ขอสงวนสิทธิ์ ห้ามนำไปเผยแพร่ในรูปแบบใด ๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เขียน ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการตามกฏหมายค่ะ
เรื่องนี้ผู้เขียน เขียนขึ้นจากจินตนาการเพื่อความบันเทิง โดยอิงประวัติศาสตร์การสู้รบระหว่างทหารอาสาฯจงอางศึกที่ไปรบอยู่ในสงครามเวียดนาม ตัวละครไม่มีอยู่จริง เหตุการณ์ในเรื่องถูกสมมุติขึ้นทั้งสิ้น อยากทำเป็นแอมมิเนชั่นค่ะ ถ้าช่องแอมมิเนชั่นใดสนใจ ติดต่อหลังไมค์มานะคะ
สมรภูมิเหนือมนุษย์ ตอน จงอางศึกผจญสมิงดง
โดย ล. วิลิศมาหรา
ในสมัยสงครามเวียดนาม ประเทศเวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและใต้ เวียดนามเหนือเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ เวียดนามใต้เป็นฝ่ายโลกเสรี ตอนนั้นมักมีข่าวลือว่าทหารไทยและทหารเวียดนามเหนือบางหน่วย ต่างมีนักรบที่มีความเก่งกาจทางด้านคาถาอาคม ทางด้านทหารไทยเล่าลือกันว่าเป็นทหารที่มีหนังเหนียว อยู่ยงคงกระพัน อาวุธยิงฟันไม่เข้า บางทีถูกยิงล้มลงไปแล้วก็ยังลุกขึ้นมาใหม่อีก จนถูกขนานนามว่าเป็นทหารผีหรือนักรบปีศาจ
ส่วนนักรบเวียดนามเหนือนั้นก็ชำนาญการรบในป่าอย่างหาตัวจับยาก จนแม้แต่กองทัพที่มีแสนยานุภาพทางด้านการทหารและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ก็ยังเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึง และไม่สามารถจะจัดการปราบปรามลงได้อย่างเด็ดขาด นักรบเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงทหารที่ชำนาญการรบในป่าเท่านั้น หากแต่ยังมีบางอย่างที่เป็นปริศนา เกิดเป็นที่โจษขานเล่าลือกันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทหารพวกนี้เรียกกันว่าเป็นนักรบอาคม
สงครามคราวนั้น ประเทศไทยซึ่งอยู่ข้างฝ่ายของโลกเสรี ก็ได้ส่งทหารอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนในสงครามครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นหน่วยที่มีชื่อเรียกว่า ‘นักรบจงอางศึก’ ทหารไทยไม่ได้มีภารกิจทางด้านการรบเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยสนับสนุนและให้การดูแลคุ้มครองชีวิตของชาวบ้าน เพื่อให้ดำเนินชีวิตไปด้วยความปลอดภัย
วันหนึ่ง ชุดปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนของจงอางศึก กำลังเดินทางกลับฐานที่มั่น ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทหารทุกนายเดินทางกันมาด้วยความระแวดระวังภัย ด้วยรู้มาจากสายข่าวว่ากำลังพลของเวียดกงจำนวนหนึ่งได้แฝงตัวเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้แล้ว เวียดกงก็คือประชาชนที่อยู่ในเวียดนามใต้ แต่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองของที่นั่น จึงรวมตัวกันต่อต้านการปกครองของชนชั้นปกครองในเวียดนามใต้
(ภาพทหารหน่วยจงอางศึกของไทยกำลังเดินแถวกลับค่าย กำลังพลที่ไปรบในสงครามเวียดนาม ได้รับแจกชุดสนามเลียนแบบของทหารอเมริกัน เรียกกันว่าชุดเวสต์มอร์แลนด์ ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลค่ะ)
(ตราสัญลักษณ์ทหารอาสาฯจงอางศึก ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลค่ะ)
จงอางศึกทุกนายจึงเตรียมพร้อมรับมือด้วยความระมัดระวังและตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ได้มีความประมาทเผอเรอต่อศัตรู จ่าธงผู้ทำหน้าที่คุ้มกันและตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งกำลังทำการเกี่ยวข้าวกันอยู่ เดินคู่มากับพลทหารสันต์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน ทหารทั้งสองนายมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งหอบกระจาดใส่ดอกบัวเดินสวนมา เธอมีรูปร่างหน้าตาที่ดูคมขำสวยงามตามแบบฉบับของสาวเวียดนาม หญิงสาวส่งยิ้มให้แก่จ่าธง หนุ่มสาวทั้งสองมองสบตากัน แต่แค่อึดใจเดียวเท่านั้น โดยที่ไม่มีใครได้ทันคาดคิด เสียงปืนก็ระเบิดดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว พวกชาวบ้านที่กำลังทำงานอยู่ที่กลางทุ่งนาพากันแตกฮือ หนีตายกันจ้าละหวั่น หญิงสาวคนนั้นดูเหมือนจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ จ่าธงเห็นท่าไม่ดี จึงรีบกระโดดเข้าไปผลักตัวเธอให้ล้มลง ตัวเขาเองทาบทับบดบังอยู่บนตัวเธอ พร้อมกับรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ข้างขวา รู้สึกมึนชาไปตลอดทั้งบ่าและหัวไหล่ข้างนั้น สติเลือนรางลง เหมือนตัวกำลังล่องลอยไป ก่อนที่เสียงปืนจะระเบิดกึกก้องขึ้นมาอย่างชนิดหูดับตับไหม้ เขาได้ยินเสียงของพลทหารสันต์ร้องดังอยู่ไกล ๆ
“มาช่วยกันทางนี้ก่อนเร็ว จ่าธงถูกยิง เลือดออกมาก จ่า...จ่า แข็งใจไว้ก่อนนะ ตื่น ตื่น อย่าเพิ่งหลับ”
รู้สึกว่ามีคนเข้ามาประคองตัวเขา และเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของหญิงสาวที่เขาเอาตัวเข้ากำบัง กำลังมองมาด้วยสายตาที่หวาดกลัวและตื่นตกใจ จากนั้นสติสัมปชัญญะทั้งมวลของจ่าธงก็ดับวูบไป
ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกทีในฐานที่มั่นของกองร้อยตัวเอง จ่าธงได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์สนาม ซึ่งได้ทำการผ่าเอาหัวกระสุนปืนออกจากหัวไหล่ข้างขวาของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพ้นจากขีดอันตราย มีหญิงสาวที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เดินเข้ามาขอบคุณถึงข้างในฐาน เธอคนนั้นมีชื่อว่าซัน เธอได้เอาดอกบัวและยาสมุนไพรมามอบให้แก่จ่าธง เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอ
“ขอโทษที่ทำให้จ่าต้องได้รับบาดเจ็บ ซันเอายาสมุนไพรที่ปรุงขึ้นเองมาให้จ่าชงน้ำอุ่นกินนะจ๊ะ สมุนไพรชนิดนี้จะช่วยทำให้แผลของจ่าหายไวขึ้น”
จ่าธงที่พอจะฟังภาษาเวียดนามออกฝืนส่งยิ้มให้แก่หญิงสาว เขาบอกเธอว่าไม่เป็นไร ตอนนี้เขาเองได้ปลอดภัยแล้ว ซันจึงเอาดอกบัวปักแจกันไว้ให้ เธอชงยาสมุนไพรให้เขากิน ส่งยิ้มหวานน่ารักมา และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าขอให้จ่าธงหายบาดเจ็บโดยไว
ตั้งแต่บัดนั้นมา จ่าธงกับซันก็เริ่มสนิทสนมกัน คนทั้งสองมักไปมาหาสู่กัน และออกไปเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านด้วยกันบ่อย ๆ เวลาจ่าธงออกไปปฏิบัติการทางจิตวิทยาในหมู่บ้านของซัน ความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นับวันมีแต่จะผูกพันกันมากขึ้น กระทั่งจ่าธงฝันไกลไปถึงขนาดที่ว่าหลังสงครามจบสิ้นลง เขาจะขอเธอแต่งงาน
เช้าวันหนึ่ง จ่าธงไปหาซันถึงที่บ้านด้วยความคิดถึง มันเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่เคยไปหาเธอมาก่อน และไม่ได้บอกกล่าวแก่เธอล่วงหน้าว่าจะมา พอไปถึงหน้าบ้านของซัน เขาสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ภายในบ้านของซันด้วย เธอมีท่าทางตกใจที่เห็นจ่าธงมาหาในเวลานั้น แต่เธอก็เชื้อเชิญให้เขาเข้ามา และแนะนำจ่าธงให้รู้จักกับผู้ชายที่มีชื่อว่าเฮียน ซึ่งซันบอกว่าเป็นพี่ชายของเธอเอง
เมื่อสบตากับเฮียน จ่าธงรู้สึกว่าเฮียนดูมีแววตาที่ลึกล้ำ แฝงความฉลาดเฉลียว แต่เมื่อได้ยินซันพูดถึงพี่ชายของเธอว่าเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เฮียนจึงพอสื่อสารเป็นภาษาไทยได้ จ่าธงถึงเข้าใจ และตัวเขาเองก็พอฟังภาษาเวียดนามออก ดังนั้นผู้ชายทั้งสองจึงพูดจากันรู้เรื่อง ความที่เฮียนดูเป็นคนใจดี และมีความทันสมัยอยู่ในตัว ประกอบกับเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ผู้ชายทั้งคู่จึงรู้สึกเป็นมิตรสหายต่อกันอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตน้องผมไว้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นภารกิจของหน่วยทหารเรา ที่จะต้องดูแลความปลอดภัยให้แก่หมู่บ้านอยู่แล้วล่ะครับ”
จ่าธงตอบเป็นภาษาเวียดนามกลับไป เฮียนยิ้มอย่างพึงพอใจ เขากับจ่าธงพูดคุยกันด้วยความมีน้ำใจไมตรี
ขณะนั้นเอง ได้มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาภายในบ้านของซัน เขาคนนี้มีรูปร่างที่สูงใหญ่ผิดกว่าผู้ชายชาวเวียดนามโดยทั่วไป สีหน้าแววตาดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจที่เห็นทหารไทยเข้ามาอยู่ภายในบ้านของซัน ซันจึงแนะนำผู้ชายคนนี้ให้จ่าธงรู้จักว่าชื่อมินห์
“นี่มันก็ใกล้เที่ยงแล้ว ทหารไทยคนนี้ควรจะกลับไปที่ฐานได้แล้วนะ”
มินห์ที่มีดวงตาดุดัน มองดูแวววาวราวกับเป็นนัยน์ตาของพยัคฆ์ร้ายที่จ้องตะครุบเหยื่อ เหลือบสายตาขึ้นมามองใบหน้าของจ่าธง เขาไม่พูดด้วยกับจ่าธง แต่หันไปพูดกับซันแทน
“เขาเป็นแขกของฉันนะ อย่าเสียมารยาทสิ มินห์”
ซันมีท่าทีไม่พอใจต่อการแสดงกิริยาไม่เหมาะสมของมินห์ต่อจ่าธง ทำให้มินห์แสดงท่าทีโมโหออกมา เขาไม่พูดไม่จาด้วยอีก และผลุนผลันเดินออกจากบ้านของซันไป
“อย่าถือสามินห์มันเลยนะจ่า เขาเป็นเพื่อนกับซัน และไม่ชอบให้ใครมาเข้าใกล้ซันน่ะ เขาแอบชอบซันอยู่” เฮียนบอกยิ้ม ๆ กับทหารหนุ่ม ที่ร้องอ๋อ ออกมาอย่างเข้าใจ
“แต่ฉันไม่ได้ชอบเขานะพี่ ฉันกับมินห์แค่เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันเท่านั้นเอง”
ซันรีบปฏิเสธออกมาทันที ทำให้จ่าธงรู้สึกใจชื้นขึ้น เขาหันมายิ้มให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็มีสีหน้าที่เอียงอาย เฮียนมองหนุ่มสาวทั้งสองยิ้ม ๆ เขาไม่ได้มีท่าทางหวงน้องสาวแต่อย่างใด ดูจะสนับสนุนเสียด้วยซ้ำไป อยู่พูดคุยกับซันและเฮียนอีกสักครู่ จ่าธงก็ลากลับฐานไป
วันต่อมา ซันได้มาหาจ่าธงที่ฐาน และมาชวนให้ออกไปเดินเล่นที่หนองน้ำแห่งหนึ่งด้วยกัน หนองน้ำนั้นอยู่ทางท้ายหมู่บ้านซึ่งเธอมักจะไปเก็บดอกบัวมาทำเป็นยาสมุนไพรอยู่เป็นประจำ ขณะกำลังยืนคุยกันอยู่ที่ข้างหนองน้ำนั้นเอง จ่าธงอยากจะบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอ จึงจับมือเธอเพื่อสารภาพรัก
ทันใดนั้น ได้มีเสียงเสือร้องคำรามดังมาจากหลังพุ่มไม้ข้างหนองน้ำ เสือโคร่งตัวหนึ่งก้าวเดินออกมาอย่างช้า ๆ จ้องดวงตาแวววาวของมันมาที่จ่าธงอย่างประสงค์ร้าย แล้วก่อนที่จ่าธงจะคิดอ่านทำประการใด เจ้าเสือร้ายก็พุ่งทะยานเข้าใส่เขาทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของทหารหนุ่ม พลัน ซันก็ถลันเอาตัวเข้ากั้นกลางระหว่างเสือโคร่งกับจ่าธง เธอได้ร้องห้ามเสือออกไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“อย่านะ! อย่าทำเค้า!”
เจ้าเสือร้ายหยุดชะงักลงทันที เหมือนมันจะยอมรับฟังคำสั่งของซัน และดูมันจะไม่กล้าทำอันตรายแก่ซัน ซันรีบดึงมือจ่าธงให้วิ่งหนี ระหว่างที่วิ่งหนีมา จ่าธงเหลียวหลังไปดู เห็นเจ้าเสือยังยืนแยกเขี้ยวส่งเสียงคำรามดังกึกก้องตามหลังมา ก่อนมันจะกระโจนหายเข้าดงไม้ไป
“ทำไมเสือมันไม่ทำร้ายซัน และมันไม่ได้ไล่ตามหลังเรามา”
เมื่อเห็นเสือกระโจนหายเข้าดงไม้ไปแล้ว จ่าธงจึงดึงมือซันให้หยุดวิ่ง เขาหอบหายใจแรง พลางร้องถามซันด้วยความแปลกใจ หญิงสาวลดฝีเท้าลงเป็นมาเดินเคียงคู่ไปกับจ่าธง เธอบอกกับเขาว่า น่าจะเป็นเพราะเจ้าเสือตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของคนที่นี่ และมันมีความเชื่องต่อมนุษย์ จ่าธงมองหน้าซันอย่างคลางแคลงใจ ด้วยไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดของเธอนัก แต่เขาก็ไม่อาจรู้ถึงสาเหตุที่เสือไม่ทำร้ายซัน
ในเวลาต่อมา คืนหนึ่ง พวกแซปเปอร์หรือหน่วยจู่โจมของเวียดกงก็เข้ามาโจมตีฐานของจงอางศึก พวกมันระดมยิงเข้ามาในฐานอย่างไม่นับ แต่ทหารจงอางศึกก็ช่วยกันกระหน่ำยิงตอบโต้พวกมันแบบไม่นับเช่นเดียวกัน เวียดกงบางคนถือแผ่นไม้กระดานแบบพับได้ วิ่งเข้ามาพาดลวดหนามหีบเพลง เพื่อจะไต่ข้ามมา แต่พอข้ามลวดหนามมาได้ ก็เจอทหารไทยยิงสกัดจนล้มตายลงติดอยู่กับรั้วลวดหนามไปหลายศพ
พอจวนใกล้สว่าง พวกเวียดกงได้ล่าถอยไป ทิ้งศพพรรคพวกไว้ให้นอนตายเกลื่อนอยู่บริเวณรอบฐาน จ่าธงออกเดินตรวจตราดูสภาพศพของศัตรู ก่อนจะหยุดยืนดูอยู่ที่ซากศพของผู้ชายคนหนึ่ง ดวงตาของจ่าธงเบิกโพลงขึ้น เพราะศพนั้นมันคือเฮียน!
(โปรดติดตามตอนจบได้ในกระทู้ต่อไปค่ะ)
สมรภูมิเหนือมนุษย์ ตอน จงอางศึกผจญสมิง
ในสมัยสงครามเวียดนาม ประเทศเวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและใต้ เวียดนามเหนือเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ เวียดนามใต้เป็นฝ่ายโลกเสรี ตอนนั้นมักมีข่าวลือว่าทหารไทยและทหารเวียดนามเหนือบางหน่วย ต่างมีนักรบที่มีความเก่งกาจทางด้านคาถาอาคม ทางด้านทหารไทยเล่าลือกันว่าเป็นทหารที่มีหนังเหนียว อยู่ยงคงกระพัน อาวุธยิงฟันไม่เข้า บางทีถูกยิงล้มลงไปแล้วก็ยังลุกขึ้นมาใหม่อีก จนถูกขนานนามว่าเป็นทหารผีหรือนักรบปีศาจ
ส่วนนักรบเวียดนามเหนือนั้นก็ชำนาญการรบในป่าอย่างหาตัวจับยาก จนแม้แต่กองทัพที่มีแสนยานุภาพทางด้านการทหารและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ก็ยังเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึง และไม่สามารถจะจัดการปราบปรามลงได้อย่างเด็ดขาด นักรบเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงทหารที่ชำนาญการรบในป่าเท่านั้น หากแต่ยังมีบางอย่างที่เป็นปริศนา เกิดเป็นที่โจษขานเล่าลือกันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทหารพวกนี้เรียกกันว่าเป็นนักรบอาคม
สงครามคราวนั้น ประเทศไทยซึ่งอยู่ข้างฝ่ายของโลกเสรี ก็ได้ส่งทหารอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนในสงครามครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นหน่วยที่มีชื่อเรียกว่า ‘นักรบจงอางศึก’ ทหารไทยไม่ได้มีภารกิจทางด้านการรบเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยสนับสนุนและให้การดูแลคุ้มครองชีวิตของชาวบ้าน เพื่อให้ดำเนินชีวิตไปด้วยความปลอดภัย
วันหนึ่ง ชุดปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนของจงอางศึก กำลังเดินทางกลับฐานที่มั่น ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทหารทุกนายเดินทางกันมาด้วยความระแวดระวังภัย ด้วยรู้มาจากสายข่าวว่ากำลังพลของเวียดกงจำนวนหนึ่งได้แฝงตัวเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้แล้ว เวียดกงก็คือประชาชนที่อยู่ในเวียดนามใต้ แต่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองของที่นั่น จึงรวมตัวกันต่อต้านการปกครองของชนชั้นปกครองในเวียดนามใต้
(ภาพทหารหน่วยจงอางศึกของไทยกำลังเดินแถวกลับค่าย กำลังพลที่ไปรบในสงครามเวียดนาม ได้รับแจกชุดสนามเลียนแบบของทหารอเมริกัน เรียกกันว่าชุดเวสต์มอร์แลนด์ ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลค่ะ)
(ตราสัญลักษณ์ทหารอาสาฯจงอางศึก ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ลค่ะ)
จงอางศึกทุกนายจึงเตรียมพร้อมรับมือด้วยความระมัดระวังและตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ได้มีความประมาทเผอเรอต่อศัตรู จ่าธงผู้ทำหน้าที่คุ้มกันและตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งกำลังทำการเกี่ยวข้าวกันอยู่ เดินคู่มากับพลทหารสันต์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน ทหารทั้งสองนายมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งหอบกระจาดใส่ดอกบัวเดินสวนมา เธอมีรูปร่างหน้าตาที่ดูคมขำสวยงามตามแบบฉบับของสาวเวียดนาม หญิงสาวส่งยิ้มให้แก่จ่าธง หนุ่มสาวทั้งสองมองสบตากัน แต่แค่อึดใจเดียวเท่านั้น โดยที่ไม่มีใครได้ทันคาดคิด เสียงปืนก็ระเบิดดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว พวกชาวบ้านที่กำลังทำงานอยู่ที่กลางทุ่งนาพากันแตกฮือ หนีตายกันจ้าละหวั่น หญิงสาวคนนั้นดูเหมือนจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ จ่าธงเห็นท่าไม่ดี จึงรีบกระโดดเข้าไปผลักตัวเธอให้ล้มลง ตัวเขาเองทาบทับบดบังอยู่บนตัวเธอ พร้อมกับรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ข้างขวา รู้สึกมึนชาไปตลอดทั้งบ่าและหัวไหล่ข้างนั้น สติเลือนรางลง เหมือนตัวกำลังล่องลอยไป ก่อนที่เสียงปืนจะระเบิดกึกก้องขึ้นมาอย่างชนิดหูดับตับไหม้ เขาได้ยินเสียงของพลทหารสันต์ร้องดังอยู่ไกล ๆ
“มาช่วยกันทางนี้ก่อนเร็ว จ่าธงถูกยิง เลือดออกมาก จ่า...จ่า แข็งใจไว้ก่อนนะ ตื่น ตื่น อย่าเพิ่งหลับ”
รู้สึกว่ามีคนเข้ามาประคองตัวเขา และเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของหญิงสาวที่เขาเอาตัวเข้ากำบัง กำลังมองมาด้วยสายตาที่หวาดกลัวและตื่นตกใจ จากนั้นสติสัมปชัญญะทั้งมวลของจ่าธงก็ดับวูบไป
ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกทีในฐานที่มั่นของกองร้อยตัวเอง จ่าธงได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์สนาม ซึ่งได้ทำการผ่าเอาหัวกระสุนปืนออกจากหัวไหล่ข้างขวาของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพ้นจากขีดอันตราย มีหญิงสาวที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เดินเข้ามาขอบคุณถึงข้างในฐาน เธอคนนั้นมีชื่อว่าซัน เธอได้เอาดอกบัวและยาสมุนไพรมามอบให้แก่จ่าธง เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอ
“ขอโทษที่ทำให้จ่าต้องได้รับบาดเจ็บ ซันเอายาสมุนไพรที่ปรุงขึ้นเองมาให้จ่าชงน้ำอุ่นกินนะจ๊ะ สมุนไพรชนิดนี้จะช่วยทำให้แผลของจ่าหายไวขึ้น”
จ่าธงที่พอจะฟังภาษาเวียดนามออกฝืนส่งยิ้มให้แก่หญิงสาว เขาบอกเธอว่าไม่เป็นไร ตอนนี้เขาเองได้ปลอดภัยแล้ว ซันจึงเอาดอกบัวปักแจกันไว้ให้ เธอชงยาสมุนไพรให้เขากิน ส่งยิ้มหวานน่ารักมา และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าขอให้จ่าธงหายบาดเจ็บโดยไว
ตั้งแต่บัดนั้นมา จ่าธงกับซันก็เริ่มสนิทสนมกัน คนทั้งสองมักไปมาหาสู่กัน และออกไปเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านด้วยกันบ่อย ๆ เวลาจ่าธงออกไปปฏิบัติการทางจิตวิทยาในหมู่บ้านของซัน ความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นับวันมีแต่จะผูกพันกันมากขึ้น กระทั่งจ่าธงฝันไกลไปถึงขนาดที่ว่าหลังสงครามจบสิ้นลง เขาจะขอเธอแต่งงาน
เช้าวันหนึ่ง จ่าธงไปหาซันถึงที่บ้านด้วยความคิดถึง มันเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่เคยไปหาเธอมาก่อน และไม่ได้บอกกล่าวแก่เธอล่วงหน้าว่าจะมา พอไปถึงหน้าบ้านของซัน เขาสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ภายในบ้านของซันด้วย เธอมีท่าทางตกใจที่เห็นจ่าธงมาหาในเวลานั้น แต่เธอก็เชื้อเชิญให้เขาเข้ามา และแนะนำจ่าธงให้รู้จักกับผู้ชายที่มีชื่อว่าเฮียน ซึ่งซันบอกว่าเป็นพี่ชายของเธอเอง
เมื่อสบตากับเฮียน จ่าธงรู้สึกว่าเฮียนดูมีแววตาที่ลึกล้ำ แฝงความฉลาดเฉลียว แต่เมื่อได้ยินซันพูดถึงพี่ชายของเธอว่าเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เฮียนจึงพอสื่อสารเป็นภาษาไทยได้ จ่าธงถึงเข้าใจ และตัวเขาเองก็พอฟังภาษาเวียดนามออก ดังนั้นผู้ชายทั้งสองจึงพูดจากันรู้เรื่อง ความที่เฮียนดูเป็นคนใจดี และมีความทันสมัยอยู่ในตัว ประกอบกับเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ผู้ชายทั้งคู่จึงรู้สึกเป็นมิตรสหายต่อกันอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตน้องผมไว้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นภารกิจของหน่วยทหารเรา ที่จะต้องดูแลความปลอดภัยให้แก่หมู่บ้านอยู่แล้วล่ะครับ”
จ่าธงตอบเป็นภาษาเวียดนามกลับไป เฮียนยิ้มอย่างพึงพอใจ เขากับจ่าธงพูดคุยกันด้วยความมีน้ำใจไมตรี
ขณะนั้นเอง ได้มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาภายในบ้านของซัน เขาคนนี้มีรูปร่างที่สูงใหญ่ผิดกว่าผู้ชายชาวเวียดนามโดยทั่วไป สีหน้าแววตาดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจที่เห็นทหารไทยเข้ามาอยู่ภายในบ้านของซัน ซันจึงแนะนำผู้ชายคนนี้ให้จ่าธงรู้จักว่าชื่อมินห์
“นี่มันก็ใกล้เที่ยงแล้ว ทหารไทยคนนี้ควรจะกลับไปที่ฐานได้แล้วนะ”
มินห์ที่มีดวงตาดุดัน มองดูแวววาวราวกับเป็นนัยน์ตาของพยัคฆ์ร้ายที่จ้องตะครุบเหยื่อ เหลือบสายตาขึ้นมามองใบหน้าของจ่าธง เขาไม่พูดด้วยกับจ่าธง แต่หันไปพูดกับซันแทน
“เขาเป็นแขกของฉันนะ อย่าเสียมารยาทสิ มินห์”
ซันมีท่าทีไม่พอใจต่อการแสดงกิริยาไม่เหมาะสมของมินห์ต่อจ่าธง ทำให้มินห์แสดงท่าทีโมโหออกมา เขาไม่พูดไม่จาด้วยอีก และผลุนผลันเดินออกจากบ้านของซันไป
“อย่าถือสามินห์มันเลยนะจ่า เขาเป็นเพื่อนกับซัน และไม่ชอบให้ใครมาเข้าใกล้ซันน่ะ เขาแอบชอบซันอยู่” เฮียนบอกยิ้ม ๆ กับทหารหนุ่ม ที่ร้องอ๋อ ออกมาอย่างเข้าใจ
“แต่ฉันไม่ได้ชอบเขานะพี่ ฉันกับมินห์แค่เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันเท่านั้นเอง”
ซันรีบปฏิเสธออกมาทันที ทำให้จ่าธงรู้สึกใจชื้นขึ้น เขาหันมายิ้มให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็มีสีหน้าที่เอียงอาย เฮียนมองหนุ่มสาวทั้งสองยิ้ม ๆ เขาไม่ได้มีท่าทางหวงน้องสาวแต่อย่างใด ดูจะสนับสนุนเสียด้วยซ้ำไป อยู่พูดคุยกับซันและเฮียนอีกสักครู่ จ่าธงก็ลากลับฐานไป
วันต่อมา ซันได้มาหาจ่าธงที่ฐาน และมาชวนให้ออกไปเดินเล่นที่หนองน้ำแห่งหนึ่งด้วยกัน หนองน้ำนั้นอยู่ทางท้ายหมู่บ้านซึ่งเธอมักจะไปเก็บดอกบัวมาทำเป็นยาสมุนไพรอยู่เป็นประจำ ขณะกำลังยืนคุยกันอยู่ที่ข้างหนองน้ำนั้นเอง จ่าธงอยากจะบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอ จึงจับมือเธอเพื่อสารภาพรัก
ทันใดนั้น ได้มีเสียงเสือร้องคำรามดังมาจากหลังพุ่มไม้ข้างหนองน้ำ เสือโคร่งตัวหนึ่งก้าวเดินออกมาอย่างช้า ๆ จ้องดวงตาแวววาวของมันมาที่จ่าธงอย่างประสงค์ร้าย แล้วก่อนที่จ่าธงจะคิดอ่านทำประการใด เจ้าเสือร้ายก็พุ่งทะยานเข้าใส่เขาทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของทหารหนุ่ม พลัน ซันก็ถลันเอาตัวเข้ากั้นกลางระหว่างเสือโคร่งกับจ่าธง เธอได้ร้องห้ามเสือออกไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“อย่านะ! อย่าทำเค้า!”
เจ้าเสือร้ายหยุดชะงักลงทันที เหมือนมันจะยอมรับฟังคำสั่งของซัน และดูมันจะไม่กล้าทำอันตรายแก่ซัน ซันรีบดึงมือจ่าธงให้วิ่งหนี ระหว่างที่วิ่งหนีมา จ่าธงเหลียวหลังไปดู เห็นเจ้าเสือยังยืนแยกเขี้ยวส่งเสียงคำรามดังกึกก้องตามหลังมา ก่อนมันจะกระโจนหายเข้าดงไม้ไป
“ทำไมเสือมันไม่ทำร้ายซัน และมันไม่ได้ไล่ตามหลังเรามา”
เมื่อเห็นเสือกระโจนหายเข้าดงไม้ไปแล้ว จ่าธงจึงดึงมือซันให้หยุดวิ่ง เขาหอบหายใจแรง พลางร้องถามซันด้วยความแปลกใจ หญิงสาวลดฝีเท้าลงเป็นมาเดินเคียงคู่ไปกับจ่าธง เธอบอกกับเขาว่า น่าจะเป็นเพราะเจ้าเสือตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของคนที่นี่ และมันมีความเชื่องต่อมนุษย์ จ่าธงมองหน้าซันอย่างคลางแคลงใจ ด้วยไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดของเธอนัก แต่เขาก็ไม่อาจรู้ถึงสาเหตุที่เสือไม่ทำร้ายซัน
ในเวลาต่อมา คืนหนึ่ง พวกแซปเปอร์หรือหน่วยจู่โจมของเวียดกงก็เข้ามาโจมตีฐานของจงอางศึก พวกมันระดมยิงเข้ามาในฐานอย่างไม่นับ แต่ทหารจงอางศึกก็ช่วยกันกระหน่ำยิงตอบโต้พวกมันแบบไม่นับเช่นเดียวกัน เวียดกงบางคนถือแผ่นไม้กระดานแบบพับได้ วิ่งเข้ามาพาดลวดหนามหีบเพลง เพื่อจะไต่ข้ามมา แต่พอข้ามลวดหนามมาได้ ก็เจอทหารไทยยิงสกัดจนล้มตายลงติดอยู่กับรั้วลวดหนามไปหลายศพ
พอจวนใกล้สว่าง พวกเวียดกงได้ล่าถอยไป ทิ้งศพพรรคพวกไว้ให้นอนตายเกลื่อนอยู่บริเวณรอบฐาน จ่าธงออกเดินตรวจตราดูสภาพศพของศัตรู ก่อนจะหยุดยืนดูอยู่ที่ซากศพของผู้ชายคนหนึ่ง ดวงตาของจ่าธงเบิกโพลงขึ้น เพราะศพนั้นมันคือเฮียน!
(โปรดติดตามตอนจบได้ในกระทู้ต่อไปค่ะ)