก่อนแล้วสะดุ้งโหยง
“ผู้กอง! ผู้กองครับ!! เกิดเรื่องแล้ว!!!”
“อะไร? เอะอะอะไรแต่เช้าวะ?” พันโททรงศักดิ์ตวาดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แผนการที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในสมองกระจายหายไปหมดสิ้น
“ทะ...ที่บ้าน! ที่บ้านของคุณลดาเกิดเรื่องแล้วครับ! ทั้งคุณลดาแล้วก็คุณนายมนตราหายตัวไปครับ!”
“หา! อะไรนะ!!?” นั่นคือเสียงของทุกคนในกระโจมยกเว้นตัวลูกน้องที่เข้ามาบอกข่าว และตัวผู้กองทะนงเองที่ยังเอาแต่นอนนิ่งราวกับไม่ได้ยิน
“ผู้กองครับ!”
“อือ...ได้ยินแล้ว...”
ผู้กองทะนงค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น บิดคอไปมาราวกับเรื่องร้ายของบ้านแม่ยายที่ว่านั้นหาได้มีความสลักสำคัญใด ๆ ต่อตนไม่ นั่นทำให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก ผู้กองทะนงที่รักเมียและเคารพแม่ยายดั่งแม่ของตนเอง กลับมีท่าทีไม่ยี่หระใด ๆ เมื่อรู้ว่าทั้งคู่หายตัวไป นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“อะ...ไอ้ทะนง มืงจะไม่ไป...”
“ได้ยินแล้วอะไรกัน!?” ลิ้นของพันโททรงศักดิ์ยังไม่ทันเข้าปาก ประโยคยังไม่ทันจบใครคนหนึ่งเกิดโพล่งสุดเสียงก้าวฉับ ๆ เข้ามาในกระโจม ทุกคนมองเป็นตาเดียว
“เมียพี่ แม่ยายพี่หายตัวไปแบบนี้พี่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยเนี่ยนะ? แล้วที่พี่ให้คำมั่นกับอาเกริกเขาไว้ล่ะพี่ทะนง ลืมแล้วงั้นรึ!?” สารวัตรเจษนั่นเอง
“ก็แล้วจะให้ทำยังไง? คนหายก็ต้องตามหาแต่มันต้องใช้เวลา...นี่เป็นเรื่องในครอบครัวผม สารวัตรจัดการเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดี ๆ เท่านั้นก็พอแล้ว...”
ทันทีที่จบประโยค สารวัตรเจษก้าวฉับ ๆ ข้ามกระโจมตรงเข้ากระชากคอเสื้อผู้กองทะนงขึ้นแล้วหวดกำปั้นใส่จนหน้าหัน อีกฝ่ายเองก็ตอบโต้โดยพลัน รั้งตัวกลับมาสับศอกเข้าปลายคาง อานุภาพรุนแรงกว่ากันเป็นเท่าตัว สารวัตรเจษถึงกับก้นเตี้ยเข่าอ่อนทรุดนั่งกับพื้น คนอื่น ๆ จะเข้าไปห้ามทัพแต่พันโททรงศักดิ์รั้งเอาไว้ส่ายหน้าน้อย ๆ
แต่เดิมนั้นทั้งคู่รักกันปานพี่น้องร่วมสายเลือด เช่นเดียวกับที่ตนเห็นทั้งผู้กองทะนงและสารวัตรเจษเป็นดั่งพี่น้อง การกระทำของผู้กองทะนงตอนนี้ แน่นอนว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง เบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้หรือเข้าใจ แม้แต่ตนเองก็มีเพียงระแคะระคาย ความจริงเบื้องหลังนั้นจะเป็นไปในทางไหน ทำได้เพียงต้องถามเอากับเจ้าตัวเท่านั้น
ทางด้านสารวัตรเจษหลังจากสะบัดศีรษะเพียงเล็กน้อยความมึนงงก็หายไป ตั้งท่าจะลุกขึ้นเพื่อชกต่อก่อนระฆังหมดยกหรือกรรมการเข้ามานับ ทว่าผู้กองทะนงเข้าถึงตัวก่อน เป่าพรวดใส่หน้า
ทันทีนั้นก็มีอันล้มพับหลับใหล แน่นอนว่านั่นต้องเป็นหนึ่งในมนต์เกี่ยวกับ นะจังงัง อย่างไม่ต้องสงสัย แม้สารวัตรเจษจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักและยังได้ชื่อว่ามือปราบจอมขมังเวทย์ แต่หากพูดกันตามจริงแล้ว ฝีมือยังสู้ผู้กองทะนงไม่ได้
“นพ ทา...พาตัวสารวัตรกลับไป” ผู้กองทะนงเรียกลูกน้องสองคน นิ่งไปครู่ถอนใจเฮือก
“ยังมีเรื่องใหญ่กว่าที่เขาต้องจัดการ อย่าให้เจ้าตัวมัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ พี่ศักดิ์ถ้าเป็นไปได้ เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายเหมือนตอนนี้ พี่ช่วยออกคำสั่งห้ามคนนอกหรือใครที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ เข้ามาในด้วยด้วยนะพี่” หลังจากออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท ผู้กองทะนงก็หันไปกล่าวกับพันโททรงศักดิ์ นายทหารที่นับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในนี้
“อะ...ไอ้ทะนง?”
“ได้ใช่มั้ย...ครับพี่ศักดิ์?” ประโยคที่เน้นย้ำด้วยเสียงอันหนักแน่นนั้นเล่นเอาพันโททรงศักดิ์นิ่งไป ลังเลอยู่ชั่วครู่รำพันในใจว่า ‘ขอให้มีแผนก็แล้วกันที่ทำแบบนี้’ ถอนใจยาวด้วยอาการกระอักกระอ่วน
“เออ...ได้!”
กลางเมืองใหญ่ ความวุ่นวายเรื่องบ้าน ฤทัยเพชร ถูกกลุ่มคนปริศนาบุกรุกและสองเจ้าของบ้านก็หายตัวไป ในมุมมองของคนทั่วไปคิดว่านี่เป็นการปล้นบ้านเศรษฐี ส่วนเจ้าของบ้านที่หายไปนั้นก็ไม่พ้นถูกลักพาตัวไปด้วย ทว่า ก่อนสารวัตรเจษเดินทางไปยังน้ำยืนด้วยใจเร่งร้อนได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุแล้ว
ข้าวของมีค่าแม้จะไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ แต่จากความจำที่เคยมาบ้านผู้เสมือนอาแท้ ๆ หลายครั้งหลายครา เรียกได้ว่าถูกรื้อค้นทำลายแต่ไม่ได้เอาไป ส่วนจะอยู่ครบหรือไม่ก็ต้องถามเอากับเจ้าตัวเจ้าของบ้านภายหลังหากเจอตัวแล้ว
ยิ่งภายในห้องนอนซึ่งเปรียบเสมือนห้องพักผู้ป่วยในของมนตรายิ่งผิดปกติเป็นที่สุด ผ้าห่มมุ้งหมอน ผ้าปูที่นอนเรียบร้อย คนเราขณะรู้ว่าจะถูกลักพาตัวไป ยังมีแก่ใจจะจัดข้าวของเสียเรียบร้อยอีกหรือ?
เพราะความผิดปกตินั้นสารวัตรเจษจึงร้อนใจ บึ่งรถตรงไปยังน้ำยืนเพื่อบอกแก่น้องเขยตามศักดิ์ ทว่าพอได้ยินกับหูตัวเองทำนองว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่จะเอาใจใส่จึงสติขาดผึงในบัดดล
นั่นไม่ใช่ความวุ่นวายเพียงเรื่องเดียวที่เกิดขึ้น ระหว่างทางก่อนถึงน้ำยืน เขาได้รับการแจ้งข่าวผ่านวิทยุตำรวจว่า หกสาขาใหญ่ของธนาคารสีฟ้าซึ่งแทบทุกหน่วยงานราชการล้วนเป็นลูกค้าถูกปล้นพร้อมกัน แต่ละที่ถูกชายฉกรรจ์พลางตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีดำ ถืออาวุธหนักยิงถล่มเข้าไปไม่สนใจว่าใครบ้างจะกลายเป็นเหยื่อกระสุน
แต่การปล้นครั้งนี้มีเพียงสาขาเดียวที่ทำสำเร็จ เงินและทองถูกปล้นไปนับพันล้านบาท สาขาที่ว่าความจริงก็ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ ทว่า ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด พวกโจรถึงได้รู้ว่าเงินและทองมากมายถูกเก็บเอาไว้ที่นั่น ทั้งที่เจ้าหน้าที่บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
โจรปริศนาที่บุกปล้นห้าสาขาถูกวิสามัญสิ้น มีเพียงสาขาที่ว่าเท่านั้นที่รอดไปได้พร้อมของมีค่า นั่นคือข่าวที่ถูกหลอกให้สื่อต่าง ๆ ประโคม เพื่อปกปิดสิ่งผิดปกติของเหตุการณ์นี้
หนึ่ง พวกโจรแต่งตัวแบบเดียวกันบุกปล้นพร้อมกันห้าสาขาคือสิบนาฬิกา ยกเว้นสาขาที่หกซึ่งปล้นสำเร็จ พวกมันกระทำการเหลื่อมกันหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
สอง โจรกลุ่มที่ถูกวิสามัญฯนั้นทำทุกอย่างราวกับไม่ได้ต้องการเงินแต่เป็นการหาสถานที่เพื่อระบายอารมณ์ยิงคนให้ตายเล่น ๆ ที่สุดก็เป็นหกสาขาของธนาคารเดียวกันที่ว่า
และสาม...สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อของโจรทั้งหลาย คือผ้าผืนเล็ก ๆ ซึ่งคือธงประจำกลุ่มรากแก้ว! กลุ่มที่เคยก่อความวุ่นวายและถูกกำจัดไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
ณ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
เสียงเนื้อหนังกระทบกันลั่นมาจากห้อง ๆ หนึ่งในจำนวนห้าหกห้องในตึกใหญ่ไม่มีชื่อ ซึ่งจะเข้าออกได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น
ภายในห้องนั้น นายตำรวจในชุดครึ่งท่อนกำลังลงมือซ้อมชายคนหนึ่ง ที่ถูกรวบแขนทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วโยงกับห่วงเหล็กที่ต่อให้ออกแรงแค่ไหนก็ไม่มีวันหลุดด้วยโซ่ หมัดแล้วหมัดเล่า ที่หวดเข้าเบ้าหน้าจนแตกช้ำเลือดอาบ ทั้งเท้าทั้งเข่ากระแทกใส่ลำตัวชนิดไม่มีออมแรงหวังให้คายความลับ ทว่าสิ่งที่ได้กลับเป็นเลือดปนน้ำลายและของเหลวที่ถูกขย้อนออกจากกระเพาะ
“เฮ่อ...ฟู่! ไม่ไหวครับนาย เราสลับกันซ้อม
นี่ร่วมสองชั่วโมงไม่มีพักแต่มันไม่คายอะไรออกมาสักอย่างเลย”
ตำรวจที่รับหน้าที่ซ้อมจนตนเองเหงื่อโทรมหันมาบอกคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งมองอยู่บนเก้าอี้ชิดผนัง เครื่องแบบของเขาไม่ใช่ตำรวจ เป็นชุดสูทสุดหรูซึ่งรับกันกับผู้สวมใส่
แม้จะอยู่ในวัยจวนหกสิบอีกไม่กี่เดือน ทว่า
พลตำรวจตรีอเนก ซึ่งปัจจุบันผันตัวมาเล่นการเมืองแบบเต็มตัว และเป็นผู้มีตำแหน่งสูงมากพอจะออกปากออกเสียงในสภาได้ กลับยังดูหนุ่มกว่าวัย กระฉับกระเฉงทะมัดทะแมง
“ซ้อมต่อไป”
พลตำรวจตรีอเนกบอกเสียงเนือย เอียงศีรษะมองหนึ่งในผู้ต้องหาคดีปล้นธนาคารเมื่อสายที่ผ่านมา แม้หน้าสื่อจะประโคมข่าวว่าคนร้ายถูกวิสามัญฯจนสิ้น แต่ความจริงแล้วหนึ่งในคนร้ายที่ปล้นธนาคารทั้งห้าแห่ง ถูกพาตัวมาที่นี่โดยลับ ๆ และลงมือสอบสวนถึงเหตุจูงใจรวมไปถึงผู้อยู่เบื้องหลัง
แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่ได้ความใด ๆ เลย คนร้ายทั้งห้าคนเอาแต่นิ่งเงียบ ถูกซ้อมจนสลบไปหลายครั้ง พอฟื้นมาด้วยสารพัดวิธีกระตุ้นก็เอาแต่ยิ้มไม่ก็หัวเราะเยาะเย้ย
(มีต่อครับ)
ปฐพีเดือด ตอนที่4.
หนึ่งในพลทหารที่รอดตายจากการบุกเข้าโจมตีแล้วแตกพ่ายเมื่อคืนที่ผ่านมา เฝ้าถามแต่ว่ากลุ่มทหารที่นำทางพวกตนไปไหนแล้ว ซ้ำยังบอกอีกว่าค่อนข้างคุ้นหน้าหนึ่งในนั้น จำได้ว่าเป็นกองร้อยก่อนหน้าที่รายงานถูกส่งไปทั่วว่าเสียชีวิตทั้งกองร้อย ฉะนั้น ตนเองจึงอยากพบหน้า อยากขอบคุณ และหวังอย่างยิ่งว่าข่าวกรองจะมีการผิดพลาด ทหารนายนั้นและเพื่อนสนิทของตนซึ่งอยู่ด้วยกันจะยังรอดอยู่
แต่ไม่ว่าจะเที่ยวถามใครหรือดูตามกระโจมของแพทย์ทหารก็หาได้พบไม่ ที่สุดท้ายซึ่งเลือกจะมองข้ามคือกระโจมเปิดอันเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของเหล่าทหารหาญซึ่งตนมองข้าม จะถูกดึงกลับเข้ามาในตัวเลือก และนั่นเองจึงได้พบความจริง
ใบหน้าซีดขาวนิ่งสนิทไร้อารมณ์ปราศจากวิญญาณของทหารที่ตนจำได้ และร่างไร้วิญญาณที่เหลือเพียงครึ่งบนของเพื่อนสนิทที่นอนเหยียดข้างกัน นั่นช่วยยืนยันได้แล้วว่า พวกเขาตายแล้ว กองร้อยก่อนหน้าบุกและถูกถล่มจนตายทั้งกอง
ขณะที่ผู้กองทะนงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในกระโจมหลักอันเป็นทั้งสถานที่สำหรับวางแผน สื่อสาร ในยามสายใกล้เที่ยง ลูกน้องนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นจนคนอื่น ๆ ที่ตื่นและทำงานอยู่ก่อนแล้วสะดุ้งโหยง
“ผู้กอง! ผู้กองครับ!! เกิดเรื่องแล้ว!!!”
“อะไร? เอะอะอะไรแต่เช้าวะ?” พันโททรงศักดิ์ตวาดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แผนการที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในสมองกระจายหายไปหมดสิ้น
“ทะ...ที่บ้าน! ที่บ้านของคุณลดาเกิดเรื่องแล้วครับ! ทั้งคุณลดาแล้วก็คุณนายมนตราหายตัวไปครับ!”
“หา! อะไรนะ!!?” นั่นคือเสียงของทุกคนในกระโจมยกเว้นตัวลูกน้องที่เข้ามาบอกข่าว และตัวผู้กองทะนงเองที่ยังเอาแต่นอนนิ่งราวกับไม่ได้ยิน
“ผู้กองครับ!”
“อือ...ได้ยินแล้ว...”
ผู้กองทะนงค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น บิดคอไปมาราวกับเรื่องร้ายของบ้านแม่ยายที่ว่านั้นหาได้มีความสลักสำคัญใด ๆ ต่อตนไม่ นั่นทำให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก ผู้กองทะนงที่รักเมียและเคารพแม่ยายดั่งแม่ของตนเอง กลับมีท่าทีไม่ยี่หระใด ๆ เมื่อรู้ว่าทั้งคู่หายตัวไป นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“อะ...ไอ้ทะนง มืงจะไม่ไป...”
“ได้ยินแล้วอะไรกัน!?” ลิ้นของพันโททรงศักดิ์ยังไม่ทันเข้าปาก ประโยคยังไม่ทันจบใครคนหนึ่งเกิดโพล่งสุดเสียงก้าวฉับ ๆ เข้ามาในกระโจม ทุกคนมองเป็นตาเดียว
“เมียพี่ แม่ยายพี่หายตัวไปแบบนี้พี่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยเนี่ยนะ? แล้วที่พี่ให้คำมั่นกับอาเกริกเขาไว้ล่ะพี่ทะนง ลืมแล้วงั้นรึ!?” สารวัตรเจษนั่นเอง
“ก็แล้วจะให้ทำยังไง? คนหายก็ต้องตามหาแต่มันต้องใช้เวลา...นี่เป็นเรื่องในครอบครัวผม สารวัตรจัดการเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดี ๆ เท่านั้นก็พอแล้ว...”
ทันทีที่จบประโยค สารวัตรเจษก้าวฉับ ๆ ข้ามกระโจมตรงเข้ากระชากคอเสื้อผู้กองทะนงขึ้นแล้วหวดกำปั้นใส่จนหน้าหัน อีกฝ่ายเองก็ตอบโต้โดยพลัน รั้งตัวกลับมาสับศอกเข้าปลายคาง อานุภาพรุนแรงกว่ากันเป็นเท่าตัว สารวัตรเจษถึงกับก้นเตี้ยเข่าอ่อนทรุดนั่งกับพื้น คนอื่น ๆ จะเข้าไปห้ามทัพแต่พันโททรงศักดิ์รั้งเอาไว้ส่ายหน้าน้อย ๆ
แต่เดิมนั้นทั้งคู่รักกันปานพี่น้องร่วมสายเลือด เช่นเดียวกับที่ตนเห็นทั้งผู้กองทะนงและสารวัตรเจษเป็นดั่งพี่น้อง การกระทำของผู้กองทะนงตอนนี้ แน่นอนว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง เบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้หรือเข้าใจ แม้แต่ตนเองก็มีเพียงระแคะระคาย ความจริงเบื้องหลังนั้นจะเป็นไปในทางไหน ทำได้เพียงต้องถามเอากับเจ้าตัวเท่านั้น
ทางด้านสารวัตรเจษหลังจากสะบัดศีรษะเพียงเล็กน้อยความมึนงงก็หายไป ตั้งท่าจะลุกขึ้นเพื่อชกต่อก่อนระฆังหมดยกหรือกรรมการเข้ามานับ ทว่าผู้กองทะนงเข้าถึงตัวก่อน เป่าพรวดใส่หน้า
ทันทีนั้นก็มีอันล้มพับหลับใหล แน่นอนว่านั่นต้องเป็นหนึ่งในมนต์เกี่ยวกับ นะจังงัง อย่างไม่ต้องสงสัย แม้สารวัตรเจษจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักและยังได้ชื่อว่ามือปราบจอมขมังเวทย์ แต่หากพูดกันตามจริงแล้ว ฝีมือยังสู้ผู้กองทะนงไม่ได้
“นพ ทา...พาตัวสารวัตรกลับไป” ผู้กองทะนงเรียกลูกน้องสองคน นิ่งไปครู่ถอนใจเฮือก
“ยังมีเรื่องใหญ่กว่าที่เขาต้องจัดการ อย่าให้เจ้าตัวมัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ พี่ศักดิ์ถ้าเป็นไปได้ เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายเหมือนตอนนี้ พี่ช่วยออกคำสั่งห้ามคนนอกหรือใครที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ เข้ามาในด้วยด้วยนะพี่” หลังจากออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท ผู้กองทะนงก็หันไปกล่าวกับพันโททรงศักดิ์ นายทหารที่นับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในนี้
“อะ...ไอ้ทะนง?”
“ได้ใช่มั้ย...ครับพี่ศักดิ์?” ประโยคที่เน้นย้ำด้วยเสียงอันหนักแน่นนั้นเล่นเอาพันโททรงศักดิ์นิ่งไป ลังเลอยู่ชั่วครู่รำพันในใจว่า ‘ขอให้มีแผนก็แล้วกันที่ทำแบบนี้’ ถอนใจยาวด้วยอาการกระอักกระอ่วน
“เออ...ได้!”
กลางเมืองใหญ่ ความวุ่นวายเรื่องบ้าน ฤทัยเพชร ถูกกลุ่มคนปริศนาบุกรุกและสองเจ้าของบ้านก็หายตัวไป ในมุมมองของคนทั่วไปคิดว่านี่เป็นการปล้นบ้านเศรษฐี ส่วนเจ้าของบ้านที่หายไปนั้นก็ไม่พ้นถูกลักพาตัวไปด้วย ทว่า ก่อนสารวัตรเจษเดินทางไปยังน้ำยืนด้วยใจเร่งร้อนได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุแล้ว
ข้าวของมีค่าแม้จะไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ แต่จากความจำที่เคยมาบ้านผู้เสมือนอาแท้ ๆ หลายครั้งหลายครา เรียกได้ว่าถูกรื้อค้นทำลายแต่ไม่ได้เอาไป ส่วนจะอยู่ครบหรือไม่ก็ต้องถามเอากับเจ้าตัวเจ้าของบ้านภายหลังหากเจอตัวแล้ว
ยิ่งภายในห้องนอนซึ่งเปรียบเสมือนห้องพักผู้ป่วยในของมนตรายิ่งผิดปกติเป็นที่สุด ผ้าห่มมุ้งหมอน ผ้าปูที่นอนเรียบร้อย คนเราขณะรู้ว่าจะถูกลักพาตัวไป ยังมีแก่ใจจะจัดข้าวของเสียเรียบร้อยอีกหรือ?
เพราะความผิดปกตินั้นสารวัตรเจษจึงร้อนใจ บึ่งรถตรงไปยังน้ำยืนเพื่อบอกแก่น้องเขยตามศักดิ์ ทว่าพอได้ยินกับหูตัวเองทำนองว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่จะเอาใจใส่จึงสติขาดผึงในบัดดล
นั่นไม่ใช่ความวุ่นวายเพียงเรื่องเดียวที่เกิดขึ้น ระหว่างทางก่อนถึงน้ำยืน เขาได้รับการแจ้งข่าวผ่านวิทยุตำรวจว่า หกสาขาใหญ่ของธนาคารสีฟ้าซึ่งแทบทุกหน่วยงานราชการล้วนเป็นลูกค้าถูกปล้นพร้อมกัน แต่ละที่ถูกชายฉกรรจ์พลางตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีดำ ถืออาวุธหนักยิงถล่มเข้าไปไม่สนใจว่าใครบ้างจะกลายเป็นเหยื่อกระสุน
แต่การปล้นครั้งนี้มีเพียงสาขาเดียวที่ทำสำเร็จ เงินและทองถูกปล้นไปนับพันล้านบาท สาขาที่ว่าความจริงก็ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ ทว่า ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด พวกโจรถึงได้รู้ว่าเงินและทองมากมายถูกเก็บเอาไว้ที่นั่น ทั้งที่เจ้าหน้าที่บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
โจรปริศนาที่บุกปล้นห้าสาขาถูกวิสามัญสิ้น มีเพียงสาขาที่ว่าเท่านั้นที่รอดไปได้พร้อมของมีค่า นั่นคือข่าวที่ถูกหลอกให้สื่อต่าง ๆ ประโคม เพื่อปกปิดสิ่งผิดปกติของเหตุการณ์นี้
หนึ่ง พวกโจรแต่งตัวแบบเดียวกันบุกปล้นพร้อมกันห้าสาขาคือสิบนาฬิกา ยกเว้นสาขาที่หกซึ่งปล้นสำเร็จ พวกมันกระทำการเหลื่อมกันหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
สอง โจรกลุ่มที่ถูกวิสามัญฯนั้นทำทุกอย่างราวกับไม่ได้ต้องการเงินแต่เป็นการหาสถานที่เพื่อระบายอารมณ์ยิงคนให้ตายเล่น ๆ ที่สุดก็เป็นหกสาขาของธนาคารเดียวกันที่ว่า
และสาม...สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อของโจรทั้งหลาย คือผ้าผืนเล็ก ๆ ซึ่งคือธงประจำกลุ่มรากแก้ว! กลุ่มที่เคยก่อความวุ่นวายและถูกกำจัดไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
ณ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
เสียงเนื้อหนังกระทบกันลั่นมาจากห้อง ๆ หนึ่งในจำนวนห้าหกห้องในตึกใหญ่ไม่มีชื่อ ซึ่งจะเข้าออกได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น
ภายในห้องนั้น นายตำรวจในชุดครึ่งท่อนกำลังลงมือซ้อมชายคนหนึ่ง ที่ถูกรวบแขนทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วโยงกับห่วงเหล็กที่ต่อให้ออกแรงแค่ไหนก็ไม่มีวันหลุดด้วยโซ่ หมัดแล้วหมัดเล่า ที่หวดเข้าเบ้าหน้าจนแตกช้ำเลือดอาบ ทั้งเท้าทั้งเข่ากระแทกใส่ลำตัวชนิดไม่มีออมแรงหวังให้คายความลับ ทว่าสิ่งที่ได้กลับเป็นเลือดปนน้ำลายและของเหลวที่ถูกขย้อนออกจากกระเพาะ
“เฮ่อ...ฟู่! ไม่ไหวครับนาย เราสลับกันซ้อมนี่ร่วมสองชั่วโมงไม่มีพักแต่มันไม่คายอะไรออกมาสักอย่างเลย”
ตำรวจที่รับหน้าที่ซ้อมจนตนเองเหงื่อโทรมหันมาบอกคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งมองอยู่บนเก้าอี้ชิดผนัง เครื่องแบบของเขาไม่ใช่ตำรวจ เป็นชุดสูทสุดหรูซึ่งรับกันกับผู้สวมใส่
แม้จะอยู่ในวัยจวนหกสิบอีกไม่กี่เดือน ทว่า พลตำรวจตรีอเนก ซึ่งปัจจุบันผันตัวมาเล่นการเมืองแบบเต็มตัว และเป็นผู้มีตำแหน่งสูงมากพอจะออกปากออกเสียงในสภาได้ กลับยังดูหนุ่มกว่าวัย กระฉับกระเฉงทะมัดทะแมง
“ซ้อมต่อไป”
พลตำรวจตรีอเนกบอกเสียงเนือย เอียงศีรษะมองหนึ่งในผู้ต้องหาคดีปล้นธนาคารเมื่อสายที่ผ่านมา แม้หน้าสื่อจะประโคมข่าวว่าคนร้ายถูกวิสามัญฯจนสิ้น แต่ความจริงแล้วหนึ่งในคนร้ายที่ปล้นธนาคารทั้งห้าแห่ง ถูกพาตัวมาที่นี่โดยลับ ๆ และลงมือสอบสวนถึงเหตุจูงใจรวมไปถึงผู้อยู่เบื้องหลัง
แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่ได้ความใด ๆ เลย คนร้ายทั้งห้าคนเอาแต่นิ่งเงียบ ถูกซ้อมจนสลบไปหลายครั้ง พอฟื้นมาด้วยสารพัดวิธีกระตุ้นก็เอาแต่ยิ้มไม่ก็หัวเราะเยาะเย้ย
(มีต่อครับ)