ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้บำเพ็ญทานรักษาศีลตลอดมามิได้บกพร่องจนกระทั่งถึงบั้นปลายแห่งชีวิต
ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ท่านได้ล้มป่วยหนักลง จนท่านรู้ตัวว่าจะต้องตายแน่แล้ว จึงได้ส่งคนไปกราบทูลพระพุทธองค์ว่า
ท่านป่วยหนัก จนถึงนอนลุกไม่ได้อีก บัดนี้ขอน้อมเกล้าถวายบังคมมาถึงพระองค์ และพร้อมกันนั้นก็ให้นิมนต์ท่านพระสารีบุตรเถระ มาที่บ้านด้วย
ท่านพระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยท่านพระอานนท์ได้ไปเยี่ยมท่านเศรษฐีที่บ้าน ไต่ถามถึงความป่วยไข้แล้ว ได้แสดงธรรมเทศนา ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า
"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
ซึ่งเป็นคำสอนให้ถอน ตัณหา ทิฐิ มานะ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นว่านี้ของเรา นี้เป็นเรา นี้เป็นตัวของเรา เป็นต้น
เมื่อจบธรรมเทศนาแล้วก็ลากลับ.
ท่านเศรษฐีร้องไห้น้ำตาไหล ถึงกับพูดว่า ยังไม่เคยฟังธรรมกถาที่ไพเราะจับใจถึงเพียงนี้เลย
ธรรมเทศนานี้มีชื่อว่า อนาถบิณฑิโกวาทสูตร
ครั้นท่านพระเถระทั้งสองจากไปแล้วไม่นานนัก ท่านเศรษฐีก็ถึงกาลกิริยาตายบนเตียงนอนของท่านเอง แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.
ในคืนนั้นเอง ตอนปฐมยามล่วงไปแล้ว อนาถบิณฑิกเทพบุตรผู้มีรัศมีอันงดงามได้ลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวันมหาวิหาร ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลพรรณนาพระเชตวันมหาวิหาร และสรรเสริญคุณท่านพระสารีบุตรเถระว่า
"พระเชตวันมหาวิหารนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผู้เป็นธรรมราชาประทับอยู่ เป็นที่เกิดปีติแก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ๕ อย่างนี้ คือ
๑. กรรม ๒. วิชชา ๓. ธรรม ๔. ศีล ๕. ชีวิตอุดม
ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์
เพราะฉะนั้นแลบุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคายอย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้นได้
พระสารีบุตรเถระ นั้นและย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ ความจริงภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว จะอย่างยิ่งก็เท่าพระสารีบุตรเถระ นี้เท่านั้น."
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ
วาระสุดท้ายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ครั้งพุทธกาล
ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ท่านได้ล้มป่วยหนักลง จนท่านรู้ตัวว่าจะต้องตายแน่แล้ว จึงได้ส่งคนไปกราบทูลพระพุทธองค์ว่า
ท่านป่วยหนัก จนถึงนอนลุกไม่ได้อีก บัดนี้ขอน้อมเกล้าถวายบังคมมาถึงพระองค์ และพร้อมกันนั้นก็ให้นิมนต์ท่านพระสารีบุตรเถระ มาที่บ้านด้วย
ท่านพระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยท่านพระอานนท์ได้ไปเยี่ยมท่านเศรษฐีที่บ้าน ไต่ถามถึงความป่วยไข้แล้ว ได้แสดงธรรมเทศนา ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า
"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
ซึ่งเป็นคำสอนให้ถอน ตัณหา ทิฐิ มานะ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นว่านี้ของเรา นี้เป็นเรา นี้เป็นตัวของเรา เป็นต้น
เมื่อจบธรรมเทศนาแล้วก็ลากลับ.
ท่านเศรษฐีร้องไห้น้ำตาไหล ถึงกับพูดว่า ยังไม่เคยฟังธรรมกถาที่ไพเราะจับใจถึงเพียงนี้เลย
ธรรมเทศนานี้มีชื่อว่า อนาถบิณฑิโกวาทสูตร
ครั้นท่านพระเถระทั้งสองจากไปแล้วไม่นานนัก ท่านเศรษฐีก็ถึงกาลกิริยาตายบนเตียงนอนของท่านเอง แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.
ในคืนนั้นเอง ตอนปฐมยามล่วงไปแล้ว อนาถบิณฑิกเทพบุตรผู้มีรัศมีอันงดงามได้ลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวันมหาวิหาร ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลพรรณนาพระเชตวันมหาวิหาร และสรรเสริญคุณท่านพระสารีบุตรเถระว่า
"พระเชตวันมหาวิหารนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผู้เป็นธรรมราชาประทับอยู่ เป็นที่เกิดปีติแก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ๕ อย่างนี้ คือ
๑. กรรม ๒. วิชชา ๓. ธรรม ๔. ศีล ๕. ชีวิตอุดม
ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์
เพราะฉะนั้นแลบุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคายอย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้นได้
พระสารีบุตรเถระ นั้นและย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ ความจริงภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว จะอย่างยิ่งก็เท่าพระสารีบุตรเถระ นี้เท่านั้น."
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ