ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://m.ppantip.com/topic/41859652?
https://m.ppantip.com/topic/41863059?
https://m.ppantip.com/topic/41881336?
https://ppantip.com/topic/41881336?
เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันนะ
รสรินนึกอยู่ในใจก่อนจะหาคำพูดเอ่ยออกมา
"นี่เพื่อนนะยะ ท่องไว้"
แขนที่โอบบ่าอยู่กระชับขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆก่อนคลายแขนออกไป ทั้งสองก้าวเท้าเดินไปสู่ลานจอดรถของวัด เมื่อเสร็จสิ้นงานสวดศพแม่ยายของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่หล่อนและเขาสองคนเป็นเพื่อนซี้กัน
กริช เป็นชื่อเพื่อนคนนี้ที่พวกเราห้าหกคนเคยไปเที่ยวหลังจากวันหนึ่งไม่มีการสอน พวกเราแอบหนีไปขึ้นรถจี๊ปของเพื่อนที่แม่ยายเสียงานนี้เป็นคนขับ
ธวัชขับรถไปเรื่อยๆร้องถามพรรคพวกในรถ มีรินและอ้อมอีกคนเป็นหญิง นอกนั้นเป็นชายสี่คน
"ไปไหนดีวะ?"
ไม่กี่วันนี่เองนี้รินได้เลี้ยงวันเกิดด้วยก๋วยเตี๋ยวและไอศกรีมร้านอร่อยพวกเขา ทำให้อยากไปไหนด้วยกันอีก
ยังไม่มีใครตอบคำถาม แต่มันใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้วนะ
รินหันหลังไปมองหน้าอ้อมถามว่า
"หิวมั้ย" อ้อมสั่นหน้า
"วัชลองชลอรถหาอาหารเที่ยงกินได้แล้วนะ" รินบอกเพราะนั่งคู่ด้านหน้ากับเขา
"มืงอยากกินอะไร?" ธวัชถามริน
" กินอะไรก็ได้ รองท้องหน่อย น้ำก็ไม่มี" รินตอบ ขณะที่มองไปริมทางคิดว่าอยู่บนเส้นทางถนนองครักษ์
สักพักคนหนึ่งข้างหลังร้องบอกว่า "เฮ้ยจอด.จอด.."
ธวัชจอดรถได้ในทันทีหน้าเพิงขายข้าวต้มมัดที่มีป้าคนหนึ่งเป็นผู้ขาย
กริชโดดลงไป หันมาถามว่า
" เอามั้ย" แล้วหันไปถามป้าว่า
" ป้าขายยังไงครับ"
ป้ารีบยิ้มตอบว่า
"เอาไปหมดเลยมั้ย ป้าลดให้หมดนี่คิด50 บาท"
รินบอกกริชว่า "เอามาเลย"
กริชควักเงินจ่ายไปพูดว่า
"เงินกูหมดแล้วนะ" พร้อมหัวเราะ
อ้อมพูดมั่งว่า "ถาม ป้าด้วยจะหาน้ำดื่มได้ที่ไหน?"
ป้าบอกข้างหน้ามีร้านก๋วยเตี๋ยว ใกล้ปั๊มน้ำมันนะ
ธวัชหันมาถามรินว่า
" มืงมีเงินเท่าไร"
" ร้อยกว่า"
" เก็บไว้นะ กูจะเติมน้ำมันก็หมดพอดี"
พวกเราจากป้ามาพร้อมข้าวต้มมัดสิบมัดๆละสองกลีบ กินคนละมัดในรถแล้วไปหาน้ำเอาดาบหน้า อีกคนหนึ่งใส่แว่น เรียกเจ้าแว่นบอกขึ้นมาว่า
"เดี๋ยวแวะซื้อเป็ปซี่ใส่ถุงมาแบ่งกันดูดก็แล้วกัน"
"แต่มืงจะไปไหนวะไอ้วัช"
ธวัชหันมามองริน แล้วพูดว่า
"ถามสาวๆสิ"
อ้อมพูดว่า "ไปพัทยา บางแสนได้มั้ย"
"ด้ายย.." ธวัชตอบ พวกข้างหลังก็ประเภทไปไหนไปกันอยู่แล้ว
รินกินข้าวต้มมัดแสนอร่อย แกะพับใบตองให้ธวัชกินด้วย
พวกเราจัดการข้าวต้มมัดแบบที่เรียกว่า กินข้าวลิง เพราะยังต้องกินมื้อเย็นอีกแน่ๆ ไม่รู้ว่ามีเงินกันมาคนละเท่าไร ปกติก็คงมีราวห้าสิบบาทก็พอ เพราะข้าวโรงอาหารจานละสองบาทเท่านั้น
ไม่นานเกินบ่ายสองโมงรถของพวกเราก็มาถึงบางแสน หลังจากได้ซื้อน้ำดื่ม เติมน้ำมันหาห้องน้ำเข้าเรียบร้อยแล้ว
รินเห็นอากาศดี ฟ้าสดใส มีเก้าอี้ชายหาดให้เช่านั่ง แต่พวกเราก็ไม่ได้เช่านั่ง เพราะคงหลายเงิน เมื่อเดินริมหาดทรายแล้ว อ้อมเป็นฝ่ายชวนให้เล่นน้ำกัน
" ตัวเหรอกล้าเล่นน้ำ ชุดก็ไม่มีเปลี่ยน" รินถามอ้อม
" ก็ไปหาเช่าชุดสิ ต้องมีน่า ที่ร้านอาบน้ำน่ะ"
กริชถามฉันว่า "รินจะเล่นน้ำด้วยมั้ย"
" ไม่หรอก ชั้นลูกทะเล อ้อมไปเล่นไป เดี๋ยวเย็นจะหนาว วัชล่ะเล่นมั้ย" ไม่มีใครเล่นอีก
ตกลงมีกริชเล่นเป็นเพื่อนอ้อม ที่เช่ากางเกงเล เสื้อลายพร้อยมาเชียว กริชใส่กางเกงเลมาตัวเดียว ทั้งสองรีบเช่าห่วงยางตีน้ำว่ายออกไปรวมกับคนอื่นๆที่มีบางตาในวันนี้ เราสี่คนก็เดินกันไปมาบนผืนทราย เจ้าแว่นเกิดไอเดียว่า
"วัชกูว่าจะไปเช่าเก้าอี้มาสองตัว ผลัดกันนั่งดีมั้ย ไอ้สองคนนั่นมันคงเล่นนานนะกูว่า"
ธวัชหันมาบอกรินว่า
" เรานั่งกันก่อนนะ กูขับรถเมื่อยเหมือนกัน"
" ตามใจนาย.." รินตอบ
เจ้าแว่นเดินไปเจรจา สักพักก็มีการยกเก้าอี้ผ้าใบมาสี่ตัวเลย
" เขาลดราคามันเย็นแล้ว" เจ้าแว่นรีบบอกอย่างยินดี ก้องรีบมายกเก้าอี้ล้อมวงนั่ง
" รินจะกินอะไรมั้ย" ก้องมีแก่ใจมาถาม
" ไม่หรอกใครหิวก็กินข้าวต้มมัดสิ หมดรึยัง"
" จะเหลือเร้อ" ก้องร้องตอบ
" กูนอนก่อนนะ" ธวัชพูดแล้วหลับตา รินเลยขยับเก้าอี้ให้ห่างหน่อย ตรงข้ามก็เป็นก้องกับแว่นเอนกายมองไปทางทะเลที่อ้อมกับกริชลอยคออยู่
รินเหลือบแลมองธวัชที่เงียบสงบไป นึกถึงที่เขาเคยนั่งหลับบางครั้งในชั่วโมงเรียน เขาเป็นลูกชายคนโตที่บ้านมีกิจการ
จึงมีรถจี๊ปขับมาเรียนได้ ที่เห็นมีรถที่มาส่งนักศึกษาสี่คัน รวมทั้งของพี่ทหารที่มาส่งรินทุกเช้าด้วย ส่วนตอนเย็นรินกลับรถเมล์เองบ้าง ธวัชให้ไปด้วยเพราะสามารถผ่านใกล้ซอยที่อยู่ของรินได้ พวกเราจึงสนิทกันรวมทั้งกริชที่เป็นคู่หูธวัช
พวกเราเคยไปเที่ยวลพบุรีกัน ตอนลิงที่ศาลพระกาฬมาคว้ากระเป๋าของริน กริชรีบแย่งคืนมาโดนลิงกัดได้แผลนิดหน่อย ตกใจกันหมด นึกแล้วกริชก็ดูแลเพื่อนดี
เมื่อนานๆจะได้พบกันทีในงานคืนสู่เหย้าหรืองานอื่นๆ พวกเราที่ต่างก็มีครอบครัวกันแล้ว แต่เนื่องจากบ้านรินกับธวัชไม่ไกลก้น จะเข้าเมืองก็ต้องผ่านบ้านหรือบริษัทของป๋าเขา
เมื่อมีงานเสียชีวิตพ่อแม่ของแต่ละคนก็ได้มารวมตัวกัน ก็มีเป็นกลุ่มๆ แต่รุ่นเราผู้หญิงน้อย จึงมีรินกับอ้อมมาเข้าทีมธวัช
การเสียชีวิตนักขายประกันมีคำพูดว่า ถ้า'จากไป' แล้ว จะได้รับเงินประกัน
รินก็มีส่วนในวีรกรรมของเพื่อนสนิทรุ่นน้องที่เที่ยวด้วยกันเกิดมีอาชีพขายประกันขึ้นมา เมื่อมาบอกกับรินว่าช่วยนัดธวัชให้ทีแต่อย่าบอกว่าจะมาขายประกันนะ แค่ให้ได้เข้าพบแล้วเดี๋ยวก้อยจัดการเอง รินก็นึกว่าก้อยอาจจะอยากให้ธวัชได้ทำประกันชีวิต คนมีเงินจึงจะทำประกัน ดังคำพูดหัวหน้าในบริษัทพูดว่า ข้าวไม่มีจะกรอกหม้อจะให้ทำประกันชีวิต เชอะ!
แกเกลียดพวกนี้ เพราะโดนตื๊อจากหลายคนที่ไม่รู้ว่าแกชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ทุกเดือน มายืมเงินต้นเดือนคืนสิ้นเดือนแล้วกลางเดือนยืมใหม่กับรินเสมอ
เมื่อจำเป็นต้องนัดแล้วรินก็ต้องไปด้วย ก็เพิ่งรู้ว่าก้อยเอาหัวหน้าชื่อโกวิทมาด้วย กลายเป็นแขกสามคนที่ธวัชต้องเผชิญ
ด้วยไม่รู้กลยุทธ์การขายประกันมาก่อน รินก็ได้ยินถึงการพูดเกริ่นว่า วันนี้นำข่าวดีมาให้ธวัช ด้วยเห็นมีกิจการเจริญใหญ่โต ทุกอย่างดี คุยถึงชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ว่าโด่งดัง แน่ละคนพูดหน้าตายิ้มแย้มชวนให้ผู้ฟังยิ้มตาม จนถึงจุดไคลแมกซว่า อนิจจังไม่เที่ยง ถ้าวันหนึ่งมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นทำให้มีผู้จากไป คนข้างหลังจะไม่ลำบากด้วยการฝากเงินเป็นเดือนจะคุ้มครองการสูญเสียเป็นจำนวนกี่เท่าขึ้นอยู่กับเบี้ยประกันที่ทำไว้
ถึงตอนนี้ธวัชหันมามองริน ๆรับรู้ถึงความคิดของธวัชทันที
โธ่เอ๋ย.. เราไม่น่าพาเขามาเลย สีหน้าธวัชคงเรียบเฉย ไม่สนใจถามถึงข้อแม้ใด ๆทั้งนั้น หลักการที่ว่าขายยากที่สุดคือ ลูกค้าไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย เพราะถ้ามีข้อสงสัย ย่อมสามารถตอบได้หมดตามที่ได้อบรมการโต้ตอบมา เมื่อหมดข้อขัดแย้ง ข้องใจก็ต้องจำยอมลงลายเซ็นเอกสารที่พร้อมยื่นมาให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้ว่าลูกค้าจะตามโทรบอกให้ชะลอก่อน เพิ่งนึกได้ว่าไม่น่าหลงเชื่อเขากล่อม ก็จะได้รับคำตอบว่าแจ้งส่งเข้าบริษัทไปแล้ว เมื่อปิดการขายได้แล้วย่อมเห็นตัวเงินในงานครั้งนี้แล้ว จะไปบอกว่ารอเพื่ออะไร ทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรถึงบริษัทเลย มิใช่ยุคการสื่อสารธุรกรรมดังสมัยปัจจุบัน
คืนนั้นเองรินก็ได้รับเสียงด่าจากธวัชอย่างไม่เคยรับมาก่อน
" มืงอย่าได้ทำอย่างนี้อีก มืงอยากได้เงินเท่าไรกูจะให้มืง มืงทำให้กูเสียเวลา เอาคนมาไล่ต้อนขายประกันกู กูไม่เกรงใจมืงแล้วนะ" ธวัชไม่เคยพูดแบบนี้นี่..
"วัชก็ก้อยเขาบอกว่า เขามีอาชีพใหม่ ชั้นจะไม่สนับสนุนเพื่อนเลยเหรอ แค่ช่วยนัดนายเขาขอคุยเท่านั้น ชั้นก็คิดว่านายอาจจะเห็นดีตามคำชักชวนเขาก็ได้ นายก็ปฏิเสธได้นี่นะ"
"ถ้ากูรู้ว่ามืงจะพาคนขายประกันมากูก็ปฏิเสธกับมืงไปแล้วนะ มืงจะได้คอมมิชชั่นเท่าไรวะ"
"เดี๋ยว.. เดี๋ยว ไม่มีหรอกเรื่องนั้นน่ะ เอาเป็นว่าชั้นขอโทษนายนะจ๊ะ ที่รัก โอเคมั้ย"
"เออ.. ไม่เป็นไรก็ได้ แค่นี้นะ"
ธวัชวางสายไปแล้ว รินสินอนนึกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองเอากระดูกมาแขวนคอ..
อาชีพของเพื่อนตามมารบกวน ตั้งแต่ขอรายชื่อคนที่แนะนำได้ให้สักสิบคน แต่โดนธวัชด่ามาก็เข็ดแล้วจึงไม่อยากเอาปัญหาไปให้ใครอีก
ต่อมาช่วงมื้ออาหารกลางวันที่บริษัทจัดเลี้ยงพนักงานที่โรงอาหารใต้ตึกออฟฟิศเป็นที่ทานอาหารเปิดโล่ง ใช้เวลาทานเสร็จราวครึ่งชั่วโมงก็เข้าทำงานต่อ มิใช่มีเวลาพักครบชั่วโมง
ขณะนั่งทานก็มีคนบอกว่า มีผู้ชายตัวสูงยืนมองมา นั่นคือหัวหน้าขายประกันของก้อยนั่นเอง เขามาทำไมก้อยฝากอะไรมารึ?
เมื่อรินลุกขี้นยืนเขาก็รีบเดินเข้ามาในบริเวณที่พนักงานทานข้าวทั้งหมดเกือบสองร้อยคน เขาไม่น่าเดินเข้ามาเป็นเป้าสายตาคน
คุณโกวิทยิ้มบนสีหน้าตลอดที่สบตากับคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับริน คนอื่นขยับที่ให้ เขาก็นั่งลง
ในขณะที่รินสงสัยว่ามีอะไร เพราะ
1. เขาไม่ได้นัด เราไม่ได้สนิทกันขนาดโผล่มาเมื่อไรก็ได้
2. เขาถือวิสาสะมาหาในเวลาทำงานที่บริษัท
3. มาในเวลาทานอาหารเป็นการรบกวน
แต่เขาก็อ้างถึงก้อยบอกว่ารินทำงานที่นี่ผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยม
รินนึกได้ทันทีว่าเป็นพฤติกรรมของนักขายประกันที่ต้องออกหาลูกค้า การไปเจอคนอาจจะมีโอกาสได้ขายกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตามดีกว่าไม่ออกไป เดือนหนึ่งต้องจดว่าไปพบกี่ราย
และรินก็เป็นจุดที่เขาอาจได้ขายคนที่นั่งรอบข้าง มีแต่ได้กับได้ เขาจึงมาถึงนี่ระยะทาง30 กม.จากในเมือง
วันนั้นรินตั้งรับไม่ทัน แม่ครัวเอาอาหารมาให้แขกของรินด้วย ทั้งที่ไม่น่าจะต้องให้อาหารแขก
แต่คนไทยใครมาต้องต้อนรับและที่สำคัญคงเพราะเป็นแขกของรินที่มาเวลานี้และรินก็คุมห้องอาหารนี้อยู่
คุณโกวิทถือโอกาสมาหาอาศัยกินข้าวเที่ยงอย่างน้อยสามครั้ง โดยที่รินไม่ได้ไปบอกกับก้อยว่าหัวหน้าเธอไม่ควรมาหารินที่ทำงานนะ มันไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง
ด้านได้อายอดคงไม่ห่างไกลกับคำนี้ มารยาทและความเกรงใจคนละส่วนกับอาชีพนี้
และยังมีเรื่องที่นึกไม่ถึง..
รินนัดจะไปเลี้ยงดินเนอร์ก้อยไปกันสองคนที่โรงแรมห้าดาวกลางกรุงห้อง Seafood ตอนค่ำ
เมื่อถึงเวลาก็พบก้อยรออยู่แล้ว จึงพากันเดินไปยังห้องอาหารได้โต๊ะนั่ง เมื่อบริการมารับสั่งอาหารแล้ว เสียงโทรศัพท์ก้อยก็ดังขึ้น
" ฮัลโหล"
"........."
" ก้อยอยู่กับพี่รินนะ "
" ........"
"พี่รินคุณโกวิทเขาอยู่แถวนี้ ให้เขามากินด้วยได้มั้ย"
คำถามจากก้อยพร้อมโทรศัพท์ที่รอรับคำตอบ
ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ก็แค่สั่นหน้ามิต้องพูดก็ได้
นั่นเป็นหัวหน้าของก้อยนะ และก้องร้องขอ ก้อยน่าจะปฏิเสธไปนี่เป็น Sitdown dinner นะ
เขารึจะมาทำอะไรในเมืองแถวนี้ เวลานี้ ไม่กลับไปกินข้าวกับลูกเมีย คงต้องนัดกันไว้แล้ว
รินรู้แต่ไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร กลับคิดไปว่าคุณโกวิทคงมา
แจมด้วยจ่ายค่าอาหารของตนตามธรรมเนียมสุภาพบุรุษ หรือก้อยอาจจะจัดการได้
ไม่กี่นาทีคุณโกวิทก็โผล่มาก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟเสียอีก คงแค่หาที่จอดรถ
เอ่ยทักทายกันอย่างไม่ยินดี
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟก็จัดการกับอาหารของตน ก้อยกับรินไม่มีเรื่องคุยกันเลย เพราะเขาทั้งสองตั้งหน้าคุยกันแต่เรื่องงานประกันทั้งที่เขาก็มีเวลาทำงานด้วยกัน แต่มาใช้เวลานี้ราวกับจำเป็นมาก รินก้มหน้าคิดว่า มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร จนหาทางออกโดยไปเข้าห้องน้ำ
อัดอั้นมากถึงแม้จะปล่อยปัสสาวะไหลออกแล้วก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหลุดพ้นบรรยากาศตอนนี้ไปได้อย่างไร
หนีกลับเลยดีมั้ย?
แล้วจะตอบคำถามว่าอย่างไรต้องเจอคำถามแน่ๆหลังจากวันนี้ หนีไม่พ้นหรอก จึงต้องเดินถ่วงเวลาช้าๆกลับมานั่งที่เดิม คงนานมากทีเดียวเพราะสองคนนั่นทานเสร็จแล้วพร้อมกับหยุดคุย
ก็ต้องถึงเวลาเช็คบิลสินะ เรียกบริกรมารับไป แต่มีเชฟสวมหมวกขาวเดินมาพร้อมกับเอาที่คีบปูทองเหลืองมาวางให้หนึ่งอันพร้อมกับพูดว่าให้เป็น Souvenir ด้วยความขอบคุณ
(มีต่อ..)
'พลอยแดง'
👌👫👍 เพื่อนซี้..นะยะ (จบ)👌👫👍
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันนะ
รสรินนึกอยู่ในใจก่อนจะหาคำพูดเอ่ยออกมา
"นี่เพื่อนนะยะ ท่องไว้"
แขนที่โอบบ่าอยู่กระชับขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆก่อนคลายแขนออกไป ทั้งสองก้าวเท้าเดินไปสู่ลานจอดรถของวัด เมื่อเสร็จสิ้นงานสวดศพแม่ยายของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่หล่อนและเขาสองคนเป็นเพื่อนซี้กัน
กริช เป็นชื่อเพื่อนคนนี้ที่พวกเราห้าหกคนเคยไปเที่ยวหลังจากวันหนึ่งไม่มีการสอน พวกเราแอบหนีไปขึ้นรถจี๊ปของเพื่อนที่แม่ยายเสียงานนี้เป็นคนขับ
ธวัชขับรถไปเรื่อยๆร้องถามพรรคพวกในรถ มีรินและอ้อมอีกคนเป็นหญิง นอกนั้นเป็นชายสี่คน
"ไปไหนดีวะ?"
ไม่กี่วันนี่เองนี้รินได้เลี้ยงวันเกิดด้วยก๋วยเตี๋ยวและไอศกรีมร้านอร่อยพวกเขา ทำให้อยากไปไหนด้วยกันอีก
ยังไม่มีใครตอบคำถาม แต่มันใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้วนะ
รินหันหลังไปมองหน้าอ้อมถามว่า
"หิวมั้ย" อ้อมสั่นหน้า
"วัชลองชลอรถหาอาหารเที่ยงกินได้แล้วนะ" รินบอกเพราะนั่งคู่ด้านหน้ากับเขา
"มืงอยากกินอะไร?" ธวัชถามริน
" กินอะไรก็ได้ รองท้องหน่อย น้ำก็ไม่มี" รินตอบ ขณะที่มองไปริมทางคิดว่าอยู่บนเส้นทางถนนองครักษ์
สักพักคนหนึ่งข้างหลังร้องบอกว่า "เฮ้ยจอด.จอด.."
ธวัชจอดรถได้ในทันทีหน้าเพิงขายข้าวต้มมัดที่มีป้าคนหนึ่งเป็นผู้ขาย
กริชโดดลงไป หันมาถามว่า
" เอามั้ย" แล้วหันไปถามป้าว่า
" ป้าขายยังไงครับ"
ป้ารีบยิ้มตอบว่า
"เอาไปหมดเลยมั้ย ป้าลดให้หมดนี่คิด50 บาท"
รินบอกกริชว่า "เอามาเลย"
กริชควักเงินจ่ายไปพูดว่า
"เงินกูหมดแล้วนะ" พร้อมหัวเราะ
อ้อมพูดมั่งว่า "ถาม ป้าด้วยจะหาน้ำดื่มได้ที่ไหน?"
ป้าบอกข้างหน้ามีร้านก๋วยเตี๋ยว ใกล้ปั๊มน้ำมันนะ
ธวัชหันมาถามรินว่า
" มืงมีเงินเท่าไร"
" ร้อยกว่า"
" เก็บไว้นะ กูจะเติมน้ำมันก็หมดพอดี"
พวกเราจากป้ามาพร้อมข้าวต้มมัดสิบมัดๆละสองกลีบ กินคนละมัดในรถแล้วไปหาน้ำเอาดาบหน้า อีกคนหนึ่งใส่แว่น เรียกเจ้าแว่นบอกขึ้นมาว่า
"เดี๋ยวแวะซื้อเป็ปซี่ใส่ถุงมาแบ่งกันดูดก็แล้วกัน"
"แต่มืงจะไปไหนวะไอ้วัช"
ธวัชหันมามองริน แล้วพูดว่า
"ถามสาวๆสิ"
อ้อมพูดว่า "ไปพัทยา บางแสนได้มั้ย"
"ด้ายย.." ธวัชตอบ พวกข้างหลังก็ประเภทไปไหนไปกันอยู่แล้ว
รินกินข้าวต้มมัดแสนอร่อย แกะพับใบตองให้ธวัชกินด้วย
พวกเราจัดการข้าวต้มมัดแบบที่เรียกว่า กินข้าวลิง เพราะยังต้องกินมื้อเย็นอีกแน่ๆ ไม่รู้ว่ามีเงินกันมาคนละเท่าไร ปกติก็คงมีราวห้าสิบบาทก็พอ เพราะข้าวโรงอาหารจานละสองบาทเท่านั้น
ไม่นานเกินบ่ายสองโมงรถของพวกเราก็มาถึงบางแสน หลังจากได้ซื้อน้ำดื่ม เติมน้ำมันหาห้องน้ำเข้าเรียบร้อยแล้ว
รินเห็นอากาศดี ฟ้าสดใส มีเก้าอี้ชายหาดให้เช่านั่ง แต่พวกเราก็ไม่ได้เช่านั่ง เพราะคงหลายเงิน เมื่อเดินริมหาดทรายแล้ว อ้อมเป็นฝ่ายชวนให้เล่นน้ำกัน
" ตัวเหรอกล้าเล่นน้ำ ชุดก็ไม่มีเปลี่ยน" รินถามอ้อม
" ก็ไปหาเช่าชุดสิ ต้องมีน่า ที่ร้านอาบน้ำน่ะ"
กริชถามฉันว่า "รินจะเล่นน้ำด้วยมั้ย"
" ไม่หรอก ชั้นลูกทะเล อ้อมไปเล่นไป เดี๋ยวเย็นจะหนาว วัชล่ะเล่นมั้ย" ไม่มีใครเล่นอีก
ตกลงมีกริชเล่นเป็นเพื่อนอ้อม ที่เช่ากางเกงเล เสื้อลายพร้อยมาเชียว กริชใส่กางเกงเลมาตัวเดียว ทั้งสองรีบเช่าห่วงยางตีน้ำว่ายออกไปรวมกับคนอื่นๆที่มีบางตาในวันนี้ เราสี่คนก็เดินกันไปมาบนผืนทราย เจ้าแว่นเกิดไอเดียว่า
"วัชกูว่าจะไปเช่าเก้าอี้มาสองตัว ผลัดกันนั่งดีมั้ย ไอ้สองคนนั่นมันคงเล่นนานนะกูว่า"
ธวัชหันมาบอกรินว่า
" เรานั่งกันก่อนนะ กูขับรถเมื่อยเหมือนกัน"
" ตามใจนาย.." รินตอบ
เจ้าแว่นเดินไปเจรจา สักพักก็มีการยกเก้าอี้ผ้าใบมาสี่ตัวเลย
" เขาลดราคามันเย็นแล้ว" เจ้าแว่นรีบบอกอย่างยินดี ก้องรีบมายกเก้าอี้ล้อมวงนั่ง
" รินจะกินอะไรมั้ย" ก้องมีแก่ใจมาถาม
" ไม่หรอกใครหิวก็กินข้าวต้มมัดสิ หมดรึยัง"
" จะเหลือเร้อ" ก้องร้องตอบ
" กูนอนก่อนนะ" ธวัชพูดแล้วหลับตา รินเลยขยับเก้าอี้ให้ห่างหน่อย ตรงข้ามก็เป็นก้องกับแว่นเอนกายมองไปทางทะเลที่อ้อมกับกริชลอยคออยู่
รินเหลือบแลมองธวัชที่เงียบสงบไป นึกถึงที่เขาเคยนั่งหลับบางครั้งในชั่วโมงเรียน เขาเป็นลูกชายคนโตที่บ้านมีกิจการ
จึงมีรถจี๊ปขับมาเรียนได้ ที่เห็นมีรถที่มาส่งนักศึกษาสี่คัน รวมทั้งของพี่ทหารที่มาส่งรินทุกเช้าด้วย ส่วนตอนเย็นรินกลับรถเมล์เองบ้าง ธวัชให้ไปด้วยเพราะสามารถผ่านใกล้ซอยที่อยู่ของรินได้ พวกเราจึงสนิทกันรวมทั้งกริชที่เป็นคู่หูธวัช
พวกเราเคยไปเที่ยวลพบุรีกัน ตอนลิงที่ศาลพระกาฬมาคว้ากระเป๋าของริน กริชรีบแย่งคืนมาโดนลิงกัดได้แผลนิดหน่อย ตกใจกันหมด นึกแล้วกริชก็ดูแลเพื่อนดี
เมื่อนานๆจะได้พบกันทีในงานคืนสู่เหย้าหรืองานอื่นๆ พวกเราที่ต่างก็มีครอบครัวกันแล้ว แต่เนื่องจากบ้านรินกับธวัชไม่ไกลก้น จะเข้าเมืองก็ต้องผ่านบ้านหรือบริษัทของป๋าเขา
เมื่อมีงานเสียชีวิตพ่อแม่ของแต่ละคนก็ได้มารวมตัวกัน ก็มีเป็นกลุ่มๆ แต่รุ่นเราผู้หญิงน้อย จึงมีรินกับอ้อมมาเข้าทีมธวัช
การเสียชีวิตนักขายประกันมีคำพูดว่า ถ้า'จากไป' แล้ว จะได้รับเงินประกัน
รินก็มีส่วนในวีรกรรมของเพื่อนสนิทรุ่นน้องที่เที่ยวด้วยกันเกิดมีอาชีพขายประกันขึ้นมา เมื่อมาบอกกับรินว่าช่วยนัดธวัชให้ทีแต่อย่าบอกว่าจะมาขายประกันนะ แค่ให้ได้เข้าพบแล้วเดี๋ยวก้อยจัดการเอง รินก็นึกว่าก้อยอาจจะอยากให้ธวัชได้ทำประกันชีวิต คนมีเงินจึงจะทำประกัน ดังคำพูดหัวหน้าในบริษัทพูดว่า ข้าวไม่มีจะกรอกหม้อจะให้ทำประกันชีวิต เชอะ!
แกเกลียดพวกนี้ เพราะโดนตื๊อจากหลายคนที่ไม่รู้ว่าแกชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ทุกเดือน มายืมเงินต้นเดือนคืนสิ้นเดือนแล้วกลางเดือนยืมใหม่กับรินเสมอ
เมื่อจำเป็นต้องนัดแล้วรินก็ต้องไปด้วย ก็เพิ่งรู้ว่าก้อยเอาหัวหน้าชื่อโกวิทมาด้วย กลายเป็นแขกสามคนที่ธวัชต้องเผชิญ
ด้วยไม่รู้กลยุทธ์การขายประกันมาก่อน รินก็ได้ยินถึงการพูดเกริ่นว่า วันนี้นำข่าวดีมาให้ธวัช ด้วยเห็นมีกิจการเจริญใหญ่โต ทุกอย่างดี คุยถึงชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ว่าโด่งดัง แน่ละคนพูดหน้าตายิ้มแย้มชวนให้ผู้ฟังยิ้มตาม จนถึงจุดไคลแมกซว่า อนิจจังไม่เที่ยง ถ้าวันหนึ่งมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นทำให้มีผู้จากไป คนข้างหลังจะไม่ลำบากด้วยการฝากเงินเป็นเดือนจะคุ้มครองการสูญเสียเป็นจำนวนกี่เท่าขึ้นอยู่กับเบี้ยประกันที่ทำไว้
ถึงตอนนี้ธวัชหันมามองริน ๆรับรู้ถึงความคิดของธวัชทันที
โธ่เอ๋ย.. เราไม่น่าพาเขามาเลย สีหน้าธวัชคงเรียบเฉย ไม่สนใจถามถึงข้อแม้ใด ๆทั้งนั้น หลักการที่ว่าขายยากที่สุดคือ ลูกค้าไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย เพราะถ้ามีข้อสงสัย ย่อมสามารถตอบได้หมดตามที่ได้อบรมการโต้ตอบมา เมื่อหมดข้อขัดแย้ง ข้องใจก็ต้องจำยอมลงลายเซ็นเอกสารที่พร้อมยื่นมาให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้ว่าลูกค้าจะตามโทรบอกให้ชะลอก่อน เพิ่งนึกได้ว่าไม่น่าหลงเชื่อเขากล่อม ก็จะได้รับคำตอบว่าแจ้งส่งเข้าบริษัทไปแล้ว เมื่อปิดการขายได้แล้วย่อมเห็นตัวเงินในงานครั้งนี้แล้ว จะไปบอกว่ารอเพื่ออะไร ทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรถึงบริษัทเลย มิใช่ยุคการสื่อสารธุรกรรมดังสมัยปัจจุบัน
คืนนั้นเองรินก็ได้รับเสียงด่าจากธวัชอย่างไม่เคยรับมาก่อน
" มืงอย่าได้ทำอย่างนี้อีก มืงอยากได้เงินเท่าไรกูจะให้มืง มืงทำให้กูเสียเวลา เอาคนมาไล่ต้อนขายประกันกู กูไม่เกรงใจมืงแล้วนะ" ธวัชไม่เคยพูดแบบนี้นี่..
"วัชก็ก้อยเขาบอกว่า เขามีอาชีพใหม่ ชั้นจะไม่สนับสนุนเพื่อนเลยเหรอ แค่ช่วยนัดนายเขาขอคุยเท่านั้น ชั้นก็คิดว่านายอาจจะเห็นดีตามคำชักชวนเขาก็ได้ นายก็ปฏิเสธได้นี่นะ"
"ถ้ากูรู้ว่ามืงจะพาคนขายประกันมากูก็ปฏิเสธกับมืงไปแล้วนะ มืงจะได้คอมมิชชั่นเท่าไรวะ"
"เดี๋ยว.. เดี๋ยว ไม่มีหรอกเรื่องนั้นน่ะ เอาเป็นว่าชั้นขอโทษนายนะจ๊ะ ที่รัก โอเคมั้ย"
"เออ.. ไม่เป็นไรก็ได้ แค่นี้นะ"
ธวัชวางสายไปแล้ว รินสินอนนึกว่าอยู่ดีไม่ว่าดี เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองเอากระดูกมาแขวนคอ..
อาชีพของเพื่อนตามมารบกวน ตั้งแต่ขอรายชื่อคนที่แนะนำได้ให้สักสิบคน แต่โดนธวัชด่ามาก็เข็ดแล้วจึงไม่อยากเอาปัญหาไปให้ใครอีก
ต่อมาช่วงมื้ออาหารกลางวันที่บริษัทจัดเลี้ยงพนักงานที่โรงอาหารใต้ตึกออฟฟิศเป็นที่ทานอาหารเปิดโล่ง ใช้เวลาทานเสร็จราวครึ่งชั่วโมงก็เข้าทำงานต่อ มิใช่มีเวลาพักครบชั่วโมง
ขณะนั่งทานก็มีคนบอกว่า มีผู้ชายตัวสูงยืนมองมา นั่นคือหัวหน้าขายประกันของก้อยนั่นเอง เขามาทำไมก้อยฝากอะไรมารึ?
เมื่อรินลุกขี้นยืนเขาก็รีบเดินเข้ามาในบริเวณที่พนักงานทานข้าวทั้งหมดเกือบสองร้อยคน เขาไม่น่าเดินเข้ามาเป็นเป้าสายตาคน
คุณโกวิทยิ้มบนสีหน้าตลอดที่สบตากับคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับริน คนอื่นขยับที่ให้ เขาก็นั่งลง
ในขณะที่รินสงสัยว่ามีอะไร เพราะ
1. เขาไม่ได้นัด เราไม่ได้สนิทกันขนาดโผล่มาเมื่อไรก็ได้
2. เขาถือวิสาสะมาหาในเวลาทำงานที่บริษัท
3. มาในเวลาทานอาหารเป็นการรบกวน
แต่เขาก็อ้างถึงก้อยบอกว่ารินทำงานที่นี่ผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยม
รินนึกได้ทันทีว่าเป็นพฤติกรรมของนักขายประกันที่ต้องออกหาลูกค้า การไปเจอคนอาจจะมีโอกาสได้ขายกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตามดีกว่าไม่ออกไป เดือนหนึ่งต้องจดว่าไปพบกี่ราย
และรินก็เป็นจุดที่เขาอาจได้ขายคนที่นั่งรอบข้าง มีแต่ได้กับได้ เขาจึงมาถึงนี่ระยะทาง30 กม.จากในเมือง
วันนั้นรินตั้งรับไม่ทัน แม่ครัวเอาอาหารมาให้แขกของรินด้วย ทั้งที่ไม่น่าจะต้องให้อาหารแขก
แต่คนไทยใครมาต้องต้อนรับและที่สำคัญคงเพราะเป็นแขกของรินที่มาเวลานี้และรินก็คุมห้องอาหารนี้อยู่
คุณโกวิทถือโอกาสมาหาอาศัยกินข้าวเที่ยงอย่างน้อยสามครั้ง โดยที่รินไม่ได้ไปบอกกับก้อยว่าหัวหน้าเธอไม่ควรมาหารินที่ทำงานนะ มันไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง
ด้านได้อายอดคงไม่ห่างไกลกับคำนี้ มารยาทและความเกรงใจคนละส่วนกับอาชีพนี้
และยังมีเรื่องที่นึกไม่ถึง..
รินนัดจะไปเลี้ยงดินเนอร์ก้อยไปกันสองคนที่โรงแรมห้าดาวกลางกรุงห้อง Seafood ตอนค่ำ
เมื่อถึงเวลาก็พบก้อยรออยู่แล้ว จึงพากันเดินไปยังห้องอาหารได้โต๊ะนั่ง เมื่อบริการมารับสั่งอาหารแล้ว เสียงโทรศัพท์ก้อยก็ดังขึ้น
" ฮัลโหล"
"........."
" ก้อยอยู่กับพี่รินนะ "
" ........"
"พี่รินคุณโกวิทเขาอยู่แถวนี้ ให้เขามากินด้วยได้มั้ย"
คำถามจากก้อยพร้อมโทรศัพท์ที่รอรับคำตอบ
ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ก็แค่สั่นหน้ามิต้องพูดก็ได้
นั่นเป็นหัวหน้าของก้อยนะ และก้องร้องขอ ก้อยน่าจะปฏิเสธไปนี่เป็น Sitdown dinner นะ
เขารึจะมาทำอะไรในเมืองแถวนี้ เวลานี้ ไม่กลับไปกินข้าวกับลูกเมีย คงต้องนัดกันไว้แล้ว
รินรู้แต่ไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร กลับคิดไปว่าคุณโกวิทคงมา
แจมด้วยจ่ายค่าอาหารของตนตามธรรมเนียมสุภาพบุรุษ หรือก้อยอาจจะจัดการได้
ไม่กี่นาทีคุณโกวิทก็โผล่มาก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟเสียอีก คงแค่หาที่จอดรถ
เอ่ยทักทายกันอย่างไม่ยินดี
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟก็จัดการกับอาหารของตน ก้อยกับรินไม่มีเรื่องคุยกันเลย เพราะเขาทั้งสองตั้งหน้าคุยกันแต่เรื่องงานประกันทั้งที่เขาก็มีเวลาทำงานด้วยกัน แต่มาใช้เวลานี้ราวกับจำเป็นมาก รินก้มหน้าคิดว่า มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร จนหาทางออกโดยไปเข้าห้องน้ำ
อัดอั้นมากถึงแม้จะปล่อยปัสสาวะไหลออกแล้วก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหลุดพ้นบรรยากาศตอนนี้ไปได้อย่างไร
หนีกลับเลยดีมั้ย?
แล้วจะตอบคำถามว่าอย่างไรต้องเจอคำถามแน่ๆหลังจากวันนี้ หนีไม่พ้นหรอก จึงต้องเดินถ่วงเวลาช้าๆกลับมานั่งที่เดิม คงนานมากทีเดียวเพราะสองคนนั่นทานเสร็จแล้วพร้อมกับหยุดคุย
ก็ต้องถึงเวลาเช็คบิลสินะ เรียกบริกรมารับไป แต่มีเชฟสวมหมวกขาวเดินมาพร้อมกับเอาที่คีบปูทองเหลืองมาวางให้หนึ่งอันพร้อมกับพูดว่าให้เป็น Souvenir ด้วยความขอบคุณ
(มีต่อ..)
'พลอยแดง'