.
จิตแพทย์วัยกลางคน แอบพิจารณาคนไข้สาวอย่างพินิจพิเคราะห์ จนบางที อาจจะรู้สึกว่า เกินเลย แต่ไม่..
จิตแพทย์ อยากจะเอามือปิดปากของตัวเอง ไม่สิ...อยากตะครุบ ปาก ตัวเอง มากกว่า แต่ทำแบบนั้นจะสะกดเสียง ‘อยาก’ หัวเราะ ได้หรือไม่ เขาไม่รู้
อยากหัวเราะ...บอกกับตัวเอง...ข้าเป็นจิตแพทย์ รักษาคนป่วยทางจิต ว่าแต่มันผิดมากไหม ที่อยากจะบ้า ดูสักครั้ง แค่ทำอะไรบ้าบอ แต่...ไม่...จิตแพทย์สูดลมหายใจลึกยาว ย้ำ—ซ้ำ...บอกกับตัวเอง ว่า ข้า ยังไม่บ้า แต่มาคิดดูอีกที ก็แค่บ้า...มันจะอะไรกันนักกันหนา
สนใจคนไข้ดีกว่า
เราเป็นจิตแพทย์
เราเป็นจิตแพทย์
เราเป็นจิตแพทย์ โว้ย!
บอกย้ำ ตัวเอง จนมั่นใจ เพราะจิตแพทย์ ไม่ควรจะบ้า หรืออย่างน้อย ก็ไม่ควรเป็นแบบนั้น
เธอ อายุราวยี่สิบกว่าปี ตัวเล็กและค่อนข้างผอม เขาไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่า ‘สวย’ กับใบหน้าค่อนข้างจืดชืดนั่นได้หรือเปล่า แต่สิ่งเหล่านั้นถูกชดเชยด้วยแววฉลาด ทันคน ที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ หลังกรอบแว่น เธอดูมีบุคลิกดีกว่าคนไข้โดยทั่วไป ถ้าไม่เพราะท่าทางวิตกกังวลและหงุดหงิด อย่างที่เห็น เธอน่าจะยืนอยู่หน้าห้องเรียน มีนักศึกษานั่งฟังการบรรยายวิชาการตามมหาวิทยาลัยมากกว่า แล้วพูดคุยกันเกี่ยวกับโลกของกลศาสตร์ควอนตัม หรือไม่ก็เส้นสตริง ของจักรวาล
เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปกับการพูดคุยซักถาม ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าที่ควร การสนทนาวกไปเวียนมา จนหมอเองก็รู้สึกแปลกใจ นี่เขากำลังทำบ้าอะไรกันแน่ กับคนไข้แปลกจิต
“ตอนแรกดิฉันคิดว่ามันเป็นอาการของโรคขี้ลืมธรรมดา ถ้ามันเป็นโรคขี้ลืมจริง ๆ ดิฉันก็คงไม่ต้องมาจ่ายค่าปรึกษารายชั่วโมงแพงกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำทั้งวันอย่างนี้หรอก”
หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแฝงความลี้ลับ
นั่นไง….คุณหมอนึกในใจ หล่อนแขวะเขาให้แล้ว แต่ความเป็นจิตแพทย์ทำให้เขายิ้มอย่างใจเย็น เคาะดินสอเล่นกับโต๊ะอย่างปราศจากความหมาย พยายามวางสีหน้าให้รู้ว่าไม่ได้หวั่นไหวกับคำพูดของอีกฝ่าย
ก็แค่คนไข้
ก็แค่คนไข้
ก็แค่คนไข้ โว้ย....
คุณหมอเริ่มตกใจกับความคิดของตัวเอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ไม่...ข้าเป็นจิตแพทย์ ต้องไม่...
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านบังตามาจากหน้าต่าง นาฬิกาแขวนข้างผนังบอกว่าอีกไม่กี่นาที ก็จะถึงเวลาสี่โมงเย็น วันนี้บังเอิญเขามีนัดพิเศษกับครอบครัว อันประกอบด้วย ยายแก่ขี้บ่นสามัญประจำบ้าน กับลูกชายวัยแปดขวบและลูกสาววัยหกขวบ ผู้เกิดมาเป็นพยานในการทนเซ้าซี้อยู่ด้วยกันมาจนครบสิบปีที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง
นรกใช่ไหม..ไม่...ก็แค่ครอบครัว
คุณหมอสั่นศีรษะไม่คิดชีวิต เหมือนจะ ขับไล่ บางอย่าง ให้หลุดกระเด็น ออกไปจากชีวิตและหัวสมอง
“คุณบอกว่า คุณเริ่มมีอาการเมื่อคราวที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น”
ในที่สุด...เขาถาม ไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนไข้ เธอคนนั้นยิ้มเล็กน้อย แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย
“ค่ะ…มันเป็นอุบัติเหตุค่อนข้างร้ายแรง มีคนเสียชีวิตไปเกือบสิบคน ไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ทำให้ดิฉันรอดชีวิตมาได้”
“ใช่ครับ....ผมเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์และจากทีวีด้วย แต่ว่า..เอ…ถ้าจำไม่ผิดนะ ผมว่าครั้งนั้นมีคนตายเกือบร้อยคนเชียวนา รถไฟสองขบวนประสานงากันจนเละ ข่าวใหญ่อย่างนี้ ผมว่าผมจำไม่ผิด”
“ใช่..” คนไข้สาวพยักหน้า “จำนวนคนเสียชีวิตมันเปลี่ยนไป ดิฉันเพิ่งนึกได้ตอนหลังว่าความจริงมีคนเสียชีวิตเกือบร้อย การที่เราจะนึกอะไรได้ บางทีต้องมีสิ่งมากระตุ้น….คงจะเหมือนคนฝันร้าย แล้วตกใจกลัวจนตื่นขึ้นจากความฝันแล้วนึกได้ว่ามันเป็นแค่ความฝันอย่างนั้นแหละค่ะ"
“นึกได้…” จิตแพทย์จ้องหน้าคนไข้แบบหยั่งเชิง เธอใช้คำนี้หลายครั้งอย่างจงใจ
“คุณใช้คำว่านึกได้..!!”
“ก็อย่างที่บอกคุณหมอ..ดิฉันไม่ใช่เป็นโรคขี้ลืม เพราะดิฉันจำจำนวนผู้ที่เสียชีวิตได้ชัดเจนทั้งสองตอน ตอนที่นึกไม่ได้และตอนที่นึกได้”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน..”
“ก็ตรงที่ว่าตอนไหนมัน คือความจริงกันแน่นะสิคะ…”
หญิงสาวพูดเสียงดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกน แต่เมื่อรู้ตัวเธอก็ลดระดับเสียงลงมาจนเกือบเป็นกระซิบ
“หรือไม่เป็นความจริงทั้งสองตอน และอาจเป็นจริงได้ทั้งสองตอนเช่นกัน คุณหมอลองนึกดูนะคะว่า ถ้าดิฉันเกิดนึกขึ้นได้อีกว่าความจริงแล้วมีผู้เสียชีวิตเกือบสองร้อยคนต่างหาก มันจะเป็นอย่างไร”
“ความจริงก็คือมีคนเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นเกือบร้อยคน นั่นแหละคือความจริง” คุณหมอตอบอย่างระมัดระวัง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น
“ความจริงของใครคะ” เธอย้อนถาม น้ำเสียงมีแววมั่นใจ
“ก็ของโลกแห่งความเป็นจริงไง” หมอตอบอย่างอดทน เสียงเกือบกลายเป็นตะโกน ใจสั่น เหลือบมองนาฬิกา
“โลกแห่งความเป็นจริง..”
หญิงสาวทวนคำด้วยเสียงมีแววเยาะเย้ยอยู่นิด ๆ
“คุณหมอบอกได้หรือว่าตอนไหนคือโลกแห่งความเป็นจริง แล้วเอาอะไรเป็นเกณฑ์ ตัวหมอเองหรือว่าใครหรืออะไร ไม่ว่าจะเป็นหลักของศาสนาว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งมีการเกิดการดับต่อเนื่องกันไป ถ้าเราไปยึดติดว่านั่นคือตัวเรา คือของเราก็หมายถึงการกำลังติดกับความหลง หรือสิ่งลวงเท่านั้น ดิฉันไม่อยากจะบอกว่า ตอนแรกที่เข้ามาในห้องนี้ คุณหมอใส่เสื้อสีขาวนะคะ ใช่...เสื้อมีขาว....แต่เพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี่เองว่าคุณหมอ ใส่เสื้อสีน้ำเงิน”
จิตแพทย์ ก้มลงมองเสื้อตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วเงยหน้าบอกอย่างแน่ใจ
“ผมใส่เสื้อสีน้ำเงิน ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
“ไม่แน่นะคะ ถ้าเกิดคุณบังเอิญนึกขึ้นได้ว่า ความจริงแล้วคุณใส่ เสื้อสีดำต่างหาก ไม่ใช่สีน้ำเงิน”
บ้า... คุณหมอคำรามในใจ แต่ยังมีสติพอจะไม่ส่งออกทางสีหน้าท่าทาง
“นึกขึ้นได้…นึกขึ้นได้ คุณใช้คำนี้บ่อยเหลือเกิน”
คุณหมอขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิดแล้วก็รู้สึกผิด การใช้อารมณ์กับคนไข้ไม่ใช่สิ่งสมควรทำแต่วันนี้ดูมีอะไรแปลกพิกลอยู่หลายอย่าง ยิ่งคำพูดคำอธิบายทฤษฎีต่าง ๆ ที่หล่อนยกมาอ้างมันก็เป็นเรื่องคนธรรมดาทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา และสิ่งนั้นคล้ายมาจากคนไข้สาวเบื้องหน้า หรือมันจะเป็นโรคติดต่อทางความคิด อย่างหนึ่ง
“ฟังให้ดีนะคะ....ดิฉันกำลังพยายามที่จะบอกคุณหมอว่า เพราะคำว่า นึกได้ นี่แหละที่สร้างปัญหาให้กับดิฉันถ้าเพียงแต่ดิฉัน..นึกไม่ได้เท่านั้น ชีวิตก็จะเป็นปกติสุข เหมือนคนอื่นที่พวกเขานึกไม่ได้ ถ้า…เพียงแต่อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่เกิดขึ้น ดิฉันคงนึกขึ้นมาไม่ได้หรอก มันเหมือนคนเพิ่งตกใจตื่นจากฝันร้ายอย่างนั้นแหละค่ะ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนระหว่างการนึกขึ้นได้ กับนึกไม่ได้”
“คุณหมอฟังให้ดีนะคะ" หญิงสาวชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ สายตาผ่านกรอบแว่นเป็นจริงเป็นจังเต็มไปด้วยความฉลาด มากกว่าคนที่มีอาการป่วยทางจิต
“สมมุติว่าคุณหมอกำลังนอนสบายอยู่บนเตียงราคาแพงในบ้านสวยหรูรอบล้อมด้วยบริวาร ชีวิตเปี่ยมสุขราวความฝันแล้วจู่ ๆ มีอะไรบางอย่างทำให้หมอนึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วคุณหมอเป็นขอทานข้างถนนต่างหาก คุณหมอสะดุ้งตื่นจากความฝันมาสู่ความจริงที่เป็นเพียงขอทานข้างถนน อย่างนี้คุณหมอทำใจได้หรือเปล่าล่ะคะ ถ้านึกขึ้นได้ในทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้านึกขึ้นได้ในทางเลวร้ายมันจะเป็นอย่างไรก็พอจะเดาได้ใช่ไหมค่ะ หรือจะอธิบายง่าย ๆ ในช่วงเวลาที่คุณหมอกำลังนอนฝันอยู่ คุณหมอก็จะคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในความฝันมันเป็นความจริง คุณหมอจะดีใจ เสียใจไปกับความฝันราวกับว่ามันเป็นจริง ทุกสิ่งที่ปรากฏในความฝันอย่างน้อยมันก็เหมือนเป็นจริงซึ่งปฏิเสธไม่ได้ แต่เมื่อคุณหมอตื่นขึ้น โลกแห่งความฝันสูญสลายไป คุณหมอกลับมาสู่โลกที่นึกว่าเป็นความจริงแห่งความเป็นจริงถึงนึกได้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝันใช่ไหมคะ..”
“ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ..” คุณหมอคราง รู้สึกประสาทเสีย จนจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง
“เริ่มจากช่วงกำลังฝันใหม่นะคะ….สมมุติว่าคุณหมอฝันว่ากำลังจูงหมาเดินเล่นอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน…หมา สนามบ้าน และสรรพสิ่งในความฝันคุณหมอจะปฏิเสธมันได้หรือคะ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่มีจริง หมาที่สัมผัสได้ สนามหญ้าที่คุณหมอสามารถลงไปนอนเกลือกกลิ้งได้ เราจะปฏิเสธความมีของมันได้อย่างไรกัน มันมีเพราะเราเชื่อว่ามันมี เราเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นเองไม่ใช่หรือคะ มันคงจะไม่เกินเลยไปในการจะบอกว่าเราสามารถสร้างสรรพสิ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงาน อวกาศหรือแม้แต่กาลเวลา และเราก็สามารถทำลายมันทั้งหมดได้เช่นกัน”
“เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณแน่ใจในทฤษฎีแห่งความไม่จริงหรือความลวงอะไรนั่น แล้วปัญหาจริง ๆ ของคุณคืออะไร อย่าบอกนะว่าคุณรู้ทันสิ่งลวงเหล่านั้นและกำลังจะนิพพาน”
พูดจบคุณหมอก็เกือบปล่อยก้ากให้กับคำพูดประโยคหลังของตัวเองทั้งที่ไม่อยู่ในอารมณ์จะหัวเราะ
ตูอยากจะบ้า......
บ้า
บ้า
ให้ตาย คุณหมอเริ่มประสาทเสีย
“นี่คุณหมอยังนึกไม่ออกหรือคะ…ถ้านึกได้ในสิ่งดีมันก็ดีไป…แต่ปัญหาคือถ้านึกได้ในสิ่งที่มันเลวร้ายลงไปเรื่อย และอาการนึกได้ มันถี่มากขึ้นจนเหมือนคนฝันร้ายซ้ำซ้อน ดิฉันต้องการเพียงไม่อยากนึกอะไรขึ้นมาได้เท่านั้น ใช่...ไม่อยากนึกได้...และต้องการให้คุณหมอฟังและเข้าใจ การรู้ทันสภาพแห่งความไม่จริง ไม่ได้หมายความว่าเราจะปฏิเสธมัน ตรงกันข้าม ดิฉันต้องการที่จะอยู่กับมันอย่างธรรมดา คุณต้องเข้าใจในเรื่องนี้”
“ทำไมผมต้องเข้าใจด้วย”
“เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอาการไงคะ เพียงแต่คุณหมอเข้าใจ อาการของดิฉันก็จะเป็นปกติ…ถ้าจะคิดตามทฤษฎีสนามของจิตปรวนแปรไปตามการรบกวน…….”
เขายกมือกุมขมับ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ปรากฏบริเวณปลายจมูกในขณะว่ารู้สึกมือเย็นเฉียบ เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล กลัวแนวความคิดของเธอ หรือกลัวที่จะเข้าใจกันแน่ ทำไมเขาต้องมานั่งเสียเวลากับคนบ้าด้วยนะ
เงยหน้ามองนาฬิกา ขอบคุณพระเจ้า...มันเพิ่งจะชี้บอกเวลาบ่ายสองโมง ยังมีเวลาอีกมากก่อนถึงงานเลี้ยงตอนเย็น แต่เขากำลังรู้สึกเหนื่อยมึนงงและสับสน
“คุณหมอดูไม่ค่อยสบายนะคะ”
“ไม่เป็นไร…” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ ทั้งที่อากาศในห้องเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ ใบหน้าหลังกรอบแว่นของคนไข้สาวเพิ่งรู้สึกว่าคล้ายเห็นจากที่ไหนมาก่อน เขาหลับตาพยายามเคี่ยวเข็ญความจำของตนเองเต็มที่ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะขนลุกเกรียวอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมนึกออกแล้ว “ หมอเผลอตัวตะโกนเสียงดัง
"คุณคือคนที่เขียนหนังสือ ‘ทฤษฎีสตริงแห่งความฝัน’ และยังมีหนังสือ “ ปรสิตทางความคิด” นี่เอง ผมมีหนังสือของคุณทุกเล่มเลย ทำไมผมถึงเพิ่งจำได้นะ”
“นึกได้แล้วหรือคะ”
หลอน.....ลวง ....หลอก.....หลุดมิติ ตอนเดียวจบ
.
จิตแพทย์วัยกลางคน แอบพิจารณาคนไข้สาวอย่างพินิจพิเคราะห์ จนบางที อาจจะรู้สึกว่า เกินเลย แต่ไม่..
จิตแพทย์ อยากจะเอามือปิดปากของตัวเอง ไม่สิ...อยากตะครุบ ปาก ตัวเอง มากกว่า แต่ทำแบบนั้นจะสะกดเสียง ‘อยาก’ หัวเราะ ได้หรือไม่ เขาไม่รู้
อยากหัวเราะ...บอกกับตัวเอง...ข้าเป็นจิตแพทย์ รักษาคนป่วยทางจิต ว่าแต่มันผิดมากไหม ที่อยากจะบ้า ดูสักครั้ง แค่ทำอะไรบ้าบอ แต่...ไม่...จิตแพทย์สูดลมหายใจลึกยาว ย้ำ—ซ้ำ...บอกกับตัวเอง ว่า ข้า ยังไม่บ้า แต่มาคิดดูอีกที ก็แค่บ้า...มันจะอะไรกันนักกันหนา
สนใจคนไข้ดีกว่า
เราเป็นจิตแพทย์
เราเป็นจิตแพทย์
เราเป็นจิตแพทย์ โว้ย!
บอกย้ำ ตัวเอง จนมั่นใจ เพราะจิตแพทย์ ไม่ควรจะบ้า หรืออย่างน้อย ก็ไม่ควรเป็นแบบนั้น
เธอ อายุราวยี่สิบกว่าปี ตัวเล็กและค่อนข้างผอม เขาไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่า ‘สวย’ กับใบหน้าค่อนข้างจืดชืดนั่นได้หรือเปล่า แต่สิ่งเหล่านั้นถูกชดเชยด้วยแววฉลาด ทันคน ที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ หลังกรอบแว่น เธอดูมีบุคลิกดีกว่าคนไข้โดยทั่วไป ถ้าไม่เพราะท่าทางวิตกกังวลและหงุดหงิด อย่างที่เห็น เธอน่าจะยืนอยู่หน้าห้องเรียน มีนักศึกษานั่งฟังการบรรยายวิชาการตามมหาวิทยาลัยมากกว่า แล้วพูดคุยกันเกี่ยวกับโลกของกลศาสตร์ควอนตัม หรือไม่ก็เส้นสตริง ของจักรวาล
เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปกับการพูดคุยซักถาม ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าที่ควร การสนทนาวกไปเวียนมา จนหมอเองก็รู้สึกแปลกใจ นี่เขากำลังทำบ้าอะไรกันแน่ กับคนไข้แปลกจิต
“ตอนแรกดิฉันคิดว่ามันเป็นอาการของโรคขี้ลืมธรรมดา ถ้ามันเป็นโรคขี้ลืมจริง ๆ ดิฉันก็คงไม่ต้องมาจ่ายค่าปรึกษารายชั่วโมงแพงกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำทั้งวันอย่างนี้หรอก”
หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแฝงความลี้ลับ
นั่นไง….คุณหมอนึกในใจ หล่อนแขวะเขาให้แล้ว แต่ความเป็นจิตแพทย์ทำให้เขายิ้มอย่างใจเย็น เคาะดินสอเล่นกับโต๊ะอย่างปราศจากความหมาย พยายามวางสีหน้าให้รู้ว่าไม่ได้หวั่นไหวกับคำพูดของอีกฝ่าย
ก็แค่คนไข้
ก็แค่คนไข้
ก็แค่คนไข้ โว้ย....
คุณหมอเริ่มตกใจกับความคิดของตัวเอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ไม่...ข้าเป็นจิตแพทย์ ต้องไม่...
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านบังตามาจากหน้าต่าง นาฬิกาแขวนข้างผนังบอกว่าอีกไม่กี่นาที ก็จะถึงเวลาสี่โมงเย็น วันนี้บังเอิญเขามีนัดพิเศษกับครอบครัว อันประกอบด้วย ยายแก่ขี้บ่นสามัญประจำบ้าน กับลูกชายวัยแปดขวบและลูกสาววัยหกขวบ ผู้เกิดมาเป็นพยานในการทนเซ้าซี้อยู่ด้วยกันมาจนครบสิบปีที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง
นรกใช่ไหม..ไม่...ก็แค่ครอบครัว
คุณหมอสั่นศีรษะไม่คิดชีวิต เหมือนจะ ขับไล่ บางอย่าง ให้หลุดกระเด็น ออกไปจากชีวิตและหัวสมอง
“คุณบอกว่า คุณเริ่มมีอาการเมื่อคราวที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น”
ในที่สุด...เขาถาม ไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนไข้ เธอคนนั้นยิ้มเล็กน้อย แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย
“ค่ะ…มันเป็นอุบัติเหตุค่อนข้างร้ายแรง มีคนเสียชีวิตไปเกือบสิบคน ไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ทำให้ดิฉันรอดชีวิตมาได้”
“ใช่ครับ....ผมเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์และจากทีวีด้วย แต่ว่า..เอ…ถ้าจำไม่ผิดนะ ผมว่าครั้งนั้นมีคนตายเกือบร้อยคนเชียวนา รถไฟสองขบวนประสานงากันจนเละ ข่าวใหญ่อย่างนี้ ผมว่าผมจำไม่ผิด”
“ใช่..” คนไข้สาวพยักหน้า “จำนวนคนเสียชีวิตมันเปลี่ยนไป ดิฉันเพิ่งนึกได้ตอนหลังว่าความจริงมีคนเสียชีวิตเกือบร้อย การที่เราจะนึกอะไรได้ บางทีต้องมีสิ่งมากระตุ้น….คงจะเหมือนคนฝันร้าย แล้วตกใจกลัวจนตื่นขึ้นจากความฝันแล้วนึกได้ว่ามันเป็นแค่ความฝันอย่างนั้นแหละค่ะ"
“นึกได้…” จิตแพทย์จ้องหน้าคนไข้แบบหยั่งเชิง เธอใช้คำนี้หลายครั้งอย่างจงใจ
“คุณใช้คำว่านึกได้..!!”
“ก็อย่างที่บอกคุณหมอ..ดิฉันไม่ใช่เป็นโรคขี้ลืม เพราะดิฉันจำจำนวนผู้ที่เสียชีวิตได้ชัดเจนทั้งสองตอน ตอนที่นึกไม่ได้และตอนที่นึกได้”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน..”
“ก็ตรงที่ว่าตอนไหนมัน คือความจริงกันแน่นะสิคะ…”
หญิงสาวพูดเสียงดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกน แต่เมื่อรู้ตัวเธอก็ลดระดับเสียงลงมาจนเกือบเป็นกระซิบ
“หรือไม่เป็นความจริงทั้งสองตอน และอาจเป็นจริงได้ทั้งสองตอนเช่นกัน คุณหมอลองนึกดูนะคะว่า ถ้าดิฉันเกิดนึกขึ้นได้อีกว่าความจริงแล้วมีผู้เสียชีวิตเกือบสองร้อยคนต่างหาก มันจะเป็นอย่างไร”
“ความจริงก็คือมีคนเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นเกือบร้อยคน นั่นแหละคือความจริง” คุณหมอตอบอย่างระมัดระวัง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น
“ความจริงของใครคะ” เธอย้อนถาม น้ำเสียงมีแววมั่นใจ
“ก็ของโลกแห่งความเป็นจริงไง” หมอตอบอย่างอดทน เสียงเกือบกลายเป็นตะโกน ใจสั่น เหลือบมองนาฬิกา
“โลกแห่งความเป็นจริง..”
หญิงสาวทวนคำด้วยเสียงมีแววเยาะเย้ยอยู่นิด ๆ
“คุณหมอบอกได้หรือว่าตอนไหนคือโลกแห่งความเป็นจริง แล้วเอาอะไรเป็นเกณฑ์ ตัวหมอเองหรือว่าใครหรืออะไร ไม่ว่าจะเป็นหลักของศาสนาว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งมีการเกิดการดับต่อเนื่องกันไป ถ้าเราไปยึดติดว่านั่นคือตัวเรา คือของเราก็หมายถึงการกำลังติดกับความหลง หรือสิ่งลวงเท่านั้น ดิฉันไม่อยากจะบอกว่า ตอนแรกที่เข้ามาในห้องนี้ คุณหมอใส่เสื้อสีขาวนะคะ ใช่...เสื้อมีขาว....แต่เพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี่เองว่าคุณหมอ ใส่เสื้อสีน้ำเงิน”
จิตแพทย์ ก้มลงมองเสื้อตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วเงยหน้าบอกอย่างแน่ใจ
“ผมใส่เสื้อสีน้ำเงิน ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
“ไม่แน่นะคะ ถ้าเกิดคุณบังเอิญนึกขึ้นได้ว่า ความจริงแล้วคุณใส่ เสื้อสีดำต่างหาก ไม่ใช่สีน้ำเงิน”
บ้า... คุณหมอคำรามในใจ แต่ยังมีสติพอจะไม่ส่งออกทางสีหน้าท่าทาง
“นึกขึ้นได้…นึกขึ้นได้ คุณใช้คำนี้บ่อยเหลือเกิน”
คุณหมอขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิดแล้วก็รู้สึกผิด การใช้อารมณ์กับคนไข้ไม่ใช่สิ่งสมควรทำแต่วันนี้ดูมีอะไรแปลกพิกลอยู่หลายอย่าง ยิ่งคำพูดคำอธิบายทฤษฎีต่าง ๆ ที่หล่อนยกมาอ้างมันก็เป็นเรื่องคนธรรมดาทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา และสิ่งนั้นคล้ายมาจากคนไข้สาวเบื้องหน้า หรือมันจะเป็นโรคติดต่อทางความคิด อย่างหนึ่ง
“ฟังให้ดีนะคะ....ดิฉันกำลังพยายามที่จะบอกคุณหมอว่า เพราะคำว่า นึกได้ นี่แหละที่สร้างปัญหาให้กับดิฉันถ้าเพียงแต่ดิฉัน..นึกไม่ได้เท่านั้น ชีวิตก็จะเป็นปกติสุข เหมือนคนอื่นที่พวกเขานึกไม่ได้ ถ้า…เพียงแต่อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่เกิดขึ้น ดิฉันคงนึกขึ้นมาไม่ได้หรอก มันเหมือนคนเพิ่งตกใจตื่นจากฝันร้ายอย่างนั้นแหละค่ะ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนระหว่างการนึกขึ้นได้ กับนึกไม่ได้”
“คุณหมอฟังให้ดีนะคะ" หญิงสาวชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ สายตาผ่านกรอบแว่นเป็นจริงเป็นจังเต็มไปด้วยความฉลาด มากกว่าคนที่มีอาการป่วยทางจิต
“สมมุติว่าคุณหมอกำลังนอนสบายอยู่บนเตียงราคาแพงในบ้านสวยหรูรอบล้อมด้วยบริวาร ชีวิตเปี่ยมสุขราวความฝันแล้วจู่ ๆ มีอะไรบางอย่างทำให้หมอนึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วคุณหมอเป็นขอทานข้างถนนต่างหาก คุณหมอสะดุ้งตื่นจากความฝันมาสู่ความจริงที่เป็นเพียงขอทานข้างถนน อย่างนี้คุณหมอทำใจได้หรือเปล่าล่ะคะ ถ้านึกขึ้นได้ในทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้านึกขึ้นได้ในทางเลวร้ายมันจะเป็นอย่างไรก็พอจะเดาได้ใช่ไหมค่ะ หรือจะอธิบายง่าย ๆ ในช่วงเวลาที่คุณหมอกำลังนอนฝันอยู่ คุณหมอก็จะคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในความฝันมันเป็นความจริง คุณหมอจะดีใจ เสียใจไปกับความฝันราวกับว่ามันเป็นจริง ทุกสิ่งที่ปรากฏในความฝันอย่างน้อยมันก็เหมือนเป็นจริงซึ่งปฏิเสธไม่ได้ แต่เมื่อคุณหมอตื่นขึ้น โลกแห่งความฝันสูญสลายไป คุณหมอกลับมาสู่โลกที่นึกว่าเป็นความจริงแห่งความเป็นจริงถึงนึกได้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝันใช่ไหมคะ..”
“ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ..” คุณหมอคราง รู้สึกประสาทเสีย จนจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง
“เริ่มจากช่วงกำลังฝันใหม่นะคะ….สมมุติว่าคุณหมอฝันว่ากำลังจูงหมาเดินเล่นอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน…หมา สนามบ้าน และสรรพสิ่งในความฝันคุณหมอจะปฏิเสธมันได้หรือคะ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่มีจริง หมาที่สัมผัสได้ สนามหญ้าที่คุณหมอสามารถลงไปนอนเกลือกกลิ้งได้ เราจะปฏิเสธความมีของมันได้อย่างไรกัน มันมีเพราะเราเชื่อว่ามันมี เราเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นเองไม่ใช่หรือคะ มันคงจะไม่เกินเลยไปในการจะบอกว่าเราสามารถสร้างสรรพสิ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงาน อวกาศหรือแม้แต่กาลเวลา และเราก็สามารถทำลายมันทั้งหมดได้เช่นกัน”
“เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณแน่ใจในทฤษฎีแห่งความไม่จริงหรือความลวงอะไรนั่น แล้วปัญหาจริง ๆ ของคุณคืออะไร อย่าบอกนะว่าคุณรู้ทันสิ่งลวงเหล่านั้นและกำลังจะนิพพาน”
พูดจบคุณหมอก็เกือบปล่อยก้ากให้กับคำพูดประโยคหลังของตัวเองทั้งที่ไม่อยู่ในอารมณ์จะหัวเราะ
ตูอยากจะบ้า......
บ้า
บ้า
ให้ตาย คุณหมอเริ่มประสาทเสีย
“นี่คุณหมอยังนึกไม่ออกหรือคะ…ถ้านึกได้ในสิ่งดีมันก็ดีไป…แต่ปัญหาคือถ้านึกได้ในสิ่งที่มันเลวร้ายลงไปเรื่อย และอาการนึกได้ มันถี่มากขึ้นจนเหมือนคนฝันร้ายซ้ำซ้อน ดิฉันต้องการเพียงไม่อยากนึกอะไรขึ้นมาได้เท่านั้น ใช่...ไม่อยากนึกได้...และต้องการให้คุณหมอฟังและเข้าใจ การรู้ทันสภาพแห่งความไม่จริง ไม่ได้หมายความว่าเราจะปฏิเสธมัน ตรงกันข้าม ดิฉันต้องการที่จะอยู่กับมันอย่างธรรมดา คุณต้องเข้าใจในเรื่องนี้”
“ทำไมผมต้องเข้าใจด้วย”
“เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอาการไงคะ เพียงแต่คุณหมอเข้าใจ อาการของดิฉันก็จะเป็นปกติ…ถ้าจะคิดตามทฤษฎีสนามของจิตปรวนแปรไปตามการรบกวน…….”
เขายกมือกุมขมับ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ปรากฏบริเวณปลายจมูกในขณะว่ารู้สึกมือเย็นเฉียบ เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล กลัวแนวความคิดของเธอ หรือกลัวที่จะเข้าใจกันแน่ ทำไมเขาต้องมานั่งเสียเวลากับคนบ้าด้วยนะ
เงยหน้ามองนาฬิกา ขอบคุณพระเจ้า...มันเพิ่งจะชี้บอกเวลาบ่ายสองโมง ยังมีเวลาอีกมากก่อนถึงงานเลี้ยงตอนเย็น แต่เขากำลังรู้สึกเหนื่อยมึนงงและสับสน
“คุณหมอดูไม่ค่อยสบายนะคะ”
“ไม่เป็นไร…” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ ทั้งที่อากาศในห้องเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ ใบหน้าหลังกรอบแว่นของคนไข้สาวเพิ่งรู้สึกว่าคล้ายเห็นจากที่ไหนมาก่อน เขาหลับตาพยายามเคี่ยวเข็ญความจำของตนเองเต็มที่ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะขนลุกเกรียวอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมนึกออกแล้ว “ หมอเผลอตัวตะโกนเสียงดัง
"คุณคือคนที่เขียนหนังสือ ‘ทฤษฎีสตริงแห่งความฝัน’ และยังมีหนังสือ “ ปรสิตทางความคิด” นี่เอง ผมมีหนังสือของคุณทุกเล่มเลย ทำไมผมถึงเพิ่งจำได้นะ”
“นึกได้แล้วหรือคะ”