สวัสดีค่ะ วันนี้มาแชร์ประสบการณ์เป็นหูดหงอนไก่ ตลอดจนการรักษาค่ะ เพราะตอนที่เราเป็น เราเคยสัญญากับตัวเองว่าถ้าเราหาย
เราจะมาเขียนในพันทิปเพื่อเป็นประโยชน์ให้คนที่กำลังเป็นหูดหงอนไก่อยู่ค่ะ ยาวนิดนึงนะคะ
.....เริ่มเลยนะคะ เราอายุ 20 ปลายๆ แต่งงานแล้ว 5 ปี ยังไม่มีลูก เมื่อปลายปี 64 เราเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนอวัยวะเพศหลังมี พสพ. กับสามี
และส่องกระจกดูพบว่ามีแผลถลอก และหลังจากนั้นก็มีตกขาว มีอาการคันร่วมด้วย เป็นอาการแบบนี้บ่อยจนเราต้องไปหาหมอที่คลีนิกสูติ ได้ยามาสอด
และได้ยาฆ่าเชื้อมากินอาการตกขาวก็หาย แต่เมื่อมี พสพ. ก็จะกลับมาเป็นซ้ำๆ จนเราต้องแยกกันอยู่กับสามี (เคยไป รพ. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิช HIV พบว่าเป็น Negative)
......ต่อมาจนต้นปี 65 เรากลับมามี พสพ. อีกครั้งก็มีอาการแบบเดิม
แต่ครั้งนี้ที่เราสังเกตเห็นคือ เราใช้มือสัมผัสเจอตุ่มเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศ ตรงฝีเย็บ (บริเวรระหว่าช่องคลอดกับรูทวาร) ตอนแรกคิดว่าเป็นแผลตกสะเก็ด แต่พอผ่านไป 1 สัปดาห์ มันเพิ่มจำนวนตุ่มขึ้นมาเป็น 4-5 ตุ่ม เราก็เลยเสิชดูในกูเกิล พบว่าสิ่งที่เราเป็นเหมือนหูดหงอนไก่ แต่เรายังไม่แน่ใจ ตอนนั้นแอบตกใจนิดๆ แต่ก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่เราก็ยังกังวล คิดไรไม่ออก เสิชกูเกิลค้นหาคลีนิคสูติใกล้ที่สุด จากนั้นก็โทรไปทำนัดหมอ โชคดีที่ได้คิวในวันถัดไป เมื่อถึงวันตรวจหมอก็ซักประวัติ เราก็บอกหมอว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ แล้วเราก็สงสัยว่าเราเป็นหูดหงอนไก่ไหม อยากให้หมอช่วยดูให้ เมื่อซักประวัติเสร็จเราก็ได้เปลี่ยนผ้าถุง แล้วก็ขึ้นขาหยั่ง ตอนนั้นรู้สึกอายมากๆ แต่ไหนๆก็มาแล้ว จะได้รู้ไปเลยว่าเป็นอะไร พอหมอมาดูก็บอกว่า หมอยืนยันว่าเป็นหูดหงอนไก่นะ จะรักษาด้วยการจี้ยา TCA (Trichloroacitic acid) นะ แล้วก็เล่ารายละเอียดต่างๆให้เราฟัง เราอยากจะบอกว่าจี้ยาแสบมากๆๆ จนเราไม่อยากนั่งเลย จี้เสร็จหมอก็แนะนำว่าอย่าพึ่งโดนน้ำอย่างน้อย 3 ชม. นะ และต้องมาจี้ทุกสัปดาห์จนกว่าจะหาย (นาทีที่เราได้ยินว่าเราเป็นหูดหงอนไก่เรารู้สึกหดหู่ กังวลมาก มีคำถามมากมายในหัวเราเต็มไปหมด คิดทบทวนต่างๆนาๆ เพราะเราก็หาข้อมูลมาประมาณนึงแล้วว่าโรคนี้ส่วนมากติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เรากลัวไปหมด ขับรถกลับหอไปร้องไห้ไป แล้วได้โทรไปถามแฟน ทะเลาะกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายเราก็คิดว่า เมื่อเป็นแล้วก็ต้องรักษา คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้) การไปพบหมอแต่ละครั้งเราก็มักมีคำถามเสมอ เช่น
1.เป็นโรคนี้มีโอกาสหายขาดไหม ? หมอตอบว่า เป็นโรคนี้แล้วต้องทำใจ เป็นแล้วเป็นเลย เชื้อโรคมันจะอยู่ในตัวเราตอดไป จะแสดงอาการเมื่อภูมิคุ้มกันเราต่ำ แต่จะกลับมาแสดงอาการอีกหรือไม่แล้วแต่ว่าร่างกายเราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหน และเราได้ไปรับเชื้อเพิ่มอีกหรือเปล่า
2.เป็นโรคนี้แล้วสามารถมีบุตรได้ไหม? หมอตอบว่า สามารถมีบุตรได้ แต่ถ้าระหว่างตั้งครรภ์มี รอยโรคหูดหงอนไก่เกิดขึ้น จี้ยาแล้วไม่หลุดก็อาจจะได้ผ่าคลอด เพราะโรคนี้สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกในขณะที่คลอดได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หูดหงอนไก่ เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus ) สายพันธ์ย่อย 6 และ 11 เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด (50-70%) ส่วนใหญ่พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีระยะเวลาในการฟักตัว 1 เดือน- 2ปี หลังจากได้รับเชื้อ ขึ้นอยู่กับภาวะภูมิคุ้มกันและปริมาณเชื้อที่ได้รับ
หูดหงอนไก่ เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus ) สายพันธ์ย่อย 6 และ 11 เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด (50-70%) ส่วนใหญ่พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีระยะเวลาในการฟักตัว 1 เดือน- 2ปี หลังจากได้รับเชื้อ ขึ้นอยู่กับภาวะภูมิคุ้มกันและปริมาณเชื้อที่ได้รับสามารถดูรูปและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่ https://medthai.com/%e0%b8%ab%e0%b8%b9%e0%b8%94%e0%b8%ab%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%81%e0%b9%88/
ดูรูปภาพได้ที่กูเกิล คำเตือน ภาพอาจน่ากลัวนิดนึงนะ....
.......เราได้ไปจี้ยาตามนัดทุกครั้งเป็นเวลา 6 สัปดาห์ (6 ครั้ง) ซึ่งในการจี้ยาแต่ละครั้งหมอจะใช้วาสลีนทาบริเวณเนื้อดีรอบๆรอยโรค เพื่อป้องกันไม่ให้เวลาที่จี้ TCA จะได้ไม่โดนเนื้อดี หลังจากจี้ยามาแต่ละครั้ง เราจะดูแลรักษาความสะอาดบริเวณนั้นเป็นอย่างดี ห้ามโดนน้ำอย่างน้อย 3 ชม. เวลาเข้าห้องน้ำเราก็จะใช้ทิชชู่เปียกซับเบาๆ แล้วก็ใช้ทุชชู่แห้งซับอีกครั้ง ซึ่งหลังจากจี้จะมีอาการปวดแสบอยู่ประมาณ 1-2 วัน ระหว่างนี้ก็มีตกขาวเยอะถือเป็นเรื่องปกติ เพราะช่องคลอดเราระคายเคืองจากการจี้ยา หลังจากนั้นประมาณวันที่ 5 หูดก็จะตกสะเก็ดแล้วจะหลุดออกมาเวลาที่เราอาบน้ำ ทุกครั้งที่ไปจี้หูดก็จะมีลดลงบ้าง เกิดขึ้นใหม่บ้าง (ค่าใช้จ่ายในการจี้ 500 บาท /ครั้ง) จนครั้งสุดท้าย (ครั้งที่ 6) หมอบอกว่าไม่ขอนัดเราต่อให้เราไปรักษา ที่ รพ. จะได้ตรวจโรคติดต่อทาง พสพ. อื่นร่วมด้วย เพราะจี้หลายครั้งแล้วก็ยังขึ้นใหม่เรื่อยๆ และมีขึ้นใหม่ในบริเวณด้านในช่องคลอดด้วย
.......เราตัดสินใจไปรักษาต่อที่ รพ. เอกชน เพราะเรารู้สึกร้อนใจอยากหายไวๆ และต้องการความสะดวก เหมือนเดิมค่ะ....เราได้จี้ยาแต่เปลี่ยนเป็น ยาโปโดฟิลีน ตอนจี้ก็จะแสบนิดๆ แต่แสบน้อยกว่า TCA และได้ยาฆ๋าเชื้อมากินเพียบเลยค่ะ มียาสอดด้วย นัดทุกสัปดาห์เหมือนเดิม (ค่าใช้จ่าย 1200-1600บาท/ครั้ง ) ซึ่งไปทุกครั้งหมอก็เปลี่ยนยาให้เรากินไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว (ไม่มีเงินจะกินข้าวแล้ว...) แล้วหูดเราก็ไม่ยุบเลย หลังจากจี้ไปสามครั้ง และหมอก็แนะนำให้เราฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพราะเคยมีเคสที่ฉีดแล้วหูดฝ่อเร็ว ไอ้เราก็อยากหายไม่รอช้า ซื้อแพคเกจแบบป้องกัน 4 สายพันธ์ุราคา 9500 บาท (ฉีดเข็มแรกและเข็ม2 ห่างกัน 1 เดือน แล้วอีก 3 เดือน ฉีดเข็มที่ 3) ตอนฉีด ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขนนะคะ หลังฉีดรู้สึกหน่วงๆบริเวณที่ฉีด ประมาณ 1 ชม. จากนั้นเราก็ทำงานได้ปกติ
.......หลังจากไปจี้ยาที่รพ. เอกชน 3 ครั้ง เราจึงตัดสินใจเปลี่ยน รพ. ค่ะ เราไปรพ. รัฐ(ไปใช้สิทธิประกันสังคม) ไปหาหมอ เสต็ปเดิมค่ะ แต่อาจใช้เวลาในการรอนานหน่อย ( อาศัยว่าไปแต่เช้า จะได้คิวลำดับต้นๆ เราลางานครึ่งวันทุกครั้งที่ไปหาหมอค่ะ รพ.นี้ ต้องขอบคุณหัวหน้าเราด้วยนะคะที่เข้าใจ)
เมื่อพบหมอเราก็แจ้งอาการ ประวัติการรักษาว่าก่อนหน้านี้เราเคยจี้ยาอะไรมาบ้าง กินยาอะไรมาบ้าง ซึ่งเราจะถ่ายรูปยาที่เคยกินก่อนหน้านี้ไว้ตลอดค่ะ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากกินยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ การรักษาครั้งนี้เราได้จี้ยา TCA เหมือนเดิมค่ะ แน่นอนว่าแสบมาก ซึ่งเราทำใจไว้แล้ว ได้กินยาฆ่าเชื้ออีกแล้วแต่เปลี่ยนตัวยา ได้ยาสอด ได้ตรวจเลือดหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเราไปจี้ยาเรื่อยๆ มีบางสัปดาห์ได้ฉีดยาฆ่าเชื้อ เพราะมีตกขาวเยอะผิดปกติ มีได้ส่องกล้องทางช่องคลอดเพราะผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีความผิดปกติ แต่ผลส่องกล้องดูพบว่าเป็นหูดที่บริเวณปากมดลูก(ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย) เราจึงได้จี้ยาหูดที่ปากมดลูกด้วย ทำให้เราค้นพบว่าที่เราจี้ยาแล้วไม่หายสักที เป็นเพราะเราเป็นหูดที่ปากมดลูกด้วยนี่เอง ถึงรักษาไม่หายสักที เรารักษาที่ รพ.นี้น่าจะประมาณ 10 สัปดาห์ค่ะ ( ไปบ่อยจนนับผิด) ครั้งสุดท้ายคือหมอนัดไปติดตามอาการ หมอบอกว่ารอยโรคหายแล้ว ไม่ต้องทำนัดแล้ว เราดีใจมากค่ะ เดินออกมาจากห้องตรวจแบบโล่งมาก ดีใจค่ะ พยาบาลก็แนะนำว่าโรคนี้เป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นอีกได้ ควรรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง หมั่นสังเกตความผิดปกติของตัวเอง และควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (ระหว่างที่รักษาเรารู้สึกรำคาญ ท้อ เฟล หลายครั้งแต่ต้องขอบคุณตัวเองที่อดทน จากวันที่พบหมอครั้งสุดท้ายก็ผ่านมา 5 เดือนแล้ว ตอนนี้รอยโรคเราหายแล้ว แต่เราก็พยายามรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีอยู่เสมอค่ะ รักษาสุขอนามัยไม่ปล่อยให้หมักหมม ชอบใช้กระจกมาสองดูที่อวัยวะเพศตัวเองหลังอาบน้ำเสร็จเพื่อสังเกตความผิดปกติ และตอนนี้เราก็ได้เลิกกับสามีแล้วด้วยเหตุผลบางประการ แต่เราก็ยังไม่กล้ามี พสพ. กับใครเลยค่ะ)
.....เราอยากให้กำลังใจคนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่นะคะ ต้องใจเย็นๆค่ะ โรคนี้เป็นแล้วรักษาได้ สำหรับเราการไปพบหมอดีที่สุดค่ะ เพราะเราจะได้รักษาอย่างถูกวิธี ไม่ต้องอายค่ะ (คุณหมอเขาเห็นมาจนเป็นเรื่องปกติแล้วค่ะ) สุขภาพเราเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไปหาหมอเร็ว ได้รักษาเร็ว จะได้หายเร็วๆนะคะ
[SR] เมื่อฉันเป็นหูดหงอนไก่.....
เราจะมาเขียนในพันทิปเพื่อเป็นประโยชน์ให้คนที่กำลังเป็นหูดหงอนไก่อยู่ค่ะ ยาวนิดนึงนะคะ
.....เริ่มเลยนะคะ เราอายุ 20 ปลายๆ แต่งงานแล้ว 5 ปี ยังไม่มีลูก เมื่อปลายปี 64 เราเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนอวัยวะเพศหลังมี พสพ. กับสามี
และส่องกระจกดูพบว่ามีแผลถลอก และหลังจากนั้นก็มีตกขาว มีอาการคันร่วมด้วย เป็นอาการแบบนี้บ่อยจนเราต้องไปหาหมอที่คลีนิกสูติ ได้ยามาสอด
และได้ยาฆ่าเชื้อมากินอาการตกขาวก็หาย แต่เมื่อมี พสพ. ก็จะกลับมาเป็นซ้ำๆ จนเราต้องแยกกันอยู่กับสามี (เคยไป รพ. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิช HIV พบว่าเป็น Negative)
......ต่อมาจนต้นปี 65 เรากลับมามี พสพ. อีกครั้งก็มีอาการแบบเดิม
แต่ครั้งนี้ที่เราสังเกตเห็นคือ เราใช้มือสัมผัสเจอตุ่มเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศ ตรงฝีเย็บ (บริเวรระหว่าช่องคลอดกับรูทวาร) ตอนแรกคิดว่าเป็นแผลตกสะเก็ด แต่พอผ่านไป 1 สัปดาห์ มันเพิ่มจำนวนตุ่มขึ้นมาเป็น 4-5 ตุ่ม เราก็เลยเสิชดูในกูเกิล พบว่าสิ่งที่เราเป็นเหมือนหูดหงอนไก่ แต่เรายังไม่แน่ใจ ตอนนั้นแอบตกใจนิดๆ แต่ก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่เราก็ยังกังวล คิดไรไม่ออก เสิชกูเกิลค้นหาคลีนิคสูติใกล้ที่สุด จากนั้นก็โทรไปทำนัดหมอ โชคดีที่ได้คิวในวันถัดไป เมื่อถึงวันตรวจหมอก็ซักประวัติ เราก็บอกหมอว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ แล้วเราก็สงสัยว่าเราเป็นหูดหงอนไก่ไหม อยากให้หมอช่วยดูให้ เมื่อซักประวัติเสร็จเราก็ได้เปลี่ยนผ้าถุง แล้วก็ขึ้นขาหยั่ง ตอนนั้นรู้สึกอายมากๆ แต่ไหนๆก็มาแล้ว จะได้รู้ไปเลยว่าเป็นอะไร พอหมอมาดูก็บอกว่า หมอยืนยันว่าเป็นหูดหงอนไก่นะ จะรักษาด้วยการจี้ยา TCA (Trichloroacitic acid) นะ แล้วก็เล่ารายละเอียดต่างๆให้เราฟัง เราอยากจะบอกว่าจี้ยาแสบมากๆๆ จนเราไม่อยากนั่งเลย จี้เสร็จหมอก็แนะนำว่าอย่าพึ่งโดนน้ำอย่างน้อย 3 ชม. นะ และต้องมาจี้ทุกสัปดาห์จนกว่าจะหาย (นาทีที่เราได้ยินว่าเราเป็นหูดหงอนไก่เรารู้สึกหดหู่ กังวลมาก มีคำถามมากมายในหัวเราเต็มไปหมด คิดทบทวนต่างๆนาๆ เพราะเราก็หาข้อมูลมาประมาณนึงแล้วว่าโรคนี้ส่วนมากติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เรากลัวไปหมด ขับรถกลับหอไปร้องไห้ไป แล้วได้โทรไปถามแฟน ทะเลาะกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายเราก็คิดว่า เมื่อเป็นแล้วก็ต้องรักษา คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้) การไปพบหมอแต่ละครั้งเราก็มักมีคำถามเสมอ เช่น
1.เป็นโรคนี้มีโอกาสหายขาดไหม ? หมอตอบว่า เป็นโรคนี้แล้วต้องทำใจ เป็นแล้วเป็นเลย เชื้อโรคมันจะอยู่ในตัวเราตอดไป จะแสดงอาการเมื่อภูมิคุ้มกันเราต่ำ แต่จะกลับมาแสดงอาการอีกหรือไม่แล้วแต่ว่าร่างกายเราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหน และเราได้ไปรับเชื้อเพิ่มอีกหรือเปล่า
2.เป็นโรคนี้แล้วสามารถมีบุตรได้ไหม? หมอตอบว่า สามารถมีบุตรได้ แต่ถ้าระหว่างตั้งครรภ์มี รอยโรคหูดหงอนไก่เกิดขึ้น จี้ยาแล้วไม่หลุดก็อาจจะได้ผ่าคลอด เพราะโรคนี้สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกในขณะที่คลอดได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูรูปภาพได้ที่กูเกิล คำเตือน ภาพอาจน่ากลัวนิดนึงนะ....
.......เราได้ไปจี้ยาตามนัดทุกครั้งเป็นเวลา 6 สัปดาห์ (6 ครั้ง) ซึ่งในการจี้ยาแต่ละครั้งหมอจะใช้วาสลีนทาบริเวณเนื้อดีรอบๆรอยโรค เพื่อป้องกันไม่ให้เวลาที่จี้ TCA จะได้ไม่โดนเนื้อดี หลังจากจี้ยามาแต่ละครั้ง เราจะดูแลรักษาความสะอาดบริเวณนั้นเป็นอย่างดี ห้ามโดนน้ำอย่างน้อย 3 ชม. เวลาเข้าห้องน้ำเราก็จะใช้ทิชชู่เปียกซับเบาๆ แล้วก็ใช้ทุชชู่แห้งซับอีกครั้ง ซึ่งหลังจากจี้จะมีอาการปวดแสบอยู่ประมาณ 1-2 วัน ระหว่างนี้ก็มีตกขาวเยอะถือเป็นเรื่องปกติ เพราะช่องคลอดเราระคายเคืองจากการจี้ยา หลังจากนั้นประมาณวันที่ 5 หูดก็จะตกสะเก็ดแล้วจะหลุดออกมาเวลาที่เราอาบน้ำ ทุกครั้งที่ไปจี้หูดก็จะมีลดลงบ้าง เกิดขึ้นใหม่บ้าง (ค่าใช้จ่ายในการจี้ 500 บาท /ครั้ง) จนครั้งสุดท้าย (ครั้งที่ 6) หมอบอกว่าไม่ขอนัดเราต่อให้เราไปรักษา ที่ รพ. จะได้ตรวจโรคติดต่อทาง พสพ. อื่นร่วมด้วย เพราะจี้หลายครั้งแล้วก็ยังขึ้นใหม่เรื่อยๆ และมีขึ้นใหม่ในบริเวณด้านในช่องคลอดด้วย
.......เราตัดสินใจไปรักษาต่อที่ รพ. เอกชน เพราะเรารู้สึกร้อนใจอยากหายไวๆ และต้องการความสะดวก เหมือนเดิมค่ะ....เราได้จี้ยาแต่เปลี่ยนเป็น ยาโปโดฟิลีน ตอนจี้ก็จะแสบนิดๆ แต่แสบน้อยกว่า TCA และได้ยาฆ๋าเชื้อมากินเพียบเลยค่ะ มียาสอดด้วย นัดทุกสัปดาห์เหมือนเดิม (ค่าใช้จ่าย 1200-1600บาท/ครั้ง ) ซึ่งไปทุกครั้งหมอก็เปลี่ยนยาให้เรากินไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว (ไม่มีเงินจะกินข้าวแล้ว...) แล้วหูดเราก็ไม่ยุบเลย หลังจากจี้ไปสามครั้ง และหมอก็แนะนำให้เราฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพราะเคยมีเคสที่ฉีดแล้วหูดฝ่อเร็ว ไอ้เราก็อยากหายไม่รอช้า ซื้อแพคเกจแบบป้องกัน 4 สายพันธ์ุราคา 9500 บาท (ฉีดเข็มแรกและเข็ม2 ห่างกัน 1 เดือน แล้วอีก 3 เดือน ฉีดเข็มที่ 3) ตอนฉีด ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขนนะคะ หลังฉีดรู้สึกหน่วงๆบริเวณที่ฉีด ประมาณ 1 ชม. จากนั้นเราก็ทำงานได้ปกติ
.......หลังจากไปจี้ยาที่รพ. เอกชน 3 ครั้ง เราจึงตัดสินใจเปลี่ยน รพ. ค่ะ เราไปรพ. รัฐ(ไปใช้สิทธิประกันสังคม) ไปหาหมอ เสต็ปเดิมค่ะ แต่อาจใช้เวลาในการรอนานหน่อย ( อาศัยว่าไปแต่เช้า จะได้คิวลำดับต้นๆ เราลางานครึ่งวันทุกครั้งที่ไปหาหมอค่ะ รพ.นี้ ต้องขอบคุณหัวหน้าเราด้วยนะคะที่เข้าใจ)
เมื่อพบหมอเราก็แจ้งอาการ ประวัติการรักษาว่าก่อนหน้านี้เราเคยจี้ยาอะไรมาบ้าง กินยาอะไรมาบ้าง ซึ่งเราจะถ่ายรูปยาที่เคยกินก่อนหน้านี้ไว้ตลอดค่ะ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากกินยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ การรักษาครั้งนี้เราได้จี้ยา TCA เหมือนเดิมค่ะ แน่นอนว่าแสบมาก ซึ่งเราทำใจไว้แล้ว ได้กินยาฆ่าเชื้ออีกแล้วแต่เปลี่ยนตัวยา ได้ยาสอด ได้ตรวจเลือดหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเราไปจี้ยาเรื่อยๆ มีบางสัปดาห์ได้ฉีดยาฆ่าเชื้อ เพราะมีตกขาวเยอะผิดปกติ มีได้ส่องกล้องทางช่องคลอดเพราะผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีความผิดปกติ แต่ผลส่องกล้องดูพบว่าเป็นหูดที่บริเวณปากมดลูก(ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย) เราจึงได้จี้ยาหูดที่ปากมดลูกด้วย ทำให้เราค้นพบว่าที่เราจี้ยาแล้วไม่หายสักที เป็นเพราะเราเป็นหูดที่ปากมดลูกด้วยนี่เอง ถึงรักษาไม่หายสักที เรารักษาที่ รพ.นี้น่าจะประมาณ 10 สัปดาห์ค่ะ ( ไปบ่อยจนนับผิด) ครั้งสุดท้ายคือหมอนัดไปติดตามอาการ หมอบอกว่ารอยโรคหายแล้ว ไม่ต้องทำนัดแล้ว เราดีใจมากค่ะ เดินออกมาจากห้องตรวจแบบโล่งมาก ดีใจค่ะ พยาบาลก็แนะนำว่าโรคนี้เป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นอีกได้ ควรรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง หมั่นสังเกตความผิดปกติของตัวเอง และควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (ระหว่างที่รักษาเรารู้สึกรำคาญ ท้อ เฟล หลายครั้งแต่ต้องขอบคุณตัวเองที่อดทน จากวันที่พบหมอครั้งสุดท้ายก็ผ่านมา 5 เดือนแล้ว ตอนนี้รอยโรคเราหายแล้ว แต่เราก็พยายามรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีอยู่เสมอค่ะ รักษาสุขอนามัยไม่ปล่อยให้หมักหมม ชอบใช้กระจกมาสองดูที่อวัยวะเพศตัวเองหลังอาบน้ำเสร็จเพื่อสังเกตความผิดปกติ และตอนนี้เราก็ได้เลิกกับสามีแล้วด้วยเหตุผลบางประการ แต่เราก็ยังไม่กล้ามี พสพ. กับใครเลยค่ะ)
.....เราอยากให้กำลังใจคนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่นะคะ ต้องใจเย็นๆค่ะ โรคนี้เป็นแล้วรักษาได้ สำหรับเราการไปพบหมอดีที่สุดค่ะ เพราะเราจะได้รักษาอย่างถูกวิธี ไม่ต้องอายค่ะ (คุณหมอเขาเห็นมาจนเป็นเรื่องปกติแล้วค่ะ) สุขภาพเราเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไปหาหมอเร็ว ได้รักษาเร็ว จะได้หายเร็วๆนะคะ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้