ขออนุญาตเล่าเกริ่นก่อนว่าเราเรียนจบในช่วงโควิดเริ่มเข้ามาประเทศไทยพอดี เราและเพื่อน ๆ ที่เรียนมาด้วยกันมีโอกาสฝึกงานเพียงแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น พอจบมาเราก็เคว้งอยู่พักใหญ่เลยค่ะ ด้วยความเป็นเด็กจบใหม่ตอนนั้นไฟมันก็แรง ยื่นสมัครงานไปหลายที่ มีทั้งได้สัมภาษณ์และไม่ได้สัมภาษณ์ แต่ทุกอย่างหยุดแค่สัมภาษณ์ เพราะหลายที่ต้องการใบรับรองปริญญาซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้ เราเสียโอกาสไปหลายรอบเลยค่ะ จนมาถึงจุดหนึ่งในชีวิต บริษัทที่คุณพ่อทำงานอยู่ต้องปิดตัวลงเพราะพิษโควิด คุณแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรงก็ต้องลุกไปหางานทำเพื่อหารายได้ ส่วนคุณพ่อก็ต้องไปรับซ่อมนู่นนี่ไปเรื่อยๆ เเราในตอนนั้นรู้สึกเครียดกับชีวิตมาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระของครอบครัว งานก็หาไม่ได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์ไปก่อนระหว่างหางานประจำ ช่วงนั้นเรารับจ้างตัดคลิปวิดีโอบ้าง รับจ้างพิสูจน์อักษรบ้าง จนวันหนึ่งเพื่อนของคุณพ่อมาเห็นงานของเรา เขาเลยติดต่อให้เรามาร่วมโปรเจคระยะสั้นของเขา พอจบโปรเจคเขาก็ให้เราเข้ามาเป็นพนักงานประจำโดยยื่นข้อเสนอเงินเดือนให้เราที่ 2 หมื่น แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดระบาดหนักและบริษัทที่เราทำงานด้วยเป็นบริษัททัวร์จากต่างประเทศทำให้ในตอนนั้นรายได้ของบริษัทยังไม่มี เขาเลยขอจ่ายเงินเดือนเราแค่ 1 หมื่นไปก่อน และนี่คือจุดเริ่มต้นค่ะ
เราเข้ามาทำงานที่นี่ได้เกือบ 2 ปีแล้ว แต่ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าตัวเองทำงานตำแหน่งอะไร ทั้งขายของให้บริษัท ทั้งดูแลติดต่อประสานงานไกด์ ทั้งดูแลจักรยานของบริษัท หรือแม้กระทั่งให้เราไปดูแลหลังบ้านเว็บไซต์ แก้ปัญหาเว็บบัค ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อน ต้องบอกก่อนว่าเราเรียนจบด้านวารสารมาค่ะ งานพวกนี้ไม่เคยแตะเลยสักครั้ง งานที่เราถนัดอย่างการเขียนเขาก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำ การทำงานที่นี่คือการเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะทั้งบริษัทเหลือแค่พวกผู้บริหารและเราอีก 1 คน ไม่มีใครมาสอนงานให้ ช่วงแรกเราร้องไห้เกือบทุกวันเพราะเรามืดแปดด้าน คอยบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไร ถ้าผ่านไปได้ก็จะเป็นประการณ์กับตัวเอง จนในวันนี้เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเราไม่ไหวกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว บริษัทรับพนักงานเข้ามาใหม่อยู่ 2-3 คน แน่นอนว่าทุกคนต้องทำงานหนักเช่นกันเพราะคนไม่เพียงพอ แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกน้อยใจก็คือ เงินเดือน คนที่เข้ามาใหม่ได้ หมื่นห้าถึง 2 หมื่น แต่เรายังคงได้เงินเดือนแค่ 1 หมื่นบาทเท่านั้น เราเลยเข้าไปคุณกับลุงเพื่อนคุณพ่อที่เป็นเจ้าของบริษัทเรื่องเงินเดือน แต่เขาตอบกลับมาว่าให้ช่วยทนไปก่อนนะ คนอื่นเขามีครอบครัวต้องดูแล แต่เราเป็นหลานลุง มีปัญหาด้านเงินมาคุยกันได้ตลอด วันนั้นเราคุยไปร้องไห้ไป เลยได้ทางออกแค่ต้องรอเท่านั้น
ทุกวันนี้รายได้หลักของครอบครัวคือเราค่ะ ทั้งค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เราเป็นคนจ่ายทั้งหมด เหลือเงินกินจริง ๆ ไม่ถึง 2 พันต่อเดือน แน่นอนว่าเงินเดือน 1 หมื่นมันไม่พออยู่แล้ว ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาเราก็ยังไม่ทิ้งงานเสริมค่ะ ยังคงรับงานพิสูจน์อักษรอยู่เรื่อย ๆ เพื่อเป็นรายได้เสริม และยังมีรายได้จากที่คุณแม่ไปทำงานมาช่วยรายจ่ายภายในบ้านอีกส่วนหนึ่ง แต่ในทุก ๆ เดือนเราไม่เคยเหลือเงินเก็บเลยค่ะ โชคดีที่บ้านไม่เราไม่ได้เป็นหนี้อะไร แต่ก็ไม่มีพอสำหรับเงินเก็บฉุกเฉินอยู่ดี ส่วนชีวิตการทำงานของเราตอนนี้ก็มีแต่ดิ่งลง เราได้รับคำสั่งให้ทำงานใหม่ ๆ โดยที่ไม่มีคนชี้ทางที่ถูกต้องให้ พอเราเดินผิดทางก็โดนต่อว่าจนตอนนี้สุขภาพจิตเราเริ่มแย่ กลางคืนเราไม่สามารถนอนได้อย่างสบายสักคืน หลับตาก็ฝันถึงงาน ตื่นมาก็ต้องคิดในทุกเช้าว่าวันนี้เราจะโดนด่าเรื่องอะไรบ้างนะ มีงานไหนที่ทำออกมาแล้วไม่ถูกใจเขาบ้างนะ เรากลัวที่จะคุยกับลุงมากขึ้น ยิ่งโดนด่าก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมากขี้น อะไรที่เคยแล้วมีความสุขก็ไม่มีความสุขอีกต่อไป จนตอนนี้เราหาสิ่งที่เรียกกว่าความสุขไม่เจอแล้ว เราเลยตัดสินใจหางานใหม่อีกครั้งค่ะ แต่ยิ่งหาเราก็ยิ่งพบกับความผิดหวัง ยื่นสมัครงานไปก็ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์ หรือถ้าโดนเรียกสัมภาษณ์ก็จะเจอคำถามอยู่หลายครั้งว่าเราไม่มีประสบการณ์ด้านงานที่ยื่นเลยจะทำไหวเหรอ สุดท้ายก็โดนปฏิเสธไป เราเริ่มคิดแล้วว่า หรือความจริงเราไม่มีความสามารถอะไรเลย ถ้าเราไม่ได้งานใหม่เราก็ออกจากงานที่ทำอยู่ไม่ได้เลย เพราะเงินที่มีพออยู่ได้แค่เดือนชนเดือน ตอนนี้เรามองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลยค่ะ
อยากลาออกจากงานมาก ๆ ค่ะ แต่ไม่มีงานไหนมาลองรับถ้าเราออกจากงานที่ทำอยู่ได้เลย
เราเข้ามาทำงานที่นี่ได้เกือบ 2 ปีแล้ว แต่ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าตัวเองทำงานตำแหน่งอะไร ทั้งขายของให้บริษัท ทั้งดูแลติดต่อประสานงานไกด์ ทั้งดูแลจักรยานของบริษัท หรือแม้กระทั่งให้เราไปดูแลหลังบ้านเว็บไซต์ แก้ปัญหาเว็บบัค ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อน ต้องบอกก่อนว่าเราเรียนจบด้านวารสารมาค่ะ งานพวกนี้ไม่เคยแตะเลยสักครั้ง งานที่เราถนัดอย่างการเขียนเขาก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำ การทำงานที่นี่คือการเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะทั้งบริษัทเหลือแค่พวกผู้บริหารและเราอีก 1 คน ไม่มีใครมาสอนงานให้ ช่วงแรกเราร้องไห้เกือบทุกวันเพราะเรามืดแปดด้าน คอยบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไร ถ้าผ่านไปได้ก็จะเป็นประการณ์กับตัวเอง จนในวันนี้เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเราไม่ไหวกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว บริษัทรับพนักงานเข้ามาใหม่อยู่ 2-3 คน แน่นอนว่าทุกคนต้องทำงานหนักเช่นกันเพราะคนไม่เพียงพอ แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกน้อยใจก็คือ เงินเดือน คนที่เข้ามาใหม่ได้ หมื่นห้าถึง 2 หมื่น แต่เรายังคงได้เงินเดือนแค่ 1 หมื่นบาทเท่านั้น เราเลยเข้าไปคุณกับลุงเพื่อนคุณพ่อที่เป็นเจ้าของบริษัทเรื่องเงินเดือน แต่เขาตอบกลับมาว่าให้ช่วยทนไปก่อนนะ คนอื่นเขามีครอบครัวต้องดูแล แต่เราเป็นหลานลุง มีปัญหาด้านเงินมาคุยกันได้ตลอด วันนั้นเราคุยไปร้องไห้ไป เลยได้ทางออกแค่ต้องรอเท่านั้น
ทุกวันนี้รายได้หลักของครอบครัวคือเราค่ะ ทั้งค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เราเป็นคนจ่ายทั้งหมด เหลือเงินกินจริง ๆ ไม่ถึง 2 พันต่อเดือน แน่นอนว่าเงินเดือน 1 หมื่นมันไม่พออยู่แล้ว ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาเราก็ยังไม่ทิ้งงานเสริมค่ะ ยังคงรับงานพิสูจน์อักษรอยู่เรื่อย ๆ เพื่อเป็นรายได้เสริม และยังมีรายได้จากที่คุณแม่ไปทำงานมาช่วยรายจ่ายภายในบ้านอีกส่วนหนึ่ง แต่ในทุก ๆ เดือนเราไม่เคยเหลือเงินเก็บเลยค่ะ โชคดีที่บ้านไม่เราไม่ได้เป็นหนี้อะไร แต่ก็ไม่มีพอสำหรับเงินเก็บฉุกเฉินอยู่ดี ส่วนชีวิตการทำงานของเราตอนนี้ก็มีแต่ดิ่งลง เราได้รับคำสั่งให้ทำงานใหม่ ๆ โดยที่ไม่มีคนชี้ทางที่ถูกต้องให้ พอเราเดินผิดทางก็โดนต่อว่าจนตอนนี้สุขภาพจิตเราเริ่มแย่ กลางคืนเราไม่สามารถนอนได้อย่างสบายสักคืน หลับตาก็ฝันถึงงาน ตื่นมาก็ต้องคิดในทุกเช้าว่าวันนี้เราจะโดนด่าเรื่องอะไรบ้างนะ มีงานไหนที่ทำออกมาแล้วไม่ถูกใจเขาบ้างนะ เรากลัวที่จะคุยกับลุงมากขึ้น ยิ่งโดนด่าก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมากขี้น อะไรที่เคยแล้วมีความสุขก็ไม่มีความสุขอีกต่อไป จนตอนนี้เราหาสิ่งที่เรียกกว่าความสุขไม่เจอแล้ว เราเลยตัดสินใจหางานใหม่อีกครั้งค่ะ แต่ยิ่งหาเราก็ยิ่งพบกับความผิดหวัง ยื่นสมัครงานไปก็ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์ หรือถ้าโดนเรียกสัมภาษณ์ก็จะเจอคำถามอยู่หลายครั้งว่าเราไม่มีประสบการณ์ด้านงานที่ยื่นเลยจะทำไหวเหรอ สุดท้ายก็โดนปฏิเสธไป เราเริ่มคิดแล้วว่า หรือความจริงเราไม่มีความสามารถอะไรเลย ถ้าเราไม่ได้งานใหม่เราก็ออกจากงานที่ทำอยู่ไม่ได้เลย เพราะเงินที่มีพออยู่ได้แค่เดือนชนเดือน ตอนนี้เรามองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลยค่ะ