สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
อีกครั้งที่เราจะพูดว่า"ก็ย้ายไปอยู่กับเขาแล้ว เขาจะแต่งทำไมให้เปลืองเงิน"
คุณไปอยู่กับเขาแล้ว เขาสบายดี ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรแถมมีคนหารค่าใช้จ่าย ดังนั้นเขาจะดิ้นรนแยกบ้านทำไม??
ส่วนคุณผู้ต้องการจะออกมา และเตรียมซื้อบ้านแล้ว เราแนะนำให้คุณเดินหน้าค่ะ กู้คนเดียว เป็นหนี้คนเดียว บ้านสองหรือสามห้องนอนสำหรับ 4 คนไม่ได้เล็กเลย แฟนคุณแค่ไม่อยากมาอยู่ด้วย อ้างเล็ก อ้างจะให้พี่ชายมาอยู่ข้างบ้าน ฯลฯ ถ้าพี่ชายเขาไม่ยอมมาและคุณกู้ร่วมกับเขาซื้อบ้านใหญ่ไปแล้ว เขาหยุดช่วยผ่อน คุณแบกหนี้ตายเลยค่ะ
ถ้าบ้านเสร็จ โอนแล้ว พ่อแม่คุณมาอยู่แล้ว คุณก็ย้ายไปอยู่บ้านตัวเองเลยค่ะ เขาจะมาก็มาไม่มาก็เลิกกันไป
ผู้ชายคนนี้ไม่มีความเป็นผู้นำค่ะ คุณอยู่บ้านเขาแล้วเป็นทุกข์ เขาก็ไม่คิดแก้ปัญหาให้ ปล่อยให้คุณร้องไห้ไปเรื่อยๆ คุณอยากแค่จดทะเบียนสมรสเขาก็ไม่จดให้
คุณคิดบ้างไม๊ว่าพ่อแม่รู้สึกยังไงที่มีลูกเขยแบบนี้?? พ่อแม่คงทุกข์ไม่น้อยเพียงแต่ไม่พูดออกมา ถึงเวลาต้องคืนความสุขให้ตัวเอง ให้พ่อแม่สักทีค่ะ
คุณไปอยู่กับเขาแล้ว เขาสบายดี ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรแถมมีคนหารค่าใช้จ่าย ดังนั้นเขาจะดิ้นรนแยกบ้านทำไม??
ส่วนคุณผู้ต้องการจะออกมา และเตรียมซื้อบ้านแล้ว เราแนะนำให้คุณเดินหน้าค่ะ กู้คนเดียว เป็นหนี้คนเดียว บ้านสองหรือสามห้องนอนสำหรับ 4 คนไม่ได้เล็กเลย แฟนคุณแค่ไม่อยากมาอยู่ด้วย อ้างเล็ก อ้างจะให้พี่ชายมาอยู่ข้างบ้าน ฯลฯ ถ้าพี่ชายเขาไม่ยอมมาและคุณกู้ร่วมกับเขาซื้อบ้านใหญ่ไปแล้ว เขาหยุดช่วยผ่อน คุณแบกหนี้ตายเลยค่ะ
ถ้าบ้านเสร็จ โอนแล้ว พ่อแม่คุณมาอยู่แล้ว คุณก็ย้ายไปอยู่บ้านตัวเองเลยค่ะ เขาจะมาก็มาไม่มาก็เลิกกันไป
ผู้ชายคนนี้ไม่มีความเป็นผู้นำค่ะ คุณอยู่บ้านเขาแล้วเป็นทุกข์ เขาก็ไม่คิดแก้ปัญหาให้ ปล่อยให้คุณร้องไห้ไปเรื่อยๆ คุณอยากแค่จดทะเบียนสมรสเขาก็ไม่จดให้
คุณคิดบ้างไม๊ว่าพ่อแม่รู้สึกยังไงที่มีลูกเขยแบบนี้?? พ่อแม่คงทุกข์ไม่น้อยเพียงแต่ไม่พูดออกมา ถึงเวลาต้องคืนความสุขให้ตัวเอง ให้พ่อแม่สักทีค่ะ
ความคิดเห็นที่ 28
อันนี้ส่วนหนึ่งมาจากการอยู่กินกันก่อน นานไปผู้ชายก็คิดว่าทำไมต้องแต่ง ทำไมต้องโน้นนี่ ที่เป็นอยู่มันก็ดีแล้ว --> ดีสำหรับผู้ชายนะ เพราะนั่นก็บ้านเขา พื้นที่เขา พรรคพวกเขา ครอบครัวเขา คุณมาช่วยแบ่งเบาภาระสารพัดให้แบบนี้ ดีจะตาย
พอจี้ถามเรื่องอนาคตมากๆ มันไม่มีคำตอบไง หรือต่อให้เคยมี มันก็หายไปหมดแล้ว สถานะปัจจุบันคือไม่มี แล้วไม่รู้จะมีทำไมในเมื่อมันดีอยู่แล้ว --> ดีสำหรับเขาอีกนั่นแหละ
เราว่าคุณควรต้องมีสติ ถ้าปัญหายังไม่ถูกแก้ ควรดึงสติเยอะๆ แล้วทบทวนความสัมพันธ์ ไม่ใช่ดึงดันไปข้างหน้าแล้วสร้างปัญหาเพิ่ม หรือทำให้สิ่งที่เป็นอยู่มันซับซ้อนขึ้น
ว่ากันตามตรง ต่อให้ชีวิตคนเราเริ่มใหม่ได้ตลอด แต่ผู้หญิงที่ใช้ความสาวไปกับผู้ชายแบบนี้คือการเสียเวลาชีวิตมาก ตอนอยู่ก็ไม่มีความสุข แถมยังดึงเวลาชีวิตเราไปด้วย ทำให้เสียโอกาสที่จะเจอคนดีๆ ไปอีก
เราเสนอ 2 ทางค่ะ
- แยกออกมาค่ะ จะไปซื้อบ้านอยู่กับพ่อแม่หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามสะดวก แต่ไม่ใช้การทำให้ปัญหามันซับซ้อนเพิ่มอย่างการกู้ร่วม หรือให้เขาย้ายมาบ้านคุณ ช่วงที่คุณแยกออกมาก็ถามตัวเองไปด้วย ว่าขาดเขาแล้วตายไหม ทุกข์หรือสุขมากขึ้น อยู่กับตัวเองเยอะๆ ค่ะ ใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมที่ไม่มีผู้ชายคนนี้ดู คุณควรหัดทำให้ตัวเองเป็นเซฟโซนค่ะ ไม่ใช่ผู้ชายเป็นเซฟโซน ถ้าเขาทำให้คุณสบายใจจริงทำไมหลายปัญหาเขาไม่เห็นกระตือรือร้นเลยด้วยซ้ำ
- ทนไปค่ะ เพราะทุกคำที่เขาพูด เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่เกิดขึ้น คำอ้างข้างๆ คูๆ มาก ตัวผู้ชายก็รู้อยู่ว่ามันทำไม่ได้ แต่เขาไม่อยากจดทะเบียน ไม่ได้คิดเรื่องอนาคตกับคุณไง คุณลองให้เพื่อนอ่านคำตอบของผู้ชายดูก็ได้ ว่าตอบแบบนี้ใช่ปัดสวะรึเปล่า
สิ่งหนึ่งที่คุณต้องเตือนตัวเองคือ ผู้ชายก็บอกเลิกคุณได้ ใครจะไปรู้อนาคต วันนึงเขาเจอคนที่ใช่ หรือคนที่อยากมีอนาคตด้วยจริงๆ หรือกระทั่งเจอผู้หญิงที่เขาอยากคบหา เขาก็บอกเลิกคุณได้ แล้วพูดตามตรง ผู้ชายไม่ผิดด้วย เพราะความรักมันหมดลงได้ วันนึงไม่รักก็แค่บอกเลิก
หลายคู่คบกันเรื่อยๆ ให้มันผ่านไปวันๆ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาหลายปี แล้วก็บอกว่าเลิกไม่ได้เพราะผูกพัน แต่ที่จริงคือ ตอนคบกันมันผ่านเวลามาเรื่อยๆ เอง ไม่ใช่คนที่คบกันแล้วมีแผนอนาคตร่วมกัน คู่ที่มีแผน ช่วยกันทำเป้าหมายให้เป็นจริง ฝ่าฟันมาด้วยกันจนสำเร็จ แบบนั้นถึงจะเรียกความผูกพันค่ะ
อีกอย่าง การที่ตัวเขาเป็นแบบนี้ ต่อให้เขายอมจดทะเบียน คุณว่ามันใช่ความสุขไหมคะในเมื่อปัญหามันไม่ถูกแก้ เผลอๆ จะยิ่งแย่ลงถ้ามีลูก ถามตัวเองเยอะๆ ว่าอยากมีชีวิตแต่งงานแบบไหน ชีวิตครอบครัวแบบไหน ชีวิตบั่นปลายเป็นยังไง เลือกผู้ชายผิดไม่ใช่แค่เสียน้ำตา แต่ชะตาชีวิตเปลี่ยนเลยนะคะคุณ
พอจี้ถามเรื่องอนาคตมากๆ มันไม่มีคำตอบไง หรือต่อให้เคยมี มันก็หายไปหมดแล้ว สถานะปัจจุบันคือไม่มี แล้วไม่รู้จะมีทำไมในเมื่อมันดีอยู่แล้ว --> ดีสำหรับเขาอีกนั่นแหละ
เราว่าคุณควรต้องมีสติ ถ้าปัญหายังไม่ถูกแก้ ควรดึงสติเยอะๆ แล้วทบทวนความสัมพันธ์ ไม่ใช่ดึงดันไปข้างหน้าแล้วสร้างปัญหาเพิ่ม หรือทำให้สิ่งที่เป็นอยู่มันซับซ้อนขึ้น
ว่ากันตามตรง ต่อให้ชีวิตคนเราเริ่มใหม่ได้ตลอด แต่ผู้หญิงที่ใช้ความสาวไปกับผู้ชายแบบนี้คือการเสียเวลาชีวิตมาก ตอนอยู่ก็ไม่มีความสุข แถมยังดึงเวลาชีวิตเราไปด้วย ทำให้เสียโอกาสที่จะเจอคนดีๆ ไปอีก
เราเสนอ 2 ทางค่ะ
- แยกออกมาค่ะ จะไปซื้อบ้านอยู่กับพ่อแม่หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามสะดวก แต่ไม่ใช้การทำให้ปัญหามันซับซ้อนเพิ่มอย่างการกู้ร่วม หรือให้เขาย้ายมาบ้านคุณ ช่วงที่คุณแยกออกมาก็ถามตัวเองไปด้วย ว่าขาดเขาแล้วตายไหม ทุกข์หรือสุขมากขึ้น อยู่กับตัวเองเยอะๆ ค่ะ ใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมที่ไม่มีผู้ชายคนนี้ดู คุณควรหัดทำให้ตัวเองเป็นเซฟโซนค่ะ ไม่ใช่ผู้ชายเป็นเซฟโซน ถ้าเขาทำให้คุณสบายใจจริงทำไมหลายปัญหาเขาไม่เห็นกระตือรือร้นเลยด้วยซ้ำ
- ทนไปค่ะ เพราะทุกคำที่เขาพูด เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่เกิดขึ้น คำอ้างข้างๆ คูๆ มาก ตัวผู้ชายก็รู้อยู่ว่ามันทำไม่ได้ แต่เขาไม่อยากจดทะเบียน ไม่ได้คิดเรื่องอนาคตกับคุณไง คุณลองให้เพื่อนอ่านคำตอบของผู้ชายดูก็ได้ ว่าตอบแบบนี้ใช่ปัดสวะรึเปล่า
สิ่งหนึ่งที่คุณต้องเตือนตัวเองคือ ผู้ชายก็บอกเลิกคุณได้ ใครจะไปรู้อนาคต วันนึงเขาเจอคนที่ใช่ หรือคนที่อยากมีอนาคตด้วยจริงๆ หรือกระทั่งเจอผู้หญิงที่เขาอยากคบหา เขาก็บอกเลิกคุณได้ แล้วพูดตามตรง ผู้ชายไม่ผิดด้วย เพราะความรักมันหมดลงได้ วันนึงไม่รักก็แค่บอกเลิก
หลายคู่คบกันเรื่อยๆ ให้มันผ่านไปวันๆ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาหลายปี แล้วก็บอกว่าเลิกไม่ได้เพราะผูกพัน แต่ที่จริงคือ ตอนคบกันมันผ่านเวลามาเรื่อยๆ เอง ไม่ใช่คนที่คบกันแล้วมีแผนอนาคตร่วมกัน คู่ที่มีแผน ช่วยกันทำเป้าหมายให้เป็นจริง ฝ่าฟันมาด้วยกันจนสำเร็จ แบบนั้นถึงจะเรียกความผูกพันค่ะ
อีกอย่าง การที่ตัวเขาเป็นแบบนี้ ต่อให้เขายอมจดทะเบียน คุณว่ามันใช่ความสุขไหมคะในเมื่อปัญหามันไม่ถูกแก้ เผลอๆ จะยิ่งแย่ลงถ้ามีลูก ถามตัวเองเยอะๆ ว่าอยากมีชีวิตแต่งงานแบบไหน ชีวิตครอบครัวแบบไหน ชีวิตบั่นปลายเป็นยังไง เลือกผู้ชายผิดไม่ใช่แค่เสียน้ำตา แต่ชะตาชีวิตเปลี่ยนเลยนะคะคุณ
ความคิดเห็นที่ 11
1. ชีวิตคู่ควรแยกมาอยู่กันเองไม่เอาพ่อแม่ของฝ่ายใดมาอยู่ด้วยให้ยุ่งยากจะดีที่สุดครับ คนที่เขาอยู่กันรอดก็มีนะแต่อยู่แล้วมีปัญหาก็เยอะ
มองทางหนีทีไล่ไว้ด้วยว่าเกิดอยู่แล้วเริ่มมีปัญหาให้ต้องแยกย้ายกันทีหลังจะจัดการยังไง
2. คู่ชีวิตที่ดีไม่ใช่คนที่ไม่ติดเที่ยว ไม่ติดเหล้า ไม่นอกใจ ไม่ติดเพื่อน หรือจะเป็นคนดีวิเศษวิโสแค่ไหนก็ไม่สำคัญครับ
แต่คนที่จะเป็นคู่กันต้องศีลเสมอกับเรา มีความต่างกันได้แต่ภาพใหญ่ในชีวิตต้องมองจุดหมายเดียวกัน มองภาพเดียวกัน
และต่างฝ่ายต่างมีกันและกันอยู่ในภาพนั้นด้วย
3. การยึดติดความผูกพันธ์หรือช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาในอดีตมีแต่ทำให้ต้องใช้เวลาที่เหลือไปกับความทนทุกข์ ชีวิตคู่คือการหันหน้าคุยกัน
และปรับตัวกันทั้งสองฝ่ายตลอดเวลา ถ้ากลายเป็นความพยายามของฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ชีวิตคู่ที่ดีครับ ถ้าคุณพยายามคุยกันแล้ว
เขาพยายามปรับแล้วยังไม่โอเคคุณตัดสินใจเองว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างไร ความรักแบบเด็กใช้อารมณ์เป็นหลักแต่ความรักแบบผู้ใหญ่
ต้องใช้เหตุผล
สุดท้ายผมเชื่อว่าคนเราจะรักคนอื่นได้ต้องรักตัวเองเป็นก่อน
มองทางหนีทีไล่ไว้ด้วยว่าเกิดอยู่แล้วเริ่มมีปัญหาให้ต้องแยกย้ายกันทีหลังจะจัดการยังไง
2. คู่ชีวิตที่ดีไม่ใช่คนที่ไม่ติดเที่ยว ไม่ติดเหล้า ไม่นอกใจ ไม่ติดเพื่อน หรือจะเป็นคนดีวิเศษวิโสแค่ไหนก็ไม่สำคัญครับ
แต่คนที่จะเป็นคู่กันต้องศีลเสมอกับเรา มีความต่างกันได้แต่ภาพใหญ่ในชีวิตต้องมองจุดหมายเดียวกัน มองภาพเดียวกัน
และต่างฝ่ายต่างมีกันและกันอยู่ในภาพนั้นด้วย
3. การยึดติดความผูกพันธ์หรือช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาในอดีตมีแต่ทำให้ต้องใช้เวลาที่เหลือไปกับความทนทุกข์ ชีวิตคู่คือการหันหน้าคุยกัน
และปรับตัวกันทั้งสองฝ่ายตลอดเวลา ถ้ากลายเป็นความพยายามของฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ชีวิตคู่ที่ดีครับ ถ้าคุณพยายามคุยกันแล้ว
เขาพยายามปรับแล้วยังไม่โอเคคุณตัดสินใจเองว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างไร ความรักแบบเด็กใช้อารมณ์เป็นหลักแต่ความรักแบบผู้ใหญ่
ต้องใช้เหตุผล
สุดท้ายผมเชื่อว่าคนเราจะรักคนอื่นได้ต้องรักตัวเองเป็นก่อน
ความคิดเห็นที่ 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประโยคสุดท้ายของคุณ
ตอบแทนเราแล้วค่ะ เราแค่อยากถามย้ำว่า
คุณจะ...
"...คบไปเรื่อย ๆ แบบนี้ โดยไม่มีจุดหมาย แล้วรอเขาต่อไป..." อีกเหรอคะ
ประโยคสุดท้ายของคุณ
ตอบแทนเราแล้วค่ะ เราแค่อยากถามย้ำว่า
คุณจะ...
"...คบไปเรื่อย ๆ แบบนี้ โดยไม่มีจุดหมาย แล้วรอเขาต่อไป..." อีกเหรอคะ
แสดงความคิดเห็น
แฟนไม่มีแพลนจะวางอนาคตร่วมกันเลย เราควรทำยังไงต่อดี
เรากับแฟนคบกันมาสิบปีแล้ว แฟนอายุมากกว่าเรา 3 ปี เราทั้งคู่ทำงานแล้วรวมๆเงินเดือนกันก็เกือบแสน ปัจจุบันเราอยู่บ้านแฟนได้สองปี ต่างพ่อต่างแม่มาอยู่รวมกันเรื่องปัญหาภายในบ้านก็ปกติอยู่แล้ว แต่เอาตรงๆเราก็อึดอัด เราอดทน ร้องไห้อยู่คนเดียว เป็นบ้าเป็นหลัง เขากลับพูดมาคำเดียวว่า 'อย่าไปสนใจ ' เขาพูดอยู่แค่จริงๆแต่กลับไปปรามคนของเขาเลย ค่าใช้จ่ายในบ้านเราช่วยออก ค่ากินเราก็ออกให้ ของใช้ส่วนตัวก็เงินเราหมด งานก็มีทำใช่ว่าจะนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ ยังต้องมาทนคำพูดแย่ๆอยู่เรื่อยๆ จนเราคิดว่าเออเราอยากออกมาจากตรงนี้ อยากไปอยู่กันสองคนได้ไหม แต่แฟนก็บอกว่าไม่ใช่ตอนนี้ พอถามว่าเมื่อไหร่ก็มีแต่คำว่าไม่รู้ๆ อย่ากดดัน ...ทั้งที่เราเครียดแทบตายแต่ยังต้องอดทนฝืนยิ้มต่อไป ทุกครั้งที่เราถามถึงเรื่องอนาคตเราจะร้องไห้ตลอดเพราะเขาไม่สนใจเลยจริงๆ ทำท่าไม่อยากพูดถึงตลอดเวลา เขาบอกว่าภาระเขาเยอะ ต้องหารค่าใช้จ่ายในบ้านกับพี่ชาย แต่เราก็สงสัยว่าการที่เราออกมาอยู่กันสองคน ค่าบัตรค่าอะไรก็ยังหารกันได้อยู่ แถมทำให้ค่าใช้จ่ายฝั่งนั้นลดลงด้วยไม่ใช่เหรอ?
มันกลับกันตอนที่เราคบกันแรกๆ เขาดูมีแพลนอยากสร้างอนาคต แต่ผ่านมาสิบปีอย่างกับคนละคน กลายเป็นเราที่อยากมีอะไรเป็นของตัวเอง จะเล็กใหญ่ไม่สำคัญขอให้มันเป็นของเราเองก็พอ แต่เขาไม่ เหมือนชีวิตนี้จะติดอยู่กับบ้านไปตลอด แต่เรื่องพวกนี้เราก็จบนะ ไม่พูดกับเขาอีกแล้ว เราเหนื่อย เราคิดทุกวันว่าจะเลิกดีไหม จะทำยังไงต่อไป อยู่กับคนนี้ชีวิตจะเป็นยังไงต่อ แต่เราก็ยังไม่ตัดสินใจอะไรสักอย่าง
ส่วนปลายปีหน้าเราแพลนไว้ว่าจะซื้อบ้านค่ะ ตอนแรกว่าจะกู้คนเดียวแล้วเอาพ่อแม่มาอยู่ด้วย ก็ลองถามว่ามาอยู่ด้วยไหม เขาบอกได้ ไม่มีปัญหา เขาอยู่กับบ้านเราได้ค่ะ แต่ติดตรงที่ว่าบ้านที่เราซื้อมันเล็กไปสำหรับ 4 คน ทั้งที่ส่วนตัวเราว่ามันพอดี ห้องทำงานหนึ่งห้อง ห้องนอนสอง ห้องน้ำสาม แล้วก็ห้องครัวกับห้องรับแขก ก็อบอุ่นดี เขาบอกว่าถ้าเขาจะมาอยู่ด้วยก็ซื้อที่ใหญ่กว่านี้แล้วกู้ร่วมกันไปเลย อะ พอเห็นเขาอยากมาอยู่ด้วยเราก็ดีใจ แต่อย่างที่บอกว่าข้างต้น เราไม่โอเคกับความเฉื่อยชาของเขาเลย แต่นอกใจ เจ้าชู้ ติดเพื่อนอะไรไม่มีนะ ติดอย่างเดียวคือไม่เคยทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือทำตัวให้เป็นหลักเลย เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นปัญหาขนาดนี้ เขาไม่ได้คิดจะเลิกกับเรา แต่เราคิดซ้ำๆจนไม่มั่นใจ แล้วคิดว่าพ่อแม่คงไม่โอเคด้วยถ้าเราจะกู้ร่วม พ่อแม่รู้ปัญหาของเราทุกเรื่องเลยนะคะ ท่านก็บอกให้ออกมาแต่เขาก็ยังเคารพการตัดสินใจของเราเลยไม่ได้บังคับอะไร แล้วถ้าบอกพ่อแม่ว่าจะกู้ร่วมเขาต้องกลัวปัญหาตอนเลิกกัน ซึ่งเราก็คิดแบบนั้น แต่พอคิดว่าอีกหน่อยแฟนก็จะมาอยู่ด้วยกันอย่างที่เราฝันแล้วนะ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้เลยบอกว่างั้นจดทะเบียนสมรสก่อนไหม ยังไม่ต้องแต่ง พร้อมแล้วค่อยจัดทีหลังเอา อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันทางกฎหมายให้พ่อแม่ว่าเราจะไม่เลิกกัน พาครอบครัวมากินข้าวด้วยกัน แล้วค่อยซื้อบ้านมาอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็บอกว่าอยากให้พี่ชายมาซื้อบ้านใกล้ๆกันด้วยแช้วจะได้กู้ร่วมพร้อมกับพี่แล้วก็เรา พูดง่ายๆว่าเอาสองครอบครัวมาใกล้กัน เราเลยถามว่าถ้าพี่ยังไม่พร้อมล่ะ ถ้าเขาไม่ซื้อก็จะไม่เอาเหรอ เขาก็ตอบคำเดิมว่าไม่รู้ แล้วก็บอกว่าอย่ามากดดัน มีเวลาคิดตั้งเยอะแต่ไม่ใช่ตอนนี้ แต่เรากำลังผ่อนดาวน์บ้านไปถึงปีหน้านะคะแต่เป็นผ่อนแค่คนเดียว แต่จะเปลี่ยนเป็นกู้ร่วมย้ายแปลนก็น่าจะต้องไปคุยกับเซลล์เพิ่มอีกหลายๆอย่าง เหมือนว่าเราผิดมากที่เราวางแพลนจะอยู่ด้วยกัน คือต้องปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปตามน้ำเหรอถึงจะดี ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ช่างมันงี้สินะ เราเลยบอกไปว่างั้นก็จะได้ซื้อคนเดียวไปก่อน ถ้าเขายังไม่รู้อีกก็แยกกันอยู่ไปเลย
แต่เราเหนื่อย เราอยากเลิกแต่ก็ยังรัก เขาไม่มีอะไรที่แย่มันติดแค่เรื่องนี้จริงๆ จนเราคิดว่าเราแย่เกินไปรึเปล่าที่ไปกดดันเขาแบบนี้ ไม่รู้ว่าที่คิด ตัดสินใจ มันถูกหรือมันผิด ไม่รู้ด้วยว่าการคบกับคนคนนี้ในอนาคตจะออกมาเป็นรูปแบบไหน เราอยากมีครอบครัวนะ ยอมรับว่าอยากมีเป็นของตัวเอง แต่มันไม่ใช่ใครก็ได้ไง เราแค่มีความคิดไม่ตรงกันเลย
ใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้ไหมคะ แล้วคิดตัดสินใจยังไงกันต่อ เราควรจะคบไปเรื่อยๆ แบบนี้โดยไม่มีจุดหมายแล้วรอเขาต่อไปไหมคะ