เมื่อน้องกลับสู่ดาวแมว...

กระทู้สนทนา
เรื่องมีอยู่ว่า...เราได้เก็บลูกแมวมาเลี้ยง น้องเป็นแมวจรหลงมาที่บ้าน ดูแล้วอายุน่าจะเดือนเศษ เราพยายามหาคนรับเลี้ยงแต่ก็หาไม่ได้ เลยตัดสินใจเลี้ยงไว้ อยู่จนครบเดือนเราก็ได้ทำการพาน้องไฟถ่ายพยาธิ และสอบถามหมอเรื่องวัคซีน ว่าน้องพร้อมรับวัคซีนได้เมื่อไหร่ หมอก็ได้นัดวันที่จะให้น้องรับวัคซีน โดยหมอนัดวันที่ 20 กุมภา แต่วันที่ 18 น้องมีอาการขาเจ็บขาและเดินกระเพลก บวกกับตัวน้องร้อนกว่าปกติ เลยพาไปหาหมอก่อนวันนัด หมอบอกว่าน้องกล้ามเนื้ออักเสบ จนมีไข้ อาจจะกิดจากน้องอยู่ในวัยที่เริ่มปีนป่ายแล้วร่วงลงมาจากที่สูง หลังหมอตรวจเสร็จเราก็กลับบ้านพร้อมยาที่หมอจ่ายมาให้ 2 ตัว พร้อมกับนัดดูอาการน้องอีกทีในวันที่ 23 น้องยังคงปกติ กินข้าวได้ปกติ แต่จะมีอาการซึม ไม่ค่อยเล่นหรือสนใจต่อสิ่งเร้ารอบตัว เราเลยพาน้องไปหาหมออีกทีก่อนวันนัดดูอาการ 1 วัน ครั้งนี้เป็นหมอคนละคนกับรอบที่แล้ว หมอบอกว่าน้องเป็นหวัดแมว เราถามย้ำว่าหวัดนะ ไม่ใช่หัด หมอบอกย้ำว่าแค่หวัดค่ะ และหมอก็ได้ฉีดยาและให้ยาตัวใหม่มากินคู่กับตัวเดิมที่ได้มาจากครั้งก่อนพร้อมกับใบนัดดูอาการอีกทีวันที่ 26 คราวนี้น้องซึมเลยค่ะ ข้าวไม่กิน กินแต่น้ำ เราต้องคอยใช้ไซริ้งค์ป้อน จนกระทั่งถึงวันนัด คราวนี้ก็เป็นหมอคนละคนกันกับสองคนแรกอีกแล้ว ครั้งนี้หมอได้ทำการเจาะเลือดและนำอุจจาระไปตรวจพร้อมกับให้น้ำเกลือ สักพักหมอบอกว่าน้องมีพยาธินะ แล้วก็มีแบคทีเรีย บวกกับอุณภูมิร่ายกายน้องต่ำและขาดน้ำ ครั้งนี้คุณหมอขอให้น้องแอดมิดเพื่อดูอาการ เราถามว่าน้องอาการหนักมากเลยเหรอ หมอบอกว่าแค่แอดมิดเพื่อดูอาการคืนเดียวค่ะ เราเลยตกลง เช้าวันต่อมาเราไปรับน้อง สภาพน้องแย่มาก จากขนฟูๆ กลายเป็นมอมแมมจับช่อรวมกันเป็นกระจุก หมอ(คนที่4)บอกว่าน้องไม่กินอาหารเลย และร่างกายน้องขาดน้ำมาก น้ำตาลในเลือดก็ต่ำ และอุณภูมิยังคงต่ำอยู่เหมือนเดิม เลยบอกให้เราแอดมิดน้องต่ออีกคืน เราชั่งใจว่าจะรับน้องกลับดีมั้ย เพราะน้องดูแย่กว่าตอนที่เราดูแลเองมากๆ แต่ก็ยังคงเชื่อในตัวคุณหมอและบุคคลากรที่ดูจะเอ็นดูน้องมากๆ เลยสรุปให้น้องอยู่ต่ออีกคืน พร้อมกับถามย้ำว่าน้องจะหายได้ใช่มั้ย หมอก็ไม่ตอบ แต่กลับบอกถึงขั้นตอนในการดูแลสำหรับน้องสัตว์ที่แอดมิดที่นี่แทน โดยในเคสของน้องหมอจะตรวจเลือด อุจจาระและเช็คค่าน้ำตาลวันละ 2 รอบ คือช่วง 9 โมงเช้า และบ่ายสามโมง โดยที่แต่ละครั้งหมอที่มาหาหมอ หมอจะไม่พูดถึงอาการป่วยที่หมอคนก่อนๆบอกไว้เลยค่ะ พอเราถามว่าแล้วน้องไม่ได้เป็นแค่หวัดเหรอคะ คุณหมอก็จะตอบแค่ว่ามันก็รวมๆกัน แต่ไม่ได้มีการอัพเดตให้เราฟังเลยว่าอาการป่วยที่หมอบอกช่วงแรกๆ(เช่นหมอคนที่สองบอกว่าน้องเป็นหวัด)มันหายแล้วรึยัง หรือดีขึ้นรึเปล่า หลังกลับบ้านมาเราคุยกับแฟน ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปรับน้องกลับแล้วเสี่ยงเปลี่ยนที่รักษาดู ในตอนเย็นของวันต่อมา(ช่วง 6 โมงครึ่ง) เราไปรับน้อง เราตั้งใจไปรับน้องช้าหน่อยเพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าการเจาะเลือด ตรวจอุจจาระและการเช็คค่าน้ำตาลจะมีในตอนบ่ายสาม เพื่อไม่เป็นการรบกวนคุณหมอเราเลยเลือกที่จะไปเวลานั้นเพราะคิดว่าคุณหมอคงตรวจน้องเสร็จ พร้อมให้เรารับกลับแล้ว ปรากฏว่า...พอเราไป ผู้ช่วยหมอบอกให้เรารอ เราถามว่ารออะไรเหรอคะ(คือตอนนั้นใจไม่ดี เพราะครั้งล่าสุดที่เห็นน้อง คือน้องสภาพแย่มาก) คุณผู้ช่วยบอกว่าหมอกำลังเจาะเลือด และสวนสายยางเพื่อจะนำอุจจาระไปตรวจ เราก็คิดในใจละว่านี่มัน 6 โมงนะ ไหนว่าตรวจ 9 โมงเช้ากับบ่ายสามไง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เรานั่งรอจนผู้ช่วยอีกคนพาน้องที่นอนอยู่ในตะกร้ามาส่งให้ เรารีบเปิดตะกร้าดู ปรากฏว่าน้องนอนนิ่งมาก แต่ยังคงหายใจอยู่ สภาพแย่กว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน หมอเรียกเราไปอธิบายเกี่ยวกับอาการน้องและอธิบายยาที่ต้องให้น้อง ซึ่งหมอบอกว่ายาตัวก่อนหน้าที่หมอให้เรามา ให้หยุดไปก่อนและเปลี่ยนมากินยาตัวใหม่ ซึ่งมี 4 ตัว 3 ใน 4 เป็นวิตามิน มีตัวที่เป็นยาจริงๆแค่ตัวเดียว ในตอนที่เรากำลังจะหันหลังเดินออกคลีนิก หมอได้แนะนำเราอีกครั้งว่าให้น้องแอดมิดต่อ แต่เราถามกลับว่าน้องมีโอกาสจะดีขึ้นมั้ย เป็นอีกครั้งที่คุณหมอไม่ตอบ แต่กลับอธิบายอาการของน้องอีกครั้ง เราเลยปฏิเสธที่จะให้น้องแอดมิดต่อ และได้ทำการเปลี่ยนคลีนิกเพื่อรักษาน้องต่อในทันที แต่หมอที่คลีนิกทั้งสองที่ที่เราไปเขาไม่รับ เขาบอกว่าน้องอาการหนักมาก น้องรักษาต่อไมไหวแล้ว โดนเฉพาะที่ที่สอง หมอได้ทำการเจาะน้ำเกลือ เรานั่งรอนานมาก จนสุดท้ายหมอบอกว่าร่างกายน้องไม่รับน้ำเกลือแล้วนะ ให้พาน้องกลับบ้านดีกว่า สรุปก็กลับบ้านค่ะ กลับมาถึงบ้าน จากที่น้องเดินไม่ได้ น้องเดินไปกินน้ำเองก่อนจะนอนลง น้องมองเรากับแฟนแล้วร้องแบบไม่มีเสียงก่อนจะนิ่งไป เราร้องไห้หนักมาก แต่เข้าใจว่าน้องสู้จนถึงที่สุดแล้ว ถึงน้องจะอยู่กับเราได้ไม่นาน แต่ทุกวันที่ตื่นมาแล้วเจอน้องมันเหมือนเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้เรา ยอมตื่นแต่เช้าแม้จะเป็นวันหยุด วางมือถือทิ้งไว้นานขึ้นเพื่อหันมาเล่นกับน้อง จากที่ต้องใช้เวลานานมากๆในการที่จะพาตัวเองลุกออกจากที่นอน(เราเป็นภาวะซึมเศร้าอ่อนๆค่ะ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้านะคะ) แค่ได้ยินเสียงน้องร้องก็รีบสะดุ้งลุกขึ้นมาเทอาหารให้น้อง 
สุดท้ายเราอยากบอกว่าขอบคุณคุณหมอนะคะที่ช่วยรักษาน้องมาตลอด ถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้เคสนี้เป็นเคสตัวอย่างค่ะ ไม่ว่าน้องจะป่วยหนักป่วยเบา รักษาหายหรือไม่หาย เราทุกคนพร้อมอยู่เคียงข้างน้องเสมอจนนาทีสุดท้ายจริงๆนะคะ เพราะงั้นหากน้องไม่มีโอกาสรอดจริงๆ ก็บอกกันตรงๆเถอะค่ะ อย่างน้อยเวลาที่เหลือ เราจะได้อยู่ดูแลน้อง ได้เอาเวลาทั้งหมดที่ยังมีมองหน้าน้องให้นานขึ้นกว่าเดิม ได้ลูบหัว ได้ป้อนข้าวน้องมากกว่านี้ เราทำดีที่สุดแล้วในการที่จะรักษาน้องให้หาย เราไม่เสียใจเลยเพราะน้องเอง สู้มาได้ขนาดนี้ก็เก่งมากๆแล้ว แต่ที่เราเสียใจคือช่วงสุดท้ายของน้อง เรามีเวลาอยู่กับน้องน้อยมาก อาหารมื้อสุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ป้อนน้องเลย นี่คือสิ่งที่เราเสียใจที่สุด
ปล. ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่