พญางูหมู่บ้านกะเหรี่ยง โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน

เรื่อง :  พญางูหมู่บ้านกะเหรี่ยง
โดย  :  ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน
เรื่องสั้นชุดนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์มิให้นำไปเผยแพร่ในทุกช่องทางก่อนได้รับอณุญาต

พญางูหมู่บ้านกะเหรี่ยง
‘คำว่าซายอกาเซะแดมอร์นั้นแปลว่าไร...สัก...ที  เธอก็ทำเป็นบัดสี  หน้าแดงกล่ำ  คำว่าซีซะย์เป็นพันพรือ  ที่แหลงมาอย่างนั้น...เธอก็บอกตอบมาพลัน  เรารักสู....’   

เสียงเพลงลูกทุ่งสมัยใหม่แว่วมาจากกระท่อมหลังไม่เล็กไม่ใหญ่เกือบติดชายเขา  เจ้าของเป็นชายชราอายุอานามพอให้เส้นผมดำขลับด้วยการย้อมลวก ๆ ทว่าหนวดเคราเป็นสีดอกเลาประปราย  ข้างบ้านทางทิศเหนือมีดงกล้วยใหญ่ที่ถูกหักล้างถางวัชพืชอยู่เป็นประจำจนดูสะอาดตา  หลังบ้านเป็นกอไม้ไร่เรียงตัวจนสุดขอบรั้ว  

ในฤดูกาลอันเหมาะสม เจ้าของบ้านสามารถเก็บทั้งหน่อไม้และเห็ดไร่ที่ขึ้นตามโคนกอได้มากพอจะนำมาทำอาหาร   กระท่อมหลังนี้เป็นเรือนรักของพรานเมฆ  จอมพรานแห่งบ้านหนองคำดีและเมียทั้งสี่ที่ได้มาจากปักษ์ใต้  โดยไม่เสียเงินค่าสินสอดสักสลึงเดียว

ย้อนกลับไปราว ๆ ปีเศษ  ครั้งนั้นพรานเมฆได้รับการขอร้องจากหนุ่มเท่ง  เพื่อนรุ่นน้องของผู้ใหญ่ผุยเกลอแก้วว่าให้ช่วยไปปราบช้างเกเรที่เที่ยวไล่ฆ่าไล่เหยียบคนจนตาย  ซ้ำยังทำลายบ้านเรือนจนเอียงกระเท่เร่  

ที่ไปกันวันนั้นมีสี่คน  พรานเมฆ  ผู้ใหญ่ผุย  ไอ้มาดและไอ้สมคนสนิทของพ่อบ้าน  ซึ่งหนึ่งในนั้นกลายเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของพรานเมฆในเวลาต่อมา  ครั้งนั้นนอกจากชื่อเสียงอันโด่งดังและคำชมเชยที่ทั้งสี่ได้รับแล้ว  ผู้ใหญ่ผุยยังเอาดวงจิตนางตานีที่มัดด้วยคาถาตอนช่วยพรานเมฆก่อนใหลตายแล้วลืมปล่อยกลับมาด้วย 

แรกทีเดียวพรานเมฆอิดออดไม่ยอมท่าเดียว ด่าว่าผู้ใหญ่ผุยชนิดไม่เกรงใจผมหงอกที่มีเพียงครึ่งกบาล  บอกว่าให้หาทางจัดการเสียเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ผูกก็ต้องแก้  มิเช่นนั้นชีวิตที่เหลือคงถึงการวิบัติ  ไม่ใครก็ใครได้ใหลตายเข้าสักวัน  แม้ทั้งคู่จะพอมีวิชาติดตัว  ไม่สิ  เรียกว่าอาคมพอตัวเลยถึงจะถูก  แต่เรื่องนี้ดันไม่แก้กันเอง  จูงมือตบเท้าเข้าวัดหาหลวงตาจุ่นที่รั้งตำแหน่งสมภารเพื่อขอร้องให้ช่วย  ทว่า...

“หือ?...อือ...อือ...อ้อมันเป็นแบบนั้นหรอกรึ?   ออ...ฮ่ะ ๆ เอ้อ ๆ ได้ ๆ”    

หลังจากหลวงตารับเอาม้วนด้ายที่กักจิตตานีสาวทั้งสี่ไป  วางเอาไว้บนผ้ากราบหลับตาสนทนาทางจิตแล้วก็เอ้อ...อ้า...อยู่คนเดียวเป็นนานสองนาน  ที่สุดวาจาฟ้าประทานก็ผ่าเปรี้ยงลงกบาลพรานเมฆจนแทบเสียศูนย์

“นี่ตาเมฆ  เคยได้ยินคำว่ากรรมสัมพันธ์ไหม?”  

“คะ...เคยขอรับหลวงพ่อ”  พรานเมฆตอบเสียงขาดห้วงราวกับรู้ชะตาตนเอง

“เอ้อ  นั่นล่ะ  แม่นางทั้งสี่นี้ความจริงแล้วหาใช่ติดมาเพราะถูกผูกด้วยคาถาแล้วลืมปล่อย  แต่เป็นเพราะชะตาของโยมกับพวกนางน่ะต้องกัน  เป็นคู่กัน  หือ?  ไม่สิ  จะเรียกคู่ก็ไม่ถูก  ผัวหนึ่งเมียสี่ต้องเป็นคี่ล่ะเนาะ  จะว่ายังไงดี?...เอ...ดวงมันต้องอยู่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันน่ะนะ  เอ้า ๆ ขยับเข้ามานี่มา”

หลวงตาจุ่นบอกยิ้ม ๆ พร้อมหยิบเอาด้ายสายสิญจน์ที่ผูกเป็นปมไว้แล้วขึ้นมาหนึ่งเส้น  พอได้ระยะก็คว้ามือขวาของจอมพรานใจกล้ามาวางบนตัก รวบรัดผูกมัดข้อมือพร้อมอวยพรยกใหญ่โดยที่พรานเมฆได้แต่นั่ง-งง  เสร็จแล้วก็เอาด้ายอีกสี่เส้นขยุม ๆ กองรวมกันกับด้ายที่ผูกดวงจิตของแม่ตานีสี่สาวไว้ เป่าเสกพระเวทย์พระมนต์พร้อมอำนวยอวยชัย  ตบท้ายด้วยประโยคที่ใครได้ยินก็ต้องยิ้ม  

“อยู่กันดี ๆ ครองรักกันไปนาน ๆ จนกว่าจะตายจากกันนะ”

“ห๊ะ!?”  แต่ไม่ใช่กับพรานเมฆ  เจ้าตัวร้องลั่นเพราะอยู่ดี ๆ ก็ได้แต่งกับเมียผีถึงสี่ตน  

“เอาล่ะ ฉันผูกข้อต่อแขนให้แล้ว  ต่อไปโยมกับเมียทั้งสี่ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  กระจุกด้ายนี่ก็ขุดหลุมฝังใต้หน่อกล้วย  เท่านั้นก็จบเรื่อง  ไม่ต้องใส่ซองนะ  เป็นพระมาเกือบห้าสิบปีได้ผูกข้อมือให้คนกับผีแค่นี้ก็คุ้มแล้ว”   และนับแต่นั้น  พรานเมฆก็ได้ชื่อใหม่ว่าเมฆสี่เมีย  

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ต้นสายปลายเหตุ  ที่เหลือก็ลือไปต่าง ๆ นานา  บ้างก็ว่าพรานเมฆดอดไปมีเมียตามบ้านนั้นบ้านนี้แล้วไม่รับผิดชอบ   เรียกว่าแรก ๆ ชีวิตพรานเมฆทุกข์ระทมกับคำชมกึ่งค่อนแคะ  แต่พออยู่กินกันนานเข้า  ความรักความเข้าใจที่เกิดจากบุพเพก็ทำให้แกปลงตก  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ หาเมียเป็นคนวุ่นวาย มีเมียเป็นผีก็ดีเหมือนกัน   

กลับมาที่ปัจจุบัน เวลานี้เย็นย่ำ เสียงเพลงลูกทุ่งสมัยใหม่ที่ว่า  ต้นตอมาจากวิทยุธานินทร์ที่แขวนไว้กับเสาเรือน  พรานเมฆฮัมเพลงตามที่หูได้ยิน  นั่งยอง ๆ บนก้อม หรือเก้าอี้ไม้เตี้ย ๆ หน้าเตาไฟ มือก็สารวนอยู่กับการคนแกงไตปลาในหม้อ  ซึ่งสูตรสำเร็จที่เมื่อทำเสร็จแล้วแสนอร่อย  มาจากการอธิบายโดยสี่เมียผีตานีสาว  ไม่มีใครจะสามารถเห็นเหล่านวลนางสางกอกล้วยได้นอกจากแก  ผู้มีฐานะเป็นผัวโดยชอบธรรม

ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการปรุงอาหาร  จู่ ๆ วิทยุเจ้ากรรมเกิดเสียงซ่าเพราะคลื่นหาย  พรานเมฆถอนใจเพราะอาการเช่นนี้มักมาพร้อมกับความวุ่นวาย  เชื่อขนมเจ๊กกินได้ว่าอีกไม่กี่อึดใจ  ไม่ใครก็ใครต้องมาร้องเรียกแกที่หน้าบ้าน  ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ผุยเป็นแน่  ดังนั้นจึงจัดการปลงหม้อวางไว้กับพื้น  หันไปส่งสายตาเบื่อหน่ายให้กับภรรเมียทั้งสี่  ซึ่งเหล่าแม่นางก็เข้าใจ ยิ้มหวานปนเศร้าเป็นการบอกเล่าแทนคำพูดว่า  ‘ทำใจเถอะ มันเป็นหน้าที่ของพี่’
(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่