แชร์ประสบการณ์ขึ้นศาลแพ่ง ไฟแนนท์รถทิสโก้

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวพันธุ์ทิพย์

    พอดีได้เคยอ่าน หลายๆกระทู้ ตั้งคำถาม ประเด็นขึ้นศาล คดีเช่าซื้อรถ 
ขาดส่งงวด ผ่อนจ่าย หรือไม่มีรถคืน ต้องทำอย่างไร น่ากลัวไหม
วันนี้จะมาแชร์ให้ฟังค่ะ ซึ่งเราก็เป็นคนนึง ที่เคยขึ้นศาลแพ่ง มาหลายครั้ง 
บอกเลยว่าตอนแรกๆ ก็กลัว แต่คนเราต้องกล้ายอมรับความจริง ในเมื่อเราเป็นฝ่ายทำผิดสัญญา 
ไม่ชำระตามงวด ที่ตกลงกับเค้า พอถึงคราวที่เค้าฟ้อง เราก็ต้องมีหน้าที่ยอมรับ และไปตามนัดค่ะ

กรณีเช่าซื้อรถของเราครั้งนี้ ก่อนหน้าไฟแนนท์ได้ติดตามทวงถาม และมีการจะตามยึดรถ
แต่ความตั้งใจของเราคือ ไม่คืน จะด้วยเหตุผลใดๆ เราไม่คืนค่ะ เรามีสิทธิ์ ที่จะใช้รถต่อไป 
และมีสิทธิ์ต่อรอง ไม่ว่าไฟแนนท์จะข่มขู่อย่างไร เราก็ไม่กลัว และตัดสินใจไม่คืน และนำรถไปเก็บ หรือไปใช้ที่อื่น
โดยไม่ให้เค้าตามเจอ เพราะอะไรหรือคะ ก็เพราะว่า เราผ่อนมาเกินครึ่งสัญญาแล้ว
อีกอย่างถ้าคืน ก็เท่ากับว่า ความตั้งใจในการผ่อนชำระทั้งหมดสูญเปล่า เราเลยไม่คืน 
ซึ่งตอนแรก เรามีการค้างค่างวด 4 งวด และขอไฟแนนท์ว่าจะผ่อนบางส่วน แต่เค้าไม่ให้ บอกต้องจ่ายก้อน
เราก็จ่ายไม่ได้ และถ้าจ่ายบางส่วนไปแล้วนั้น มันก็ไม่ตัดเข้าระบบอยู่ดี เพราะเกิน 3 งวดมาแล้ว 
ยอดจะข้างในระบบ และยังคงมีการติดตามยึดรถอยู่ดี เราเลยตัดสินใจไม่จ่าย และรับรู้ในใจอยู่แล้ว
ว่าเค้าต้องฟ้อง เราเลยรอเวลาจนเค้าฟ้อง จากระยะเวลาที่เราค้างค่างวด มาจนถึงวันที่ได้รับหมาย รวมเวลาประมาณ 10 เดือน
ตรงนี้บอกไว้ก่อนนะคะ ถ้าใครตัดสินใจจะทำแบบนี้ คุณต้องแน่ใจว่า ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินใดๆ 
เช่น บ้าน ที่ดิน หรือรถคันอื่น เพราะเค้าสามารถฟ้องยึดทรัพย์ได้ทันที ถ้าเค้าตรวจพบค่ะ
และระยะเวลาจากวันที่ค้าง จนถึงวันที่ฟ้อง จะเป็นเวลาที่คุณต้องเก็บเงินก้อนบางส่วน เพราะหากรถคันนั้น ผ่อนไม่เกินครึ่งสัญญา
บางไฟแนนท์อาจจะเรียกเก็บเงินก้อนเป็นหลักแสนก็ได้ค่ะ ก่อนที่จะอนุญาตให้ผ่อนต่อ ดังนั้นคุณต้องเก็บเงินไว้ เพื่อขึ้นศาลค่ะ 
เอาไว้ต่อรองกับไฟแนนท์

จนพอเราได้รับหมาย จากวันรับหมาย จะมีเวลาที่ศาลนัด ประมาณ 1-2 เดือน แล้วแต่เคสนะคะอันนี้ วันนัดจะกำหนดในหมาย
ซึ่งเราจะเห็นยอดเงิน ที่ไฟแนนท์อยากฟ้องเรียกเก็บค่ะ ตรงนี้ให้เราไปศาลตามนัดนะคะ ไม่ต้องกลัว
ถ้าใครที่คืนรถไม่ได้ ด้วยกรณีใดก็ตาม แล้วคุณผ่อนเกินครึ่งสัญญาแล้ว ไฟแนนท์จะไม่เรียกทรัพย์คืนค่ะ แต่จะขอเรียกตัวเงินยอดค้างแทน
โดยในหมายจะเขียนว่า ให้คืนรถ หรือชดใช้ยอดหนี้คงค้าง แต่อาจจะมีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ 
เราต้องไปศาล และไปคุยกับทนายของแบ้งค์ค่ะ

ด้วยเหตุนี้ เราเลยไปศาลตามนัด และได้เจอกับทนายฝ่ายแบงค์ค่ะ โดยทนายจะถามเราว่า อยากใช้รถอยู่ไหม 
เราก็ตอบไปว่าขอใช้รถ แต่จะขอผ่อนจ่ายยอดค้าง ซึ่งอยากให้พิจารณาลดค่าเสียประโยชน์ หรือดอกเบี้ยบางอย่างออก
และทำผ่อนจ่ายรายเดือน อาจจะมากกว่ายอดเดิมก็ไม่เป็นไร
จากนั้นทนายจะถามว่า ถ้าผ่อนมากกว่าเดิม เพื่อให้สัญญาจบไว้ จะผ่อนเท่าไหร่ที่คิดว่าไหว 
เราก็แจ้งไปค่ะ ก็ตกลงกันด้วยดี และกำหนดเดือนที่เราสามารถเริ่มผ่อนชำระได้เลย 
จากนั้นทนายก็ขอนำเรื่องที่เราขอไว้ ไปขออนุมัติกับทางแบ้งค์ และนัดวันมาขึ้นศาล เพื่อฟังสรุปยอดกันอีกทีในเดือนถัดไปค่ะ

แต่การทำแบบนี้ ใช้ได้ในกรณีที่ไม่คืนรถนะคะ เหมือนเรายื่นข้อเสนอให้แบ้ง เราจะไม่มีสิทธิ์ ที่จะได้ผ่อนชำระต่อเดือนน้อยกว่า ยอดเดิมที่เคยชำระนะคะ
เพราะกรณี ที่จะชำระยอดน้อยๆได้ เราต้องคืนทรัพย์ และเหลือแค่เงินบางส่วน เราถึงจะมีสิทธิ์ต่อรอง
แต่กรณีของเรานี้ คือเราไม่คืน ในเมื่อไม่คืน ก็ไม่ต้องบอกเค้าว่า ทรัพย์ไปไหน ทรัพย์ยังอยู่ไหม หรือยังไง
บอกแค่ว่า ยินดีชดใช้ยอด แต่ขอประนอมหนี้ ด้วยการแบ่งจ่ายรายเดือนต่อไปค่ะแค่นั้น

ก็ฝากเพื่อนๆไว้ ว่าไม่ต้องกลัวการขึ้นศาลแพ่ง เพราะศาลแพ่ง เป็นการนัดไกล่เกลี่ย ในเรื่องทรัพย์ทุกกรณี 
เราสามารถพูดคุยกันได้ โดยจะไม่มีการจับกุม คุมขัง หรือติดคุกใดๆ ค่ะ แต่ถ้าไกล่เกลี่ยไม่ได้ ศาลจะนัดสืบพยานกันต่อไปแค่นั้นค่ะ
เราหวังว่า กระทู้นี้ จะช่วยให้ใครหลายๆ คนสบายใจ ในการไปศาลได้ 
แต่ไม่ได้อยากจะให้เป็นช่องทางของการทำผิด เพราะการมีหนี้นั้น ไม่น่าสบายใจเลย และการไม่ชำระหนี้ ก็เป็นบาปติดตัวค่ะ
ไม่ว่า ใครจะกู้หนี้ อะไรมา ก็ขอให้เจรจากัน และชำระคืน เพราะเจ้าหนี้ เค้าใจดีช่วยเหลือเรา เราก็อย่าผิดสัญญากับเค้าค่ะ
ถ้าจ่ายไม่ไหว อย่าหนี ให้ขอทำเรื่อง รีไฟแนนท์ หรือปรึกษา หาทางกัน
หากมีหนี้เสียในระบบแล้ว จะทำให้เครดิตบูโรเราติดแบล๊คลิส และไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆได้เลยในยามฉุกเฉินค่ะ 

ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่