วันที่ฟ้าเปิด The Movie 11

กระทู้คำถาม
“คุณธนิต” รวิดาอุทานด้วยสีหน้าแปลกใจ เธอไม่คาดคิดว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์จะเดินทางไกลมายังกองถ่ายในจังหวัดสตูล “คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ”

          “ผมขับรถมาครับ” ธนิตตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

          “จากกรุงเทพมาถึงที่นี่เกือบพันโล คุณไม่เหนื่อยแย่เลยหรือ”

          ธนิตยิ้มอย่างจริงใจให้กับรวิดาหนึ่งทีก่อนจะตอบ “ผมอยากจะเซอร์ไพรส์คุณน่ะครับ เลยไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้าด้วยว่าจะมา”

          รวิดายิ้มให้กับชายหนุ่มตรงหน้าของเธอ เพราะยังรู้สึกทึ่งที่ธนิตอุตส่าห์ขับรถมาไกลขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาทำงานในกองถ่ายเลย

          “คุณไม่น่าลำบากขับรถมาไกลขนาดนี้เลยนะคะ เรามีฉากที่จะถ่ายที่นี่กันไม่กี่ฉาก และก็คงจะรบกวนเวลางานของคุณด้วย” รวิดากล่าวอย่างเกรงใจ

          “ไม่เลยครับ พอดีว่าช่วงนี้บริษัทไม่ยุ่ง เลยอยากจะขับรถมาเที่ยวไกล ๆ สักหน่อย แล้วนึกขึ้นได้ว่าคุณจะต้องยกกองถ่ายมาที่นี่ ผมเลยติดต่อทีมงานเพื่อมาขอดูสถานที่” ธนิตจ้องมองดวงตาคู่หวานนั้นก่อนจะพูดต่อ “คนเขียนบทภาพยนตร์ก็อยากมาเห็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์บ้างสิครับ”

          “ฉันดีใจที่คุณมาค่ะ” รวิดายังคงตื้นตันกับความทุ่มเทของธนิต

          ติณณ์เดินตามหลังรวิดาเข้ามา เมื่อเขาเห็นธนิตจึงเอ่ยปากทักทาย

          “สวัสดีครับคุณธนิต” ติณณ์พูดพร้อมผงกศีรษะเล็กน้อยไปทางธนิต

          “สวัสดีครับผู้พัน” ธนิตพูดพร้อมยิ้มให้กับชายที่เริ่มทักเขาก่อน “เป็นอย่างไรบ้างครับ บรรยากาศในกองถ่ายภาพยนตร์”

          “ดีครับ ผมไม่เคยเห็นการถ่ายทำอะไรแบบนี้มาก่อน ว่าแต่คุณธนิตมาดูงานหรือครับ” ติณณ์ถาม

          ธนิตหันหน้าไปมองรวิดานิดหนึ่งหนึ่งก่อนจะตอบ “ช่วงนี้งานที่บริษัทไม่ค่อยมีด้วย เลยคิดว่าอยากจะมาเที่ยวในที่ไกล ๆ พอดีนึกได้ว่ากองถ่ายลงมาที่นี่พอดี เห็นว่าที่สตูลทะเลสวย” เขาพูดพร้อมหันดูบรรยากาศรอบข้างที่เป็นทะเล

          “จริงครับ ทะเลที่นี่สวย ผมจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ครับ หรือคุณอยากไปเที่ยวเกาะ”

          “เอาไว้หลังจากเสร็จงานกันก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมขอเดินดูรอบ ๆ นี่ก่อนละกัน” ธนิตกล่าวเลี่ยง ๆ และเดินออกไปจากจุดนั้นด้วยสีหน้าท่าทางปกติ

          รวิดาและติณณ์เดินดูโลเกชั่นชายหาด เธอยังเห็นเรือประมงขนาดกลางที่ทีมงานเตรียมไว้จอดทอดสมออยู่ห่างฝั่งไม่ไกลนัก ท่าทางของผู้กำกับที่กำลังชี้นิ้วอธิบายให้นายทหารนั้นถูกจับจ้องด้วยสายตาของธนิต

          ภาพความสนิทสนมนั้นทำให้ธนิตรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมากลางอก เมื่อนึกถึงช่วงเวลาหลายวันที่ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันในตอนที่ถ่ายภาพยนตร์อยู่ที่จันทบุรี สำหรับธนิตแล้วบางทีเขาก็คิดว่าอยากจะทำใจกับสิ่งที่เขาเห็น เขาไม่อยากอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

          “ฉันชอบเสียงคลื่นแบบนี้จังค่ะ”

รวิดาพูดในขณะยืนอยู่ชายหาดที่ลมทะเลพัดเอื่อย ๆ เข้าหาฝั่ง เสียงคลื่นลมซัดสาดเป็นจังหวะ ๆ สม่ำเสมอ รอยยิ้มงามสดใสบนใบหน้าของเธอทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเคลิ้ม

          “เวลาที่เราอยู่ในท้องของแม่ เราก็จะได้ยินเสียงคล้าย ๆ แบบนี้ครับ เป็นเสียงลมหายใจของแม่ เสียงหายใจเข้าก็จะเหมือนกับเสียงคลื่นกระทบเข้าหาฝั่ง เสียงหายใจออกก็เหมือนกับเสียงน้ำจากคลื่นไหลคืนกลับทะเลซึ่งฟังดูแผ่วเบากว่า” ติณณ์อธิบายความรู้สึกของเขา

          “ถ้าอย่างนั้นเสียงนี้ก็เป็นเสียงแรกที่เราได้ยินเลยนะคะ พอได้ยินอีกครั้งเลยทำให้ใจเราสงบ”

          “หากผมได้มีโอกาสมาทะเล ผมก็มักจะมานอนฟังเสียงคลื่น”

          ทั้งคู่หันมายิ้มให้กันพร้อมส่งสายตาซาบซึ้งในความหมาย บรรยากาศอันชื่นมื่นนี้คงจะดำเนินไปอีกสักพักตามที่ทั้งคู่คิด แต่ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเสียงพูดดังมาจากข้างหลังของทั้งรวิดาและติณณ์

           “แต่ผมว่าเสียงคลื่นทะเลยิ่งฟังไปนาน ๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความเศร้านะครับ”

          ทั้งรวิดาและติณณ์หันกลับมามองทางต้นเสียงก็เห็นธนิตยืนอยู่ตรงนั้น

          “เสียงคลื่นทะเลทำให้ความรู้สึกเศร้าของเราทวีคูณขึ้นนะครับ” ธนิตพูด

          ทั้งคู่ที่ยืนอยู่ก่อนแล้วต่างตะลึงกับคำพูดของธนิต แต่สักพักติณณ์ก็โต้ตอบกลับ

          “อ้าว... คุณธนิตนั่นเอง” ติณณ์ยิ้ม

          ธนิตยิ้มกลับ “เห็นคุณทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องคลื่นทะเลกันอยู่ น่าสนใจดีนะครับ”

          “ค่ะ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เราเห็นกัน ว่าแต่ทำไมเสียงคลื่นกลับทำให้คุณธนิตรู้สึกเศร้าใจได้คะ” รวิดาพูด

          ธนิตยังไม่ตอบทันที เขามองหน้าของหญิงสาวสักพักก่อนจะเฉลยคำตอบนั้นออกมา

          “ก็ไม่รู้สิครับ บางทีเสียงคลื่นทะเลอาจจะทำให้อารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในของตัวเรานั้นลุกโชนขึ้นมาเหมือนไฟที่ได้เชื้อเพลิงราดลงไปบนกองไฟ” ธนิตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

          รวิดาคิดทบทวนถึงคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของธนิต สีหน้าและน้ำเสียงรวมถึงความหมายของคำพูดนั้นแสดงออกมาถึงความหดหู่ใจที่เธอสัมผัสได้จากชายหนุ่มผู้มาใหม่นี้ ใจหนึ่งของเธอก็พลันเย็นยะเยือกรู้สึกสงสารและเห็นใจธนิตขึ้นมาทันที แม้ตัวเธอเองนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรกันที่ทำให้ธนิตรู้สึกเศร้าใจ

          หญิงสาวผู้ที่มีหัวใจอ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้อื่น เธอไม่ได้ไถ่ถามถึงความเศร้าโศกนั้น เธอได้แต่เพียงส่งสายตาแสดงความอาทรออกมาให้ชายหนุ่มที่ชื่อธนิต

          ธนิตเริ่มรู้สึกผิดที่ทำลายบรรยากาศ เขารีบพูด “พอดีผมกำลังจะไปทางนู้นครับ” เขาชี้มือสะเปะสะปะไปข้างหน้าบริเวณชายหาดที่ทอดยาว

          รวิดาจ้องมองธนิตเดินจากไปด้วยสายตาเห็นใจปนสงสาร เธอมองตามแผ่นหลังที่เพิ่งเดินจากไปนั้นเนิ่นนาน

          ติณณ์เห็นสายตาคู่นั้นก็พอจะทำให้เขาเดาความหมายของมันได้บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

          ธนิตเดินทางเรื่อยเปื่อยจนมาถึงบ้านบากันเคย ตำบลตันหยงโป เขาเลือกพักรีสอร์ทชุมชนหลังเล็ก ๆ กลางน้ำที่ดูเรียบง่ายและเงียบสงบ เขาพยายามใช้ความเงียบนี้ทำให้จิตใจที่คุกรุ่นของเขาสงบลง ธนิตทอดตัวลงบนแคร่ไม้ยาวนอกตัวบ้านเพื่อจะงีบหลับหยุดความคิดทั้งมวลของเขาในหัว แต่ทว่าเสียงคลื่นน้ำทะเลที่ต่างพากันซัดสาดเข้าหาฝั่งกลับทำให้ธนิตรู้สึกหัวใจว้าเหว่มากยิ่งขึ้น

          หากอยู่ในสภาพนี้ต่อไปธนิตรู้ตัวดีว่าน้ำในตาของเขาต้องไหลรินออกมาแน่ ๆ เขาเลือกที่จะเดินมายังจุดค้าขายที่มีทั้งของประดับของฝากจากท้องทะเล เปลือกหอยหลากหลายสีสันถูกเรียงร้อยห้อยแขวนด้วยเชือกเอ็นใส ธนิตมองดูของเหล่านั้นพลางทำให้คิดถึงว่าเปลือกหอยคือของฝากจากท้องทะเลอย่างแท้จริง เขาเลือกหยิบเปลือกหอยที่ถูกแต้มสีฟ้าสลับเหลืองและถูกเคลือบมันทับอีกชั้นหนึ่งขึ้นมา บางทีแล้วเขาคิดว่าอยากจะเก็บเรื่องราวร้าวลึกนั้นไว้ในเปลือกหอย  ไม่ให้ความเจ็บช้ำนั้นออกมาทำลายจิตใจอีก

          ธนิตจ่ายเงินและหยิบเปลือกหอยนั้นออกมาจากร้านค้าและเดินลัดเลาะตามทางเดินแคบ ๆ เขาเดินสวนกับกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่คละเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานตามประสาเพื่อนฝูง ธนิตเห็นการแต่งตัวของวัยรุ่นกลุ่มนั้น ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับในร่างกายของแต่ละคนก็รู้ว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กศิลป์ คงจะเรียนศิลปะไม่สายใดก็สายหนึ่ง วัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินรั้งท้ายกลุ่มหันมายิ้มให้กับธนิต ธนิตยิ้มตอบก่อนที่ทั้งสองคนนั้นจะเดินจากไป นั่นทำให้เขาได้สติว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาโศกเศร้านะ ต้องพยายามทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้

          ธนิตเดินมาถึงท่าเรือที่เป็นหาดยาว เรือหางยาวลำหนึ่งกำลังรอรับคนออกจากหาด ธนิตไปสอบถามกับคนขับเรือพอได้ความเขาก็กระโดดขึ้นเรือไปนั่งอยู่บนนั้น เรือแล่นออกจากฝั่ง ลมทะเลบวกกับความเร็วของเรือหางยาวและละอองน้ำที่สาดกระเซ็นเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเด็กเล็กที่ติดตามพ่อแม่พอทำให้เรือลำนี้ดูครึกครื้นขึ้นมาบ้าง เวลาผ่านไปสิบนาทีกว่า ๆ ธนิตมองตรงไปยังจุดหมายที่เรือกำลังล่องไป เขาเห็นเกาะสองเกาะที่อยู่ห่างกันไม่ไกลมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขาทึ่งคือระหว่างทั้งสองเกาะนี้มีสันแนวคลื่นแวววาวระยิบระยับกระทบแสงแดด

          คนขับเรืออธิบายว่านี่คือทะเลแหวกระหว่างเกาะหัวมันกับเกาะขาม แต่สิ่งที่ทำให้ทะเลแหวกของที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นเพราะเปลือกหอยนับล้านล้านตัวถูกพัดมาทับถมกันที่นี่จนเกิดเป็นสันทรายกลางทะเล ยามน้ำลงจะปรากฏทางเดินยาวกว่า 4 กิโลเมตรให้คนได้รู้สึกเหมือนเดินเรียบทะเลทั้งสองฝั่งซ้ายขวา

          ธนิตมาถึงยังเกาะในช่วงเวลาที่น้ำลงพอดี เขาเดินตรงไปยังสันแนวทางเดินยาวออกไปยังน้ำทะเลไกลลิบ ธนิตเดินทอดน่องบนเปลือกหอยก็รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนเกร็ดหลังมังกรที่เคี้ยวคด ก่อนธนิตเดินลงจากเรือก็ได้ยินเสียงเตือนจากคนขับเรือแล้วว่าให้เดินทั้งรองเท้าแตะ เพราะอาจเจ็บเท้าได้ แต่ธนิตรู้สึกคิดถูกที่ไม่ได้หยิบรองเท้าติดมือมาด้วย เพราะเขากลับรู้สึกว่าพอความเจ็บไปอยู่ที่เท้าแล้ว อาการเจ็บที่ใจจึงบรรเทาลงมาได้บ้างพอสมควร

          ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตรที่น้ำทะเลเปิดให้สามารถเดินทะลุไปยังอีกเกาะได้ นักท่องเที่ยวทยอยเดินตามกันห่าง ๆ ความรู้สึกของการเดินทะเลแหวกนี้ทำให้ธนิตเหมือนได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เขาเดินท่ามกลางความเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเดินอยู่บนท้องทะเลที่ไม่เห็นฝั่งและไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางจะอยู่ตรงไหน ความรู้สึกที่ต้องเดินคนเดียวกับความอ้างว้างโหวงเหวงใจอย่างไรก็ไม่สามารถบอกได้

          คงจะดีไม่น้อยที่หากจะมีใครมาเดินเคียงข้างกัน ความรู้สึกนั้นคงจะทำให้ความกลัวจากการมองไม่เห็นฝั่งนั้นดูเบาบางลงไปเมื่อเทียบกับความเดียวดาย และคงจะดีไม่น้อยที่ว่าหากใครคนนั้นคือรวิดา ธนิตน้ำตาซึมเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ชาด้านในจิตใจที่จะทำให้ไม่อยากเดินไปต่อหรือเดินหันหลังกลับ หากธนิตไม่สามารถสลัดความคำนึงตรงนี้ลงไปได้ คงจะทำให้เขาหมดอาลัยตายอยาก ธนิตคิดแบบนั้น

          เปลือกหอยโทนสีฟ้าถูกอุ้งมือของธนิตกำแน่น ชายหนุ่มผู้มีบาดแผลในใจกระชับมือให้คมของเปลือกหอยทิ่มแทงมาที่ทั่วทั้งมือของเขา ธนิตคงหวังว่าความรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือนั้นจะทำให้เขาลืมเลือนความผิดหวังลงไปได้บ้าง

          ตะวันเริ่มคล้อยลงจากยอดฟ้า น้ำทะเลเริ่มปริ่มขึ้นมาจากฝั่งทั้งสองข้างของสันทราย เป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นช่วงน้ำขึ้นแล้ว เจ้าของเรือได้เตือนนักท่องเที่ยวทุกคนว่าหากถึงเวลาน้ำขึ้นให้กลับขึ้นเรือทันที ธนิตกลับหลังหันและออกเดิน

          เมื่อเรือกลับมาถึงท่า ก็เป็นเวลาเย็นพอดี ลมทะเลยังคงพัดสบายไล่ความร้อนออกจากร่างกายได้ ธนิตเดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวพอมีบ้างบางตา เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงวันหยุด ธนิตเลือกเดินเข้าร้านอาหารทะเลที่เจ้าของร้านก็คือชาวบ้านละแวกนั้น เขาสั่งอาหารง่าย ๆ สำหรับทานคนเดียว เพราะเขามาคนเดียว เขาคงจะกินเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น ไม่ได้ต้องการความเอร็ดอร่อยจากรสชาติอาหารหรือความสดใหม่จากวัตถุดิบที่เพิ่งจับขึ้นมาได้จากทะเล

          ธนิตเขี่ยช้อนไปมาบนจานข้าวผัดทะเล สีหน้าของผู้ที่กำลังทานอาหารนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงรสชาติอาหารว่าเป็นอย่างไร เขาได้แต่นั่งดูบรรยากาศของท้องทะเลยามค่ำคืนที่เห็นแต่ความมืดดำของท้องฟ้าและน้ำทะเล แสงดาวระยิบระยับปราศจากเมฆบัง ธนิตชำเลืองเห็นโต๊ะถัดจากเขาไปเป็นกลุ่มวัยรุ่น 5 คนที่เดินสวนกับเขาไปเมื่อเขาเสร็จจากซื้อเปลือกหอย ชายหนุ่มผมยาวประบ่าสวมแว่นตากรอบหนาคนที่ส่งยิ้มทักทายให้ตอนนั้นทำท่าทางสนใจธนิตเป็นพิเศษ ไม่นานเด็กหนุ่มคนนั้นก็เดินมาที่โต๊ะพร้อมยกมือไหว้

          “สวัสดีครับ ใช่คุณธนิตหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มผมยาวถาม

          ธนิตรู้สึกแปลกใจที่เด็กวัยนี้รู้จักเขา เพราะปกติแล้วธนิตจะเป็นคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์ และคนที่รู้จักธนิตก็มีเพียงแค่คนที่ทำงานเบื้องหลังด้วยกันเท่านั้น แต่ธนิตก็ตอบรับไปก่อน

          “ใช่ครับ” ธนิตตอบยิ้ม ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่